CLS ตอนที่ 380: แมลงหิน
เห็นผู้เชี่ยวชาญระดับผันแปรวิญญาณอย่างหลู่เถียนถูกจัดการอย่างนั้น ผู้เชี่ยวชาญระดับผันแปรวิญญาณคนอื่นที่คิดอยากจะเข้ามาช่วยก็เหมือนกับว่าเท้าทั้งสองข้างมีรากงอกออกมา ไม่สามารถก้าวออกมาได้แม้แต่ครึ่งก้าว พวกเขาพากันมองไปยังศพที่นอนกองอยู่ตรงนั้นพร้อมกับกลืนน้ำลาย เห็นอย่างนั้นแล้วพวกเขาจะไปกล้าออกหน้าได้ยังไง นี่มันเหมือนกับยื่นหน้าไปให้อีกฝ่ายตบชัดๆ
แค่ไม่กี่ฝ่ามือที่ตบอย่างต่อเนื่องก็ทำให้หลู่เถียนต้องกระอักเลือดออกมาแล้ว แถมยังมีลูกเตะสุดท้ายที่ทำให้ถึงตายนั่นอีก เพียงแค่ส่งสัมผัสวิญญาณออกไปตรวจดูแค่เล็กน้อย ก็รู้แล้วอีกฝ่ายได้ตายไปเรียบร้อยแล้ว ไม่มมีกลิ่นอายแห่งชีวิตเหลืออยู่อีก
“มีใครมีปัญหาอีกไหม ถ้ามีก็ให้รีบออกมา ข้าไม่รังเกียจที่จะตบหน้าอีกสักหลายคน” อี้เทียนหยุนกวาดตามองไปยังผู้คนที่อยู่รอบๆ แต่ละคนที่ได้สบตากับเขา ต่างก็พากันตกใจกลัวจนต้องก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว
พริบตานี้ไม่มีใครกล้าที่จะโผล่หัวออกมาช่วยซื่อเฉิงอีก แต่ละคนต่างก็มองหน้ากัน ไม่มีใครกล้าพูดออกมาแม้แต่ครึ่งคำ เพราะกลัวว่าใบหน้าของตนจะถูกตบเอา
“พี่ใหญ่อี้ ที่นี่ข้าจัดการเรียบร้อยแล้ว” สวี่เฟยเดินเข้ามายืนข้างๆ อี้เทียนหยุนพร้อมกับลมหายใจที่หอบเหนื่อย
อี้เทียนหยุนปรายตามองดู เห็นว่าซื่อเฉิงกับพวกตอนนี้ได้กลายเป็นหัวหมูไปแล้ว ดูแล้วเหมือนกับใบหน้าผิดรูป เป็นใบหน้าที่สยดสยองนัก สวี่เฟยผู้นี้ช่างไร้ปรานีจริงๆ แม้ว่าจะไม่กล้าพอที่จะสังหารอีกฝ่ายอย่างโหดเหี้ยม แต่อย่างน้อยก็ทำให้พวกเขาจดจำได้ ดูแล้วน่าสงสารอย่างมาก จำเป็นต้องพักรักษาตัวสักพัก ถึงจะสามารถฟื้นคืนมาอยู่ในสภาพเดิมได้
ซื่อเฉิงจะดีจะร้ายก็เป็นถึงบุตรชายของขุนพลซื่อ แม้ว่าอี้เทียนหยุนจะไม่รู้ว่าขุนพลซื่อผู้นี้เป็นใคร แต่ดูจากคำนำหน้าแล้ว อีกฝ่ายต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน แต่แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเขา เขาอยากจะฆ่าก็ฆ่า ไม่คิดที่จะออมมืออยู่แล้ว แต่กับสวี่เฟยนี้มันต่างกัน เขาทำได้เพียงสั่งสอนอีกฝ่ายที่พูดจาไม่ดีเท่านั้น ไม่สามารถลงมือตามใจได้
“งั้นก็ดี พวกเราไปกันเถอะ” หลังจากพูดจบ อี้เทียนหยุนก็เดินนำเข้าไปยังเส้นทางเส้นทางหนึ่ง เมื่อบอกไปก็ไป สวี่เฟยไม่มีความลังเล ตามอี้เทียนหยุนไปติดๆ
หลังจากพวกเขาจากไปแล้ว คนอื่นๆ จึงได้รีบล้อมเข้ามา พวกเขาต่างพากันป้อนเม็ดยารักษาให้กับซื่อเฉิง นี่เป็นคนของขุนพลซื่อ การช่วยชีวิตพวกเขาถือเป็นบุญคุณอย่างหนึ่ง แล้วพวกเขาจะพลาดได้ยังไง
“ตระกูลสวี่คราวนี้ถึงคราวจบสิ้นแล้ว ไม่รู้ว่าสวี่เฟยไปรู้จักเจ้าคนโหดเหี้ยมนั่นจากที่ไหน ถึงกับกล้าลงมือกับคนของขุนพลซื่อ”
“ผายลม เจ้าคิดว่าตระกูลสวี่ด้อยกว่าตระกูลซื่ออย่างงั้นเหรอ? ตระกูลสวี่นั้นเป็นตระกูลที่แข็งแกร่ง ตระกูลซื่อไม่กล้าลงมือตามใจแน่ แต่ว่าสวี่เฟยผู้นี้ ข้าเกรงว่าคงจะต้องถูกขับออกจากตระกูล แต่เดิมพรสวรรค์ของเขาก็ไม่ดีอยู่แล้ว คราวนี้คงต้องถูกใช้เป็นตัวหมากเพื่อดับความโกรธของตระกูลซื่ออย่างแน่นอน”
“จะยังไงก็ช่าง คนแซ่อี้ที่มาด้วยกันกับสวี่เฟยผู้นี้ได้สังหารผู้อาวุโสตระกูลหลู่ กลัวว่าตระกูลหลู่จะต้องไม่ปล่อยเขาไปอย่างแน่นอน”
พวกเขาพากันคุยกันเสียงดัง ไม่ได้เงียบปากเหมือนก่อนหน้า เนื่องเพราะอี้เทียนหยุนกับพวกจาไปแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงกล้าพูด สามารถสังหารผู้เชี่ยวชาญระดับผันแปรวิญญาณได้อย่างง่ายดายอย่างนี้ คาดว่าระดับของเขาอย่างน้อยคงต้องเหนือกว่า กับคนที่ร้ายกาจขนาดนั้น พวกเขาจะไปกล้าตอแยอีกฝ่ายได้ยังไง? เต็มที่ก็ได้แต่สาปแช่งอยู่ในใจ จากนั้นก็รอให้ตระกูลอื่นเข้ามาจัดการเขาแทน
แต่ต่อให้ข้างบนจะคุยอะไรกัน อี้เทียนหยุนก็คร้านที่จะสนใจ ขนาดอาณาจักรใต้พิภพเขายังไม่กลัว กลับอีแค่ตระกูลกระจ้อยร่อยพวกนี้ไม่ได้อยู่ในความสนใจของเขา หากกล้ามาหาเรื่องเขา งั้นก็อย่ามาโทษ หากว่าเขาไม่เกรงใจ
ขณะเดียวกัน พวกเขาก็เดินมาถึงจุดที่เหมือนกับเหวไร้ก้น หากก้าวลงไปจะต้องร่วงหล่นโดยไม่มีที่สิ้นสุด
และในขณะที่มาถึงจุดตกนั้น ร่างของอี้เทียนหยุนก็ได้หยุดค้างกลางอากาศ แต่ร่างของสวี่เฟยกลับตกลงไปอย่างรวดเร็ว แต่ในขณะที่ตกลงมาได้ช่วงหนึ่งนั้น ก็ได้มีมือคว้าไหล่สวี่เฟยไว้ พาเขาบินลงไปด้วยกัน ด้วยความเร็วที่ไม่เร็วไม่ช้า
อย่างรวดเร็ว พวกเขาก็ตกลงมาจากเส้นทางนั้น และที่ปรากฏต่อสายตาของเขาก็คือพื้นที่ที่กว้างใหญ่ไพศาล ภายใต้การนำของเขา ร่างของพวกเขาก็ค่อยๆ ร่อนลงไปยังพื้นที่กว้างใหญ่นี้อย่างช้าๆ จนสุดท้ายก็ยืนอยู่กับพื้นได้อย่างมั่นคง
เมื่อเงยหน้ามองขึ้นไป ที่นี่กลับไม่มีอะไร และก็ดูเหมือนไม่มีอะไรไม่เหมาะสม
“พี่ใหญ่อี้ เมื่อกี้นี้ท่านสังหารผู้อาวุโสตระกูลหลู่ไป ตระกูลหลู่จะต้องไม่ปล่อยท่านไปอย่างแน่นอน” สวี่เฟยพูดด้วยความรู้สึกผิด “เพราะข้า จึงทำให้ท่านต้องมาพัวพันเรื่องแบบนี้”
“ผู้อาวุโสตระกูลหลู่? ฟังจากที่เจ้าพูด งั้นพวกเขาเลือกเข้าข้างขุมอำนาจไหน?” อี้เทียนหยุนถาม
“ขุมอำนาจ? ท่านหมายถึงว่าพวกเขาอยู่ฝั่งองค์หญิง หรือว่าฝั่งอัครเสนาบดีหลงอย่างงั้นเหรอ?” สวี่เฟยคิดแล้วพูดขึ้น “ถ้าจะให้พูด พวกเขาเป็นพวกเดียวกันกับอัครเสนาบดีหลง”
“งั้นข้าก็ไม่ได้ฆ่าผิดคน” อี้เทียนหยุนกวาดตามองที่นี่ นอกจากกองหินกองหนึ่งแล้ว ที่นี่ก็ไม่มีอะไรอีก “ตามข้ามา อย่าอยู่ห่างจากข้าเด็ดขาด”
ณ ปัจจุบัน มีเส้นทางมุ่งตรงสู่ด้านนอก ดูแล้วไม่มีอะไรไม่เหมาะสม จากนั้น เขาก็ยกเท้าก้าวเดินออกไป สวี่เฟยก็ก้าวตามหลังมาติดๆ พร้อมกับมองสำรวจรอบๆ ไม่หยุด ก่อนหน้านี้เขาอยากจะถามว่า “อะไรที่บอกว่าฆ่าไม่ผิดคน” แต่ก็ไม่ได้พูดออกมา สถานการณ์ในตอนนี้ไม่เหมาะที่จะถามเรื่องพวกนี้
แต่ในขณะที่พวกเขากำลังจะเดินผ่านกลุ่มหินยักษ์กองนี้อยู่นั้น ทันใดนั้นก้อนหินขนาดใหญ่ชิ้นหนึ่งก็พลันขยับ พร้อมกับกลิ้งเข้าใส่พวกเขาอย่างไม่ปรานี ดูเผินๆ มันเหมือนกับหินทั่วไปที่ไม่น่าขยับได้ แต่เมื่อดูดีๆ แล้ว กลับพบว่าหินพวกนี้ก็คือแมลงหิน!
แมลงหินพวกนี้ทั่วทั้งร่างปกคลุมไปด้วยหินหนา หากว่าวางอยู่บนพื้น มันดูไม่ต่างจากก้อนหินยักษ์ทั่วไป ทำให้คนคิดว่ามันเป็นแค่หิน แต่เมื่อไหร่ที่เข้าไปใกล้ พวกเขาก็จะกระโจนเข้าใส่ท่านในทันที พร้อมกับอ้าปากขนาดใหญ่ของมัน ทำการกัดเข้าใส่ท่านอย่างดุร้าย ดูแล้วช่างเจ้าเล่ห์นัก
เพราะว่านี่มันกะทันหันเกินไป สวี่เฟยเพิ่งจะตอบสนอง ปากขนาดใหญ่นี้ก็ได้มาถึงบนหัวของเขาแล้ว
“ไสหัวไป!”
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ในมือของอี้เทียนหยุนก็พลันปรากฏกระบี่หนักฉิงเทียนขึ้น พร้อมกับทำการตวัดขึ้นฟ้าอย่างแรง ปล่อยลำแสงกระบี่ยิงขึ้นฟ้า ทำให้แมลงหินขนาดยักษ์นี้ถูกผ่าออกเป็นสอง พร้อมกับเลือดสีเขียวที่สาดกระจายออกทุกทิศทาง
ชิ้นส่วนทั้งสองที่ถูกผ่าออกไม่ได้ตกลงบนร่างของพวกเขา เพราะว่ามีพลังวิญญาณของอี้เทียนหยุนคอยปกป้อง ทำให้ชิ้นส่วนพวกนั้นเลื่อนออกด้านข้างแทน พร้อมกับเสียง “ฉี่” ดังขึ้นมา ยามเมื่อเลือดหยดถึงพื้น เกิดการกัดกร่อนขึ้นอย่างรวดเร็ว จากเศษหินที่แข็ง เพียงไม่นานก็ถูกเปลี่ยนให้เป็นของเหลวกองหนึ่ง หยดเลือดพวกนี้ช่างน่าสะพรึงนัก
“ติ๊ง ท่านสังหารแมลงหินสำเร็จ ได้รับค่าประสบการณ์ 30,000, ค่าความคลั่ง 3,000, ค่าความชั่ว 50, ได้รับเศษหินแข็ง, พิษแมลงหิน”
สวี่เฟยมีท่าทางแตกตื่น หากไม่ใช่เพราะอี้เทียนหยุน เขาคงถูกแมลงหินนี้กินไปแล้ว ที่อี้เทียนหยุนสามารถจัดการแมลงหินนี้ได้อย่างง่ายดาย เพราะว่าแมลงหินนี้ไม่ได้มีระดับที่สูงนัก มันมีพลังเพียงระดับก่อแกนวิญญาณขั้นที่ 6 เท่านั้น แต่เพียงเท่านี้ก็สามารถบดขยี้สวี่เฟยได้แล้ว ความร้ายกาจของมันก็คือเปลือกที่แข็ง การโจมตีทั่วไปไม่สามารถทะลวงด่านป้องกันนี้ได้
แต่เมื่อมาพบกับอี้เทียนหยุน เพียงกระบี่เดียวก็ถูกแยกออกเป็นสอง ไม่มีความยากแม้แต่น้อย
“ดูเหมือนว่าที่นี่ ขอเพียงแค่เป็นผู้ที่มีระดับผันแปรวิญญาณ ก็สามารถอยู่รอดตลอดทาง”
ถ้าดูจากสถานการณ์ปัจจุบัน ต้องเป็นผู้ที่มีพลังระดับก่อแกนวิญญาณขั้นที่ 5 ที่ 6 หรือสูงกว่าถึงจะควรเข้ามา หากมีระดับต่ำเกินไป ก็ไม่มีทางที่จะสามารถจัดการกับสัตว์อสูรที่อยู่ที่นี่ได้ เขาในตอนนี้เทียบได้กับผู้มีพลังระดับวิญญาณเที่ยงแท้ การเข้ามาที่นี่ ก็เหมือนกับเข้ามายังพื้นที่ที่มีสัตว์อสูรชั้นต่ำปกครองเท่านั้น
ซึ่งนี่ก็เป็นระดับที่แผนที่สมบัติแนะนำ เพียงแต่ตอนนั้นเขาไม่มีเวลา ทำให้ไม่ได้มาที่นี่ ยังไงก็ตาม เพื่อเป็นการรับประกัน ยิ่งมีระดับสูงเท่าไหร่ก่อนเข้ามาที่นี่ก็ยิ่งดีเท่านั้น
“ไปกันต่อเถอะ” อี้เทียนหยุนถือกระบี่หนักฉิงเทียนพร้อมกับเดินไปข้างหน้า “แมลงหินพวกนี้ถือเป็นวัตถุดิบชั้นดีจริงๆ เจ้าสามารถเก็บเอาไปขายได้”
“ขะ ขอบคุณพี่ใหญ่อี้มาก!” สวี่เฟยเก็บศพพวกนี้เข้าไปในแหวนอย่างตื่นเต้น ตราบเท่าที่เป็นศพของสัตว์อสูร ราคาย่อมไม่แย่อย่างแน่นอน
สวี่เฟยที่เดินทางอยู่ข้างนอก ที่ขาดที่สุดก็คือพวกนี้ ในใจของเขาก็ได้ถอนหายใจที่เลือกถูก หากปฏิเสธไปล่ะก็ เขาคงจะรู้สึกเสียใจอย่างมากแน่นอน