CLS ตอนที่ 330: เริ่มการล้างบาง!
พวกเขาพากันมาถึงสถูปวิญญาณอย่างรวดเร็ว บรรพชนเผ่าภูตเหมือนกำลังนั่งอยู่ที่ตรงกลางค่ายกล พร้อมกับหลับตาเหมือนกำลังพักผ่อน และเมื่อพวกเขามาถึง เขาก็ทำการลืมตามองมาที่พวกเขาพร้อมกับรอยยิ้มคลุมเครือ พร้อมกับสีหน้าที่ดูดีขึ้น
อี้เทียนหยุนใช้เวลาในการกลั่นโอสถหลายวัน และในช่วงหลายวันนี้ พิษในร่างของบรรพชนเผ่าภูตก็ได้ถูกกำจัดออกไปจนหมด แม้ว่าเขาจะเหมือนไม้ใกล้ฝั่ง แต่ก็ยังห่างจากเวลานั้นอยู่หลายปี ภายใต้พลังที่แข็งแกร่งของเขา ทำให้เขาฟื้นฟูตัวเองค่อนข้างเร็ว
“มาแล้วเหรอ” บรรพชนเผ่าภูตมีสีหน้าเฉยชา ราวกับไม่กังวลถึงการมาของขุนพลมังกร
“ไม่ได้เจอกันหลายวัน สีหน้าของท่านบรรพชนดีขึ้นมาก ดูเหมือนว่าพิษจะถูกถอนออกไปจนหมดแล้วใช่ไหมครับ?” อี้เทียนหยุนพูดด้วยรอยยิ้ม
“อืม ดีที่ได้ยาถอนพิษของเจ้าช่วยเอาไว้ พิษในร่างของข้าถูกกำจัดจนหมดแล้ว ความรู้สึกที่ไม่มีพิษอยู่ในร่างนี้ช่างดีจริงๆ ก่อนหน้านี้รู้สึกเหมือนกับมีชีวิตไม่สู้ตกตาย” บรรพชนเผ่าภูตพูดคำนี้ออกมา ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่แสดงสีหน้าเจ็บปวดอะไรสักนิด
“นี่คงเป็นเรื่องที่ยากสำหรับท่านบรรพชนจริงๆ” อี้เทียนหยุนเก็บสีหน้า แล้วพูดอย่างจริงจังว่า “ท่านบรรพชน ไม่ทราบว่าเรียกให้ข้ามานี่มีเรื่องอะไรอย่างงั้นเหรอ? ครั้งนี้พวกเขาส่งขุนพลมังกรมา รวมถึงทหารมังกรอีกจำนวนมาก ท่านพอจะประมาณสถานการณ์นี้ได้หรือเปล่า?”
“ประมาณสถานการณ์ข้าคงไม่สามารถทำได้ ข้าช่วยเจ้าได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น” บรรพชนเผ่าภูตพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “แม้ว่าตอนนี้พิษจะถูกขับออกจากร่างข้าจนหมดแล้วก็จริง แต่ว่าพลังของข้ายังไม่ฟื้นกลับมาอย่างเต็มที่ ถ้าต้องเผชิญหน้ากับขุนพลมังกร ข้าคงไม่สามารถจัดการอีกฝ่ายได้ ยังไงก็ตาม ข้าสามารถควบคุมค่ายกลอยู่ที่นี่ ทำให้ค่ายกลสัมผัสพิศวงแสดงพลังของมันออกมาได้อย่างเต็มกำลัง! เมื่อถึงตอนนั้น เจ้าก็สามารถล่องหนได้ตลอดเวลา ขอแค่ไม่ใช่ผู้ฝึกตนที่ระดับสูงเกินไป เจ้าก็จะสามารถเดินผ่านหน้าพวกเขาโดยที่พวกเขาไม่สามารถเห็นเจ้าได้!”
“ซึ่งระดับไม่สูงที่ว่านี้คือพลังระดับก่อแกนวิญญาณขั้นที่ 8 เจ้าสามารถเดินผ่านหน้าพวกเขาโดยที่พวกเขาไม่สามารถสัมผัสถึงเจ้าได้แม้แต่น้อย!”
“ร้ายกาจ!” อี้เทียนหยุนตาเป็นประกาย ไม่คิดว่าค่ายกลสัมผัสพิศวงจะมีพลังที่น่าตื่นตะลึงขนาดนี้
“ถ้าท่านบรรพชนอยู่ในจุดสูงสุดของท่านล่ะก็ ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนระดับผันแปรวิญญาณมา พวกเราก็สามารถเดินผ่านหน้าพวกเขาโดยที่พวกเขามองไม่เห็นเจ้า นอกเสียจากว่าเจ้าจะโจมตีพวกเขา” เย่ชิงเสวียนพูดเสริมอยู่ด้านข้าง
อี้เทียนหยุนพยักหน้า เขาสามารถจินตนาการได้เลยว่า การที่เผ่าภูตสามารถปกปิดตัวตนได้เป็นเวลานาน ใช่ว่าจะไร้เหตุผล
ถ้าไม่ใช่เพราะมีคนในทรยศล่ะก็ อาณาจักรใต้พิภพจะกล้ารุกรานได้ยังไง นั่นไม่เท่ากับรนหาที่ตายหรอกเหรอ ที่พวกเขาบุกมาคราวนี้ คงจะคิดว่าบรรพชนเผ่าภูตไม่มีปัญญาควบคุมค่ายกลล่ะสิ ถ้ารู้ว่าบรรพชนเผ่าภูตสามารถขจัดพิษทั้งยังลงมือควบคุมค่ายกลด้วยตัวเองล่ะก็ เชื่อว่าพวกเขาคงไม่กล้าบุกมาง่ายๆ อย่างนี้อย่างแน่นอน
“งั้นตอนนี้พวกเราก็มารอพวกมันมาถึงกัน!” ในสายตาของอี้เทียนหยุนเป็นประกายเย็นชาขึ้นหลายส่วน
ในช่วงเวลาก่อนหน้านี้สักพัก ขุนพลมังกรกำลังนำลูกน้องกลุ่มหนึ่งของเขาพุ่งตรงมาที่นี่อย่างบ้าคลั่ง ซึ่งลูกน้องกลุ่มนี้ของเขาเป็นทหารมังกรซึ่งมีกันอยู่เกือบ 30 คนด้วยกัน! นี่ถือได้ว่าเป็นจำนวนที่น่าสะพรึงอย่างมาก มังกรดินถือว่าเป็นสัตว์อสูรระดับหายาก แต่ที่นี่กลับมีรวมกันเกือบ 30 ตัว!
ที่ขุนพลมังกรนำทหารมังกรกลุ่มนี้มา นอกจากเพื่อที่จะจัดการกับเผ่าภูตอย่างอยู่หมัดแล้ว ยังเป็นการรักษาหน้าของอาณาจักรใต้พิภพอีกด้วย คุกใต้พิภพถูกใครก็ไม่รู้ทำลาย ทำให้อาณาจักรใต้พิภพเสียชื่อเสียงอย่างมาก พูดได้ว่าเป็นการถูกตบหน้าอย่างหนัก
ทำให้หลายขุมอำนาจคิดว่าอาณาจักรใต้พิภพไม่มีน้ำยา ความกลัวที่มีต่อพวกเขาจึงลดลงมาก เพื่อที่จะแสดงความแข็งแกร่งให้ประจักษ์ ขุนพลมังกรจึงได้นำทหารมังกรเข้าสู่สนามรบให้ครั้งนี้ เพื่อจับกุมเผ่าภูตทั้งเผ่า
ขุมอำนาจของเผ่าภูตเป็นที่น่าตื่นตะลึงมาก โลกภายนอกพูดกันว่าเผ่าภูตเป็นขุมอำนาจชั้น 4 หากสามารถจัดการกับเผ่าภูตทั้งเผ่าได้ล่ะก็ มันก็จะก่อให้เกิดเป็นคำเตือนส่งต่อให้กับขุมอำนาจอื่น
“เผ่าภูตอยู่ตรงหน้านี้แล้ว ทุกคนหยุด!” ขุนพลมังกรสั่งให้คนของเขาหยุด จากนั้นก็หยิบแผ่นยันต์หลายแผ่นออกมาจากแหวน จากนั้นก็ชี้ไปยังป่าด้านหน้า พร้อมกับตะโกนเสียงดังว่า “ไป บดขยี้เผ่าภูตให้ข้า ขุดสุสานบรรพบุรุษพวกมันออกมา!”
“ครับ ท่านขุนพล!”
พวกเขาพากันโห่ร้อง จากนั้นก็ขี่มังกรดินพุ่งเข้าไปด้านใน ทุกสิ่งกลายเป็นเปราะบาง พวกเขาพากันบุกเข้าไปในป่า ตลอดทางที่ผ่าน ร่างของเขาก็ได้ปลดปล่อยอาคมออกมา ปล่อยออกไปทั่วทุกทิศ ต้านทานค่ายกลสัมผัสพิศวง แม้จะไม่ครอบคลุมทุกที่ แต่พวกเขาก็สามารถรวมกลุ่มไปด้วยกันได้
ในขณะที่กลุ่มทหารมังกรบุกเข้าไป ขุนพลมังกรก็ได้เข่นฆ่าเข้ามาในที่สุด เขายกกระดาษยันต์ในมือขึ้นมาอย่างรวดเร็ว พร้อมกับปาเข้าไปยังป่าภูตด้านหน้า อย่างรวดเร็ว “ฟรึบ” เสียงไฟก็เริ่มกระจายออกทุกทิศทาง ก่อให้เกิดการลุกไหม้
ความจริงต้นไม้ในป่านี้ติดไฟยากมาก แต่ตอนนี้พวกมันกลับเหมือนไม้ฟืนทั่วไป ติดไฟเร็วมาก ทำให้เปลวเพลิงลากไปทั่วทุกทิศทาง นี่ก็เหมือนกับที่เขาเคยพูด เขามาเพื่อบดขยี้ที่นี่!
ถ้าต้นไม้พวกนี้มันขวางทาง งั้นก็จัดการเผาพวกมันทิ้งซะ เมื่อต้นไม้พวกนี้ถูกเผาจนหมด แล้วค่ายกลจะยังใช้งานได้อยู่ไหม?
ขณะเดียวกัน ที่สถูปวิญญาณ บรรพชนเผ่าภูตในตอนนี้สีหน้าได้ดำคล้ำลง “ไม่คิดว่าพวกมันจะเผาป่าอย่างนี้ พวกมันจะต้องทำการยับยั้งความสามารถของต้นไม้พวกนี้อย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นคงไม่สามารถจุดไฟเผาป่าได้อย่างง่ายดายอย่างนี้……”
“พวกมันกำลังเผาป่าอย่างงั้นเหรอ?” นัยน์ตาสีเงินของเย่ชิงเสวียนเป็นประกายเย็นชา “งั้น พวกมันก็คิดจะเผาพวกเราไปด้วยอย่างงั้นเหรอ?”
“ใช่แล้ว และไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น พวกมันยังสามารถป้องกันค่ายกลสัมผัสพิศวงได้ด้วย เห็นได้ชัดว่ามีการเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี ครั้งนี้พวกมันไม่ได้วางแผนมาจับพวกเราง่ายๆ อีกแล้ว ดูเหมือนว่าต้องการขับไล่พวกเราออกไปโดยสมบูรณ์ ทั้งยังเพื่อกู้หน้าของพวกมันด้วย! ถ้าไม่เชื่อฟัง งั้นผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้ก็คือการถูกบดขยี้!” บรรพชนเผ่าภูตยิ้มเยาะ “แต่คิดว่าแค่นี้จะสามารถจัดการเผ่าภูตของเราได้ งั้นพวกมันก็คิดง่ายเกินไปแล้ว!”
หลังจากพูดจบ บรรพชนเผ่าภูตก็ทำการผูกผนึก ทำให้ทั่วทั้งสถูปวิญญาณเปล่งแสงเจิดจ้าออกมา พร้อมกันนั้นก็ปรากฏเมฆดำกลุ่มหนึ่งปกคลุมตรงป่าที่กำลังถูกเผา จากนั้น เมฆดำกลุ่มนั้นก็กลั่นน้ำฝนออกมา ทำการดับไฟที่กำลังเผาป่า
ไฟที่ใช้เผาป่านี้ย่อมไม่ใช่ไฟธรรมดา การที่จะใช้น้ำนี้ดับย่อมต้องยากอยู่แล้ว ทำให้ต้องใช้เวลานาน แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าก่อนหน้า ทั้งยังช่วยยับยั้งไม่ให้ไฟลามไปที่อื่น
ยิ่งกว่านั้น ทั่วทั้งป่าพิศวงแห่งนี้ก็พลันปรากฏหมอกหนาขึ้นอย่างรวดเร็ว พริบตา ป่าภูตธรรมดาก็พลันถูกปกคลุมไปด้วยหมอกหนา
และในขณะที่ทหารมังกรทำการบุกเข้าไปต่อนั้น ก็พลันชนกับต้นไม้ตรงหน้าเสียงดัง กระทั่งมังกรดินที่ขี่อยู่ยังต้องกระเด็นกลับมา
“นี่มันอะไรกัน ทำไมอยู่ๆ ก็มีต้นไม้ขึ้นขวางตรงหน้าล่ะ?” พวกเขาพากันตกใจ ที่อยู่ๆ ก็มีต้นไม้ขึ้นขวางตรงหน้า
ไม่เพียงแต่พวกเขาเท่านั้น กระทั่งขุนพลมังกรยังเกือบจะชนต้นไม้! แต่พวกเขายังคงโอบล้อมบุกเข้าไป และในขณะที่บุกเข้าไปข้างในนั้น พวกเขาก็ต้องชนกับต้นไม้ที่ขวางหน้าซ้ำอีกครั้ง คนที่ตอบสนองทันก็ดีหน่อย แต่คนที่ตอบสนองไม่ทันก็ต้องชนเข้ากับต้นไม้อย่างจัง
ในตอนนี้ ที่สถูปวิญญาณ บรรพชนเผ่าภูตที่ทำการควบคุมค่ายกลอยู่ก็ได้พูดกับพวกอี้เทียนหยุนว่า “ตอนนี้เริ่มได้แล้ว พวกมันตกอยู่ภายใต้ค่ายกลสัมผัสพิศวงแล้ว แค่แผนตื้นๆ ยังกล้ามาใช้ต่อหน้าข้า?”
อี้เทียนหยุนพยักหน้า ไม่เสียทีที่เป็นถึงนักสลักอาคมระดับจงซือ ความสามารถในการควบคุมค่ายกลนี้ เหนือกว่าผู้อาวุโสเยี่ยนเมื่อก่อนหน้ามาก สถูปวิญญาณที่อยู่ในมือเขา ถึงจะเป็นสถูปวิญญาณที่แท้จริง!
“ดีมาก งั้นก็ได้เวลาล้างบางแล้ว…… มาเริ่มกันเลย!”
ตาของอี้เทียนหยุนมีประกายเย็นชาวาบผ่าน พร้อมๆ กับจิตสังหารที่ลุกโชน!