CLS ตอนที่ 203: ความรู้สึกที่อ่อนโยน
ภายใต้การนำของอี้เทียนหยุน พวกเขาก็กลับมาถึงนิกายเทียนเฉวียนอย่างรวดเร็ว ความเร็วของปีกฟีนิกซ์นี้ เมื่อเทียบกับความเร็วของมังกรดำแล้ว ไม่ได้ช้ากว่ามากนัก ยังไงก็ตาม ประสิทธิภาพที่แท้จริงของปีกฟีนิกซ์นี้จะแสดงผลออกมาก็ต่อเมื่ออยู่ระดับผันแปรวิญญาณขึ้นไป
ตอนนี้มันช่วยให้บินได้เท่านั้น ยังไม่ได้เพิ่มความเร็วในการบิน แต่เมื่อไหร่ที่ไปถึงระดับผันแปรวิญญาณแล้วล่ะก็ ความเร็วของเขาก็จะเพิ่มขึ้นอีก 3 เท่า! เมื่อถึงตอนนั้น ความเร็วในการบินของเขาจะต้องน่าสะพรึงอย่างแน่นอน
“ถึงแล้ว”
อี้เทียนหยุนปล่อยพวกเธอลง พร้อมกับเดินเข้าไปในนิกายเทียนเฉวียน ในตอนนี้ นิกายเทียนเฉวียนไม่ได้ลำบากอย่างแต่ก่อนแล้ว เมื่อมองดูเหล่าศิษย์ เทียบกับเมื่อก่อนแล้วมากกว่ามาก
“ผู้อาวุโสอี้ ผู้อาวุโสจู้….” เมื่อพวกเธอเห็นอี้เทียนหยุนและอี้อวี่เหว่ยก็พากันร้องออกมา
“หลังจากนี้ให้เรียกข้าว่าผู้อาวุโสอวี่ ถ้าเรียกผู้อาวุโสอี้ เดี๋ยวมันจะสับสนเอาได้” อี้อวี่เหว่ยหัวเราะ ตอนนี้เธอใช้แซ่เดียวกับอี้เทียนหยุน ถ้าเกิดมีคนเรียกเขาแล้วเธอเกิดหันไป มันจะทำให้วุ่นวายได้
“ทราบแล้ว ผู้อาวุโสอวี่” พวกเธอก็ไม่เรื่องมาก เปลี่ยนคำเรียกตามที่เธอบอก
อี้เทียนหยุนส่ายหัว นี่เป็นเรื่องเฉพาะของพวกเธอ เมื่อตระกูลจู้เลือกที่จะละทิ้งพวกเธอ พวกเธอจึงไม่ต้องการแซ่จู้อีก แม้เขาจะรู้ว่าน่าอายไปบ้างที่มาใช้แซ่เดียวกับเขา แต่เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร ถึงเขาจะคิดว่าแซ่จื่อก็ดีเช่นกันก็ตาม
แน่นอนว่าเป็นเรื่องของพวกเธอ อี้เทียนหยุนจึงไม่คิดจะไปวุ่นวายมากนัก
ขณะที่พวกเขาเดินเข้าไป ชิเสวี่ยอวิ๋นก็ได้เดินออกมาจากข้างใน เมื่อเธอเห็นอี้เทียนหยุนก็ได้ยิ้มออกมา “กลับมาแล้ว?”
“กลับมาแล้ว” อี้เทียนหยุนแนะนำพวกเธอด้วยรอยยิ้ม “นี่คือผู้อาวุโสจู้…. ไม่สิ ตอนนี้เธอใช้แซ่เดียวกับข้าแล้ว และนี่คือพี่สาวของเธอ อี้อวี่เสวียน”
“คารวะท่านเจ้าตำหนัก” อี้อวี่เสวียนพูดแสดงความเคารพ
“ไม่ต้องมากมารยาท ที่นี่คนกันเองทั้งนั้น” ชิเสวี่ยอวิ๋นยิ้มให้กับอี้เทียนหยุน จากนั้นก็พูดกับอี้เทียนหยุนว่า “เจ้าจะไม่บอกเรื่องที่ไปทำให้ข้าฟังหน่อยเหรอ?”
จากนั้น อี้เทียนหยุนก็อธิบายเรื่องราวที่เขาทำออกมา รวมกับอี้อวี่เหว่ยที่อยู่ข้างๆ ก็ช่วยอธิบายด้วย นี่ทำให้ชิเสวี่ยอวิ๋นเข้าใจความเป็นมาของเรื่องราว รวมถึงเรื่องการเปลี่ยนแซ่ด้วย เรื่องนี้ที่จริงก็ออกจะวุ่นวายอยู่บ้าง แต่เมื่อคิดถึงเหตุผลแล้วก็พอจะเข้าใจได้
“เรื่องราวคร่าวๆ ก็ประมาณนี้ ท่านน้า ข้าว่าจะให้เธอเป็นผู้อาวุโสของนิกายเทียนเฉวียนเช่นกัน แต่ก็กลัวว่าจะเป็นที่ครหาเอาได้ ดังนั้นข้าจึงอยากจะให้เธอรับตำแหน่งผู้จัดการไปก่อน ไว้เธอสร้างคุณความชอบเมื่อไหร่ค่อยเลื่อนให้เธอเป็นผู้อาวุโสอีกที” อี้เทียนหยุนทำเช่นนี้ไม่ใช่เพราะว่าเธอเป็นพี่ของอี้อวี่เหว่ย
แต่เขารู้ว่าความแข็งแกร่งของอี้อวี่เสวียนก็ไม่ต่ำต้อย ถ้าไร้ซึ่งอำนาจ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะยื่นไม้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ
“ผู้อาวุโสอี้ เรื่องนี้ไม่จำเป็นก็ได้ ให้ข้าเป็นผู้ช่วยของน้องสาวก็พอแล้ว ข้าไม่ได้หวังจะมีตำแหน่งอะไรที่นี่ แค่นิกายเทียนเฉวียนให้การปกป้องข้าก็มีความสุขมากแล้ว” อี้อวี่เสวียนพูดพวกนี้ออกมาจากใจ เธอไม่ได้หวังฐานะอะไรจากที่แห่งนี้ แค่ให้ที่ปกป้องเธอแค่นี้ก็ดีมากแล้ว อย่างน้อยเมื่อเทียบกับตระกูลจู้ก็ถือว่าดีกว่ามาก
“อย่าพูดเหลวไหล ขอแค่เจ้ามีความสามารถมากพอ เจ้าก็จะได้รับตำแหน่งตามความสามารถที่เจ้ามี” ชิเสวี่ยอวิ๋นพูดด้วยรอยยิ้ม “เพราะงั้น ตอนนี้เจ้าก็เริ่มจากการเป็นผู้จัดการไปก่อนก็แล้วกัน”
“ขอบคุณท่านเจ้าตำหนัก!” ดวงตาของอี้อวี่เสวียนเป็นประกาย แน่นอนว่าเธอไม่รังเกียจตำแหน่งผู้จัดการนี้ สามารถพูดได้ว่าดีใจอย่างมากเลยล่ะ และในเมื่อเป็นอย่างนี้ เธอก็จะขอทำหน้าที่ให้ดีที่สุดอย่างแน่นอน!
หลังจากจัดการเรื่องราว ชิเสวี่ยอวิ๋นก็กรอกตาใส่เขา พร้อมกับแค่นเสียงออกมาว่า “เจ้านี่ช่างมีความสามารถจริงๆ กลับมาแต่ละครั้งเป็นต้องพาผู้หญิงกลับมาด้วย หญิงกว่านั้นยังเป็นคนที่มีความสามารถยอดเยี่ยมทั้งนั้น ดูเหมือนเจ้าจะชอบลักพาตัวผู้คนเสียจริงนะ ทำไมเมื่อก่อนข้าถึงมองไม่เห็นกันนะ?”
“นี่…. ท่านน้า ท่านอย่าพูดอย่างกับข้าเป็นคนเลวอย่างนั้นสิ ข้าไปลักพาตัวพวกเธอตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” อี้เทียนหยุนพูดอย่างช่วยไม่ได้
“ฮึ่ม!” ชิเสวี่ยอวิ๋นยื่นมือออกมาเขกหัวเขา จากนั้นก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “กลับมาก็ดีแล้ว ข้าจะไม่ถามอะไรอีก แค่เจ้ากลับมาอย่างปลอดภัยก็เพียงพอแล้ว”
อี้เทียนหยุนพยักหน้า จากนั้นก็ถามขึ้นด้วยความดีใจผสมกับความประหลาดใจ “ท่านน้า นี่ท่านทะลวงผ่านแล้วอย่างงั้นเหรอ?”
เพียงเวลาผ่านไปแค่ไม่นาน ไม่คิดเลยว่าชิเสวี่ยอวิ๋นจะทะลวงเข้าสู่ระดับก่อแกนวิญญาณแล้ว ความเร็วของเธอนี่ช่างสมกับฉายาอัจฉริยะจริงๆ
“มันยังไม่มั่นคงนัก ถ้าข้าไม่รีบทะลวงผ่านให้เร็ว มันจะไม่เป็นการเสียชื่อเจ้าตำหนักอย่างงั้นเหรอ?” ชิเสวี่ยอวิ๋นยิ้มอย่างคลุมเครือ
“ท่านก็อย่าได้กดดันตัวเองไป ไม่ใช่ว่ายังมีข้าอยู่หรอกเหรอ” อี้เทียนหยุนพูดอย่างเป็นห่วง
“ยิ่งมีเจ้าอยู่ข้าก็ยิ่งต้องแข็งแกร่งขึ้น ไม่อย่างนั้นข้าจะดูแลนิกายเทียนเฉวียนได้ยังไง?” ชิเสวี่ยอวิ๋นพูดด้วยรอยยิ้ม “นี่ไม่อาจเอาแต่พึ่งพาเจ้าฝ่ายเดียว นี่ต้องเป็นเรื่องของทั้งนิกายเทียนเฉวียนสิถึงจะถูก จริงไหม? ตั้งแต่วันนั้น สถานการณ์ก็ดีขึ้นมาก ศิษย์หลายคนก็พากันทะลวงผ่าน ขอเวลาอีกไม่นาน พวกเขาก็จะกลายเป็นขุมอำนาจชั้น 2 ระดับหัวแถว!”
อี้เทียนหยุนพยักหน้า จากนั้นก็เหมือนกับนึกบางสิ่งออก พร้อมกับหยิบแหวนเก็บของออกมา และพูดว่า “นี่เป็นของที่ข้าปล้นมาจากข้างนอก ข้าให้ท่านเก็บเอาไว้ เรื่องการจัดการอะไรนั่น ข้าไม่ถนัดเรื่องพวกนี้”
เขาส่งแหวนเก็บของที่ได้มาจากหลินหลี่ และสมบัติที่ได้มาจากตระกูลหวังส่งให้กับชิเสวี่ยอวิ๋น แม้ว่าบางสิ่งจะสามารถขายเป็นค่าความคลั่งได้ แต่เขาก็เลือกที่จะส่งมอบออกไป เพราะการทำให้นิกายเทียนเฉวียนแข็งแกร่ง คือเรื่องหลักในตอนนี้
หลังจากชิเสวี่ยอวิ๋นรับของมา เธอก็ไม่ได้ตรวจดูว่าข้างในมีอะไร แต่กลับจับจ้องไปที่เขาแทน
“ทำไมไม่ดูล่ะว่าข้างในมีของอะไรบ้าง?” อี้เทียนหยุนบอกให้เธอดู ในนั้นมีของดีอยู่มากมาย
“น่าโง่….” ชิเสวี่ยอวิ๋นดึงเขาเข้ามากอดเบาๆ กอดเขาราวกับเด็ก แต่ร่างกายของอี้เทียนหยุนในตอนนี้ใหญ่กว่าเธอมาก ดูแล้วเหมือนกับเด็กสาวอ่อนแอหรือเด็กที่กำลังอ้อนมากกว่า “เจ้าคงจะเหนื่อยมากสินะ……”
“นี่ไม่เท่าไหร่หรอก ขอแค่มันดีต่อนิกายเทียนเฉวียน ดีต่อท่านก็พอแล้ว” อี้เทียนหยุนยกมือขึ้นกอดตอบชิเสวี่ยอวิ๋นเบาๆ ในสายตามีประกายระยิบระยับ ต่อให้ตอนนี้จะมีหญิงสาวมากมายล้อมรอบ แต่สำหนับเขาแล้ว คนที่เขาสนใจมีแต่ชิเสวี่ยอวิ๋นเท่านั้น
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะโตขึ้นแล้วจริงๆ ไม่เหมือนก่อนหน้านี้ที่ต้องให้ข้าคอยปกป้อง” ชิเสวี่ยอวิ๋นออกมาจากอ้อมแขนของเขา พร้อมกับเผยรอยยิ้มคลุมเครือออกมา
“ก็ไม่เห็นแปลก ถึงยังไงสักวันข้าก็ต้องโตขึ้น จากนี้ไป ข้าจะเป็นคนปกป้องท่านเอง” อี้เทียนหยุนพูดด้วยรอยยิ้ม
พวกเขาคุยกันอีกนิดหน่อย จากนั้นก็แยกไปจัดการเรื่องของใครของมัน พวกเขายังมีเรื่องให้ต้องทำอีกมาก ดังนั้นเวลาที่จะอยู่ด้วยกันจึงมีจำกัด
จากนั้นอี้เทียนหยุนก็เดินมาถึงประตูหน้า เตรียมที่จะซ่อมแซมค่ายกลป้องกันชั้น 5 นี้
“นายท่าน ท่านคิดจะซ่อมแซมค่ายกลป้องกันชั้น 5 นี้อย่างงั้นเหรอ?” เหล่าเซวียนที่โผล่ออกมาได้ถามขึ้น
“มีปัญหาอย่างงั้นเหรอ?” อี้เทียนหยุนพูดด้วยรอยยิ้ม
“นี่…. ถ้าการซ่อมแซมเกิดล้มเหลว มันง่ายที่จะเกิดปัญหา ดังนั้น…..”
เหล่าเซวียนยังพูดไม่ทันจบ อี้เทียนหยุนก็เริ่มทำการซ่อมแซมแล้ว หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ซ่อมแซมเสร็จสมบูรณ์ แล้วเงยหน้าขึ้นมาถามว่า “ถ้าซ่อมแซมล้มเหลว มันง่ายที่จะเกิดปัญหา แล้วยังไงนะ?”
“……”
เหล่าเซวียนกลายเป็นพูดไม่ออก ความสำเร็จนี้ มันเกินกว่าที่เขาจะจินตนาการถึง