CLS ตอนที่ 230: งานเลี้ยง
ปกป้องศักดิ์ศรีของวังเทียนจี๋!
คำพูดนี้พลันทำให้เลือดลมของพวกเขาพุ่งพล่าน อำนาจในปัจจุบันของพวกเขาด้อยกว่าคนอื่น ทำให้ศักดิ์ศรีต้องพลอยโดนเหยียบย่ำ แล้วอย่างนี้จะไม่ให้ในใจรู้สึกท้อแท้ได้ยังไง? แต่ตอนนี้เมื่ออี้เทียนหยุนออกหน้า ทำให้ความท้อแท้ทอดอาลัยของพวกเขาจางหายไป พร้อมกับจุดไฟขึ้นในใจของพวกเขาอีกครั้ง
“พวกเราขอน้อมรับคำสั่งสอนของประมุข ท่านประมุขจะให้เราทำอะไรก็จะทำอย่างนั้น!” ผู้อาวุโสใหญ่พยักหน้าหนักๆ เชื่อมั่นในอี้เทียนหยุนอย่างเต็มเปี่ยม ก่อนหน้านี้เพราะคิดว่าศักยภาพของเขาดีเยี่ยม จึงยอมรับชะตาให้เขาเป็นประมุข แต่ด้วยการกระทำของเขาในตอนนี้ ทำให้เขายอมรับอี้เทียนหยุนในฐานะประมุขอย่างเต็มตัว
แต่ตอนนี้เปลี่ยนไปแล้ว แม้จะยังไม่แข็งแกร่งดุจเดิม แต่ก็ไม่ยอมให้ถูกรังแกง่ายๆ ต่อไปแล้ว เพราะผลลัพธ์สุดท้ายของการยอมจำนน ก็คือความตาย! แต่ถ้าในที่สุดแล้วต้องตายไปจริงๆ ก็ขอต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรีของตัวเองดีกว่า!
วังเทียนจี๋ค่อนข้างมีชื่อเสียงในอดีต ทุกคนล้วนแต่ภาคภูมิใจ แต่ตอนนี้กลับเหมือนกับหน่อไผ่ที่ถูกสุนัขแทะกิน แล้วอย่างนี้จะไม่ให้ท้อแท้ได้ยังไง
อี้เทียนหยุนเผยรอยยิ้มออกมา ต่อให้เป็นระดับอาณาจักร เขาก็ยังจะกำจัดไปโดยไม่สนใจอะไรอยู่ดี! ฝ่ายตรงข้ามขึ้นมากดหัวเขาถึงที่ ทั้งยังขู่ว่าจะตัดแขนเขาอีก ซึ่งนี่เขาไม่มีทางยอมอยู่แล้ว อย่าว่าแต่ขุมอำนาจชั้น 3 เลย เพราะตอนนี้เขาไม่กลัวขุมอำนาจชั้น 3 หน้าไหนอยู่แล้ว!
มาเท่าไหร่ฆ่าเท่านั้น เปลี่ยนทุกอย่างให้เป็นค่าประสบการณ์ให้หมด
“วังเสินเหวินนี่ช่างโอหังจริงๆ ดูอย่างเจ้าหลินหลี่อะไรนั่น คิดว่าตัวเองเป็นศิษย์ของวังเสินเหวินแล้วจะอวดเก่งยังไงก็ได้อย่างงั้นเหรอ?”
ไม่ปฏิเสธว่าวังเสินเหวินนั้นมีชื่อเสียงไม่น้อยจริงๆ ทั้งที่จริงแล้วสำนักของพวกเขาก็ค่อนข้างแข็งแกร่ง พร้อมกับมีผู้เชี่ยวชาญมากมายที่ติดต่อกับพวกเขา ไม่แปลกใจที่จะทำตัวโอหัง ตอนแรกคิดว่าวังเสินเหวินจะมีขยะแค่หลินหลี่คนเดียว แต่ตอนนี้เหมือนว่าเขาจะคิดผิดไป แท้จริงแล้วกลับเป็นสำนักที่เต็มไปด้วยขยะกองโต!
แต่ละคนล้วนแต่เป็นสุนัขตาต่ำ ชอบทำตัวหยิ่งยโส ถ้าเจอกับสำนักที่ต่ำกว่า ไม่มีทางไว้หน้าแม้แต่น้อย
นี่ทำให้อี้เทียนหยุนรังเกียจวังเสินเหวินนี้ หวังว่าวังเสินเหวินจะไม่ตามมาตอแยเขาอีก ไม่อย่างนั้น เขาจะบดขยี้วังเสินเหวินนี้ทิ้งซะ แล้วเอาค่าความชำนาญในการสลักอาคมกองตัวเข้าตัว ทำให้เขาเลื่อนระดับของความชำนาญในการสลักอาคมไวขึ้นอีกหน่อย
จากนั้นพวกเขาก็กลับเข้าห้องไป อี้เทียนหยุนอยู่ในห้องคนเดียว ส่วนอีกสี่คนพักอยู่อีกห้อง ด้วยระดับอย่างพวกเขาแล้ว ไม่จำเป็นต้องนอนพักอีกต่อไป เพียงแค่นั่งสมาธิก็พอแล้ว เพราะสุดท้ายแล้วก็ไม่ต่างอะไรไปจากการนอนเลย
ตอนแรกอี้เทียนหยุนอยากให้พวกเขามาพักกับเขาด้วย แต่ผู้อาวุโสใหญ่กับพวกกลับไม่ยอม ให้อี้เทียนหยุนพักในห้องคนเดียว นี่เป็นการดูแลที่ประมุขควรได้รับ
อี้เทียนหยุนรู้สึกช่วยไม่ได้ จึงได้แต่พักในห้องคนเดียว เวลาในงานเลี้ยงใกล้เข้ามาแล้ว วันมะรืนก็ถึงแล้ว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องคอยนาน เนื่องเพราะเขารู้วันเวลาที่แน่นอนจากบัตรเชิญอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่รีบมา เพื่อที่จะได้ไม่ต้องรอนาน
พริบตา เวลาก็ได้ผ่านไป ในช่วงที่ผ่านมานี้ วังเสินเหวินไม่ได้ส่งคนมาหาเรื่องเขา จึงทำให้ที่นี่ค่อนข้างสงบ
“ได้เวลาแล้ว” อี้เทียนหยุนลืมตาขึ้นมา อยู่ในนี้เขาทำการสลักอาคมเล่นๆ ภายใต้การฝึกฝนเล็กๆ ทำให้เขาได้รับค่าความชำนาญมา
เขาอยากจะรีบย้ายนิกายเทียนเฉวียนมาที่วังเทียนจี๋เพื่อรวมสองสำนักเข้าด้วยกัน ไม่ต้องสงสัยว่าการทำอย่างนั้นจะทำให้ความแข็งแกร่งโดยรวมเพิ่มขึ้นด้วย
ขณะที่เขาก้าวออกจากห้อง พวกผู้อาวุโสใหญ่ก็เพิ่งออกจากห้องมาเช่นกัน พวกเขาต่างพากันมองตากัน ทำให้เห็นถึงความระแวดระวังจากแววตาของอีกฝ่าย งานเลี้ยงคราวนี้ พวกเขาไม่เชื่อว่าจะเป็นงานเลี้ยงที่บริสุทธิ์ ถ้าใครคิดอย่างนั้นก็เป็นคนโง่แล้ว
ตอนแรกที่ผู้อาวุโสหยุนของตำหนักซิงเฉินเชิญเขานั้น ได้อธิบายว่าวัตถุประสงค์ในการมาของอาณาจักรใต้พิภพนั้น ก็เพื่อเชิญพวกเขาเข้าร่วมงานเลี้ยง ซึ่งในงานเลี้ยงจะเป็นหัวข้ออะไรนั้น ขึ้นอยู่กับตัวแทนที่มา แต่พวกเขาเชื่อว่าจะต้องไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน
“ไปกันเถอะ”
พวกเขาพยักหน้า จากนั้นก็เดินตรงไปยังตำหนักกลางเมืองจู้หลง ตัวตำหนักประดับประดาอย่างหรูหรา ทำให้ผู้คนมารวมตัวกันมากมาย แต่คนที่ถูกเชิญเข้าไปนั้น กลับมีน้อยนิด
ดังนั้น จึงทำให้ขุมอำนาจชั้น 3 หลายสำนักที่มาต้องพักที่โรงเตี๊ยม ทำให้โรงเตี๊ยมในเมืองถูกพวกเขาจองจนเต็ม การดูแลอย่างนี้นับว่าแย่มาก พูดได้ว่าอาณาจักรใต้พิภพนั้นช่างโอหังยิ่งนัก เป็นคนเชิญพวกเขามาเองแท้ๆ แต่กลับไม่เตรียมที่พักอาศัยเอาไว้ให้ ต้องให้พวกเขาไปหาที่พักตามโรงเตี๊ยมกันเอาเอง
แม้ว่าด้วยระดับอย่างพวกเขาจะนั่งสมาธิอยู่ที่ไหนก็ได้ แต่สำนักล้วนต้องคำนึงถึงหน้าตา กระทั่งที่พักยังไม่มี แล้วจะไม่ถูกหัวเราะเยาะหรือยังไง?
อย่างรวดเร็ว พวกเขาก็มาถึงประตูเข้าเมือง สองฟากข้างมียามรักษาการณ์ระดับหลอมรวมสองคนยืนเฝ้าอยู่ พร้อมคอยตรวจสอบบัตรเชิญ ใครที่ไม่มีบัตรไม่สามารถเข้าไปได้
“ขอบัตรเชิญด้วย!” ยามบอกพวกเขาให้หยุน พร้อมกับขอบัตรเชิญ
ผู้อาวุโสใหญ่ส่งบัตรเชิญให้ไป หลังจากตรวจดูเล็กน้อย ยามก็พยักหน้าแล้วพูดว่า “เข้าไปได้!”
พวกเขาถูกอนุญาตให้ผ่านในทันที สำหรับรูปลักษณ์ของพวกอี้เทียนหยุนนั้น พวกเขาไม่ชำเลืองดูแม้แต่น้อย ตราบเท่าที่มีบัตรเชิญ ต่อให้เป็นขอทานก็สามารถเข้าไปได้ และแน่นอนว่าต้องมีความกล้าที่จะทำอย่างนั้นด้วยเช่นกัน ถ้าเกิดปลอมตัวเข้าไป แน่นอนว่าเท่ากับเอาชีวิตไปทิ้ง
หลังจากเข้ามา ก็ได้มียามหลายคนเดินตรวจตรารอบๆ งาน สายตาของพวกเขาจับจ้องมาที่นี่คราหนึ่ง ตัวหัวหน้านั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับก่อแกนวิญญาณ ส่วนลูกน้องนั้นมีระดับหลอมรวม
ความห่างชั้นนั้นไม่ใช่น้อยๆ ผู้เชี่ยวชาญระดับก่อแกนวิญญาณในขุมอำนาจชั้น 3 ล้วนแต่เป็นระดับผู้อาวุโสด้วยกันทั้งนั้น แต่ที่นี่กลับเป็นได้แค่หัวหน้ายามรักษาการณ์ แน่นอนว่าระดับของพวกเขานั้นไม่ต่ำ เพียงแต่เมื่อเทียบกับระดับผู้อาวุโสที่ใช้ชีวิตอย่างสบายแล้ว พวกเขากลับต้องเดินไปมาเพื่อตรวจตราสถานการณ์ต่างๆ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาได้จัดการเรื่องพวกนี้บ่อยๆ
อยากจะเป็นระดับผู้อาวุโสนั้น อย่างน้อยต้องอยู่ในระดับผันแปรวิญญาณ แต่จะถูกเรียกว่าต้าเฉิน(น่าจะประมาณเสนาบดี) หรือไม่ก็เจียงจวิน(ส่วนอันนี้แม่ทัพ)
อี้เทียนหยุนได้ยินมาว่าผู้ที่จะมาในวันนี้มีตำแหน่งต้าเฉิน ส่วนระดับนั้นน่าสะพรึงยิ่งนัก เพราะเป็นถึงปรมาจารย์ระดับผันแปรวิญญาณขั้นที่ 6 ช่างท้าทายสวรรค์จริงๆ ด้วยพลังระดับนี้ ทำให้สามารถสะกดข่มบรรพชนของขุมอำนาจชั้น 3 ได้อย่างง่ายดาย แล้วอย่างนี้จะไปมีใครกล้าปากพล่อยได้ยังไง
ภายใต้การนำทาง พวกเขาก็ได้เข้ามายังพื้นที่ชั้นในอย่างรวดเร็ว ที่นี่มีผู้เชี่ยวชาญกำลังพูดคุยกันมากมาย หลายขุมอำนาจต่างก็แยกตัวกันเป็นกลุ่มๆ อี้เทียนหยุนมองดู ดูว่าจะมีคนที่เขารู้จักอยู่ในนี้ไหม
เขาเพิ่งจะเงยหน้าขึ้นดู ก็พลันพบกับร่างงดงามที่คุ้นเคย ก่อนหน้านี้ที่เกาะโหมวหยุน เขาได้พบกับผู้หญิงสองคน เขาจำได้ว่าชื่อของพวกเธอคืออวี่ชีเชียนและจ้าวอวี่ พวกเธอก็มางานเลี้ยงนี้ด้วย เขารู้ว่าทั้งสองจะต้องเป็นศิษย์จากสำนักใหญ่อย่างแน่นอน คนที่ถูกเชิญมางานนี้ จะต้องเป็นศิษย์สำนักใหญ่แน่นอนอยู่แล้ว
ยังไงก็ตาม ตอนนี้เขาไม่ได้ใส่หน้ากากร้อยแปลง ดังนั้นพวกเธอจึงไม่สังเกตเห็นเขา
“ทางนั้นเป็นฝั่งของสำนักอะไร?” อี้เทียนหยุนชี้ไปที่ทางฝั่งอวี่ชีเชียน
“ทางนั้นคือศิษย์หญิงของวังไป๋เหลียน(บัวขาว) มีชื่อเสียงในอาณาจักรเทียนจิ่งนี้มากเชียวล่ะ ที่สำคัญยังเป็นสำนักที่รับแต่ศิษย์หญิงด้วย….. นี่ก็เหมือนกับนิกายเทียนเฉวียนของท่านประมุขนั่นล่ะ” ผู้อาวุโสใหญ่ตอบ
“วังไป๋เหลียน ทั้งยังรับแต่ศิษย์ผู้หญิงด้วย…… น่าสนใจ” ตาอี้เทียนหยุนเป็นประกาย สำนักที่รับแต่ศิษย์ผู้หญิงนั้น แท้จริงไม่ได้มีอะไรพิเศษนัก นิกายเทียนเฉวียนไม่ใช่สำนักแรก และก็ไม่ใช่สำนักสุดท้าย