CLS ตอนที่ 419: เอาฐานะเข้าข่ม
ขณะที่ร่างนั้นเดินออกมา ก็ได้ดึงดูดความสนใจของคนจำนวนมาก น้ำเสียงที่เปล่งออกมาไม่ได้รุนแรงอะไร แต่คำพูดกลับเต็มไปด้วยความอวดดีอย่างยิ่ง
คนทั้งหลายต่างก็พากันหันไปมองในทันที สวี่ซวี่กับพวกต่างก็มองไปด้วยสายตากรุ่นโกรธ อยากจะดูว่าใครที่เป็นคนพูดคำพูดที่สุดผยองขนาดนั้น!
หลังจากฉินหล่งกับพวกได้เห็นก็พากันตกใจในทันที สายตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ แต่ว่าหลังจากกระพริบตาปริบๆ อยู่สองครั้ง ก็พลันเผยสีหน้าตื่นตะลึงออกมา
“อะ องค์ชายอี้!?”
เมื่อพวกเขาเห็นอี้เทียนหยุนเดินมา ก็พลันหลุดปากร้องตะโกนขึ้น ฐานะของอี้เทียนหยุนนั้นพวกเขารู้ดี ใครบ้างที่ไม่รู้ว่าอี้เทียนหยุนเป็นคนขับไล่คนของอาณาจักรใต้พิภพออกไป หากไม่มีเขา อาณาจักรเทียนหลงคงตกไปอยู่ในเงื้อมมือของศัตรูแล้ว คุณูปการที่ตระกูลฟู่มี ต่อหน้าเขาแล้วเปรียบได้ดังฝุ่นตะกอน
เมื่อสวี่เฟยเห็นอี้เทียนหยุน ตอนแรกก็ตกใจ จากนั้นก็ก้มหน้าไม่กล้ามองไปที่เขา ทั้งยังไม่เอ่ยปากร้องขอความช่วยเหลือในทันที
อี้เทียนหยุนเดินเข้ามาทีละก้าว ผู้คนที่ขวางทางอยู่ต่างก็เปิดทางให้เขา เขาเดินไปถึงตรงหน้าสวี่เฟย จากนั้นก็ยกมือขึ้นตบบ่าของเขา แล้วพูดขึ้นอย่างสบายๆ ว่า “ทำไมไม่พูดล่ะ?”
“พี่ใหญ่อี้….. ข้าต่างกับท่านเกินไป แค่คิดว่าจะช่วยท่าน ก็รู้สึกว่าไม่คู่ควรแล้ว” สวี่เฟยก้มหน้า ไม่กล้ามองเขา
“ไม่คู่ควรอย่างงั้นเหรอ แต่ว่าข้ากลับคิดว่าเจ้าคู่ควรยิ่ง หากว่าเจ้าคิดว่ามันต่าง มันก็ต่าง หากแม้แต่ความมั่นใจในตัวเองยังไม่มี แล้วยังจะประสบความสำเร็จอะไรได้อีก?” อี้เทียนหยุนพูดด้วยรอยยิ้ม
“ข้าสามารถช่วยพี่ใหญ่อี้ได้จริงๆ เหรอ?” สวี่เฟยเงยหน้าขึ้น ในสายตาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ
“แน่นอน ไม่อย่างงั้นข้าจะมอบโชคชะตาให้กับเจ้าไปทำไม” อี้เทียนหยุนพูดด้วยรอยยิ้ม “ที่ข้ามาในครั้งนี้ก็เพื่อที่จะพาเจ้าไปด้วย แต่ไม่คิดว่าจะมีเรื่องนี้เกิดขึ้นซะก่อน บางครั้งข้าก็รู้สึกอ่อนแอ อ่อนแอจนไร้ซึ่งกำลัง อ่อนแอจนไร้ที่พึ่ง”
“เฮ้อ….” สวี่เฟยถอนหายใจอย่างแรง คำพูดนี้ตรงกับใจของเขาอย่างมาก
“ดังนั้น ข้าจึงพยายามมากกว่าคนอื่นสองเท่า เพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตนเองไม่หยุด จนสามารถเปลี่ยนทุกอย่างได้” อี้เทียนหยุนตบไหล่เขา แล้วพูดต่อว่า “เส้นสายบางครั้งก็เป็นประโยชน์มาก ที่ประมุขฉินพูดก็ถูก แต่ตอนนี้ไม่ใช่ว่าเจ้าก็มีเส้นสายเหมือนกันหรอกเหรอ แล้วเจ้ายังจะกลัวอะไรอีก?”
การคุยกันของพวกเขาทำให้ทุกคนไม่สามารถไม่สนใจได้ สวี่เฟยรู้จักกับองค์ชายอี้จริงๆ ยิ่งกว่านั้น ความสัมพันธ์ของพวกเขายังดีมากด้วย นี่เขาได้รับการยอมรับจากองค์ชายอี้อย่างงั้นเหรอ?
อี้เทียนหยุนเงยหน้ามองไปยังทางฝั่งของฉินหล่ง แล้วพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “เจ้าบอกว่าสวี่เฟยไม่มีคนหนุนหลังอย่างงั้นเหรอ? ตอนนี้ข้าคือคนหนุนหลังเขา แค่นี้พอไหม?”
“พอ พอแน่นอนพะยะค่ะ…..” ฉินหล่งรู้สึกแข้งขาอ่อนแรง รีบคุกเข่าลงกับพื้น พร้อมกับพูดขึ้นว่า “คารวะองค์ชาย!”
“คารวะองค์ชาย!”
ในตอนนี้เอง ผู้คนที่อยู่รอบๆ ต่างก็พากันคุกเข่า พร้อมกับพากันแสดงความเคารพออกมา โดยเฉพาะคนของตระกูลสวี่ ในใจของพวกเขาต่างก็พากันเต้นแรง ไม่คิดว่าสวี่เฟยจะรู้จักกับองค์ชายด้วย ทั้งความสัมพันธ์ของทั้งสองยังดีมากอีกด้วย!
พวกเขารู้ถึงความร้ายกาจของอี้เทียนหยุนดี คนๆ เดียวสามารถต้านศัตรูได้ทั้งอาณาจักร ทำให้ทุกคนหวาดกลัวเขาอย่างมาก หากว่าทำให้อีกฝ่ายอารมณ์เสีย ตระกูลของพวกเขาสามารถถูกบดขยี้ทิ้งได้อย่างง่ายดาย
„Does not need to kneel down, gets up.” Yi Tianyun waved to Qin Xue, said with a light smile you also not? ”
“ไม่ต้องคุกเข่า ลุกขึ้น” อี้เทียนหยุนโบกมือให้ฉินเสวี่ย แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้ายังไม่มาอีก?”
ฉินเสวี่ยอ้าปากค้าง จากนั้นก็มองไปยังสวี่เฟย พร้อมกับกัดริมฝีปากแน่น จากนั้นก็วิ่งเข้าไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับกระโดดเข้าสู่อ้อมกอดของเขาอย่างเต็มรัก ฉินหล่งจะขวางก็ไม่กล้า เนื่องเพราะฐานะมันต่างกันเกินไป นี่ก็คือคนหนุนหลังยังไงล่ะ!
สวี่เฟยสูดลมหายใจเฮือก นี่คือความต่างของพลัง ตอนนี้ในใจของเขาได้ยืนยันแล้ว ว่ายังไงก็ต้องแข็งแกร่งขึ้น แข็งแกร่งจนไม่มีใครกล้าต่อปาก
“จากนี้ข้าจะรายงานต่อฝ่าบาท ให้ดูแลตระกูลฉินของเจ้าเป็นพิเศษ” อี้เทียนหยุนพูดอย่างไม่ใส่ใจ “เจ้าเป็นพวกที่ทำตัวเป็นกลาง กลัวว่านี่จะเป็นการตอแยต่อฝ่าบาท ซึ่งนี่ก็ถูก การที่เจ้าต้องการเกี่ยวดองกับตระกูลฟู่ ก็เพราะต้องการระงับความพิโรธของพระองค์ ไม่ให้ออกคำสั่งกำจัดเจ้า นี่นับเป็นความคิดที่ดี และความจริงก็อาจจะเป็นแบบนั้น แต่ต่อให้เจ้าเกี่ยวดองกับตระกูลฟู่จริง หากฝ่าบาทคิดจะกำจัดเจ้า เจ้าคิดว่าตระกูลฟู่จะทำอะไรได้อย่างงั้นเหรอ?”
“นี่….” ฉินหล่งหน้าเต็มไปด้วยความอับอาย คำพูดนี้ของอี้เทียนหยุนเป็นเหมือนการตีแสกหน้าเขา
ฉินหล่งไม่ได้พูดในจุดนี้ จริงอยู่ที่สมบัตินั้นดี แต่ว่าพวกเขาก็ได้ทำเรื่องที่ผิดมหันต์ เพื่อที่จะอยู่ที่นี่ พวกเขาจำต้องทำให้เรื่องกระจ่างชัด การเป็นกลางนั้นเหมือนจะดี แต่ก็เป็นการต่อต้านทั้งสองฝ่าย ซึ่งนี่นับว่าน่าสงสารยิ่งกว่า ดังนั้น พวกเขาจึงต้องถามหาความชอบผ่านทางตระกูลฟู่ ต่อให้จะโดดเด่นก็ไม่มีประโยชน์ เพราะเริ่นหลงย่อมไม่เห็นแก่หน้าบางคนเพราะโดดเด่นเท่านั้น
ตระกูลฟู่ในตอนนี้นับว่ามีความชอบอยู่บ้าง แต่ก็แค่ส่วนเล็กๆ เท่านั้น เพราะว่าคนที่มีความชอบอย่างแท้จริงคืออี้เทียนหยุน ไม่ใช่ตระกูลฟู่!
“ข้าจะบอกต่อทางฝ่าบาทเอง เจ้าวางใจได้ จากนี้ไป ตระกูลฉินจะไม่ใช่กบฏ หากพวกเจ้าไม่สร้างเรื่องอะไรอีก จากนี้ไปก็จะสามารถอยู่ในอาณาจักรเทียนหลงแห่งนี้ได้อย่างปลอดภัย” อี้เทียนหยุนพูดอย่างไม่ใส่ใจ “ตอนนี้ข้าพาคนไปได้หรือยัง?”
“ดะ ได้แล้วพะยะค่ะ!” หลังจากที่เขาได้ฟังบทสรุปนี้ ฉินหล่งก็พลันมีสีหน้ามีความสุข พร้อมกับยอมเอ่ยปากส่งมอบบุตรสาวออกไป
ที่สำคัญคือการได้แต่งงานกับสวี่เฟย และสวี่เฟยนั้นเป็นคนของอี้เทียนหยุน แบบนี้จะไม่ให้ตระกูลฉินของพวกเขาดีใจคงเป็นไปไม่ได้?
“พวกเจ้าทั้งสองตามข้ามา ไม่ต้องอยู่ที่นี่แล้ว” อี้เทียนหยุนพูดกับพวกสวี่เฟย
“ครับ พี่ใหญ่อี้!” สวี่เฟยตาเป็นประกาย มองตามหลังอี้เทียนหยุนด้วยสายตามที่มุ่งมั่น ราวกับได้ตัดสินใจแล้ว
และในขณะที่พวกเขากำลังจากไปนั้น สวี่ซวี่ก็ได้ตะโกนไปหาสวี่เฟยอย่างรวดเร็ว “ตระ ตระกูลสวี่ของเรา ยังคงเปิดประตูต้อนรับเจ้าตลอดไป”
“ไม่จำเป็น ข้าจะไม่กลับไปอีก!” สวี่เฟยทิ้งคำพูดไว้อย่างเย็นชา ต่อให้เป็นพ่อ เขาก็ไม่ยอมไว้หน้าแม้แต่น้อย
สีหน้าของสวี่ซวี่กลายเป็นน่าเกลียดอย่างมาก เขารู้สึกเสียใจจนลำไส้บิดเขียว ใครจะไปคิดว่าจะเกิดสถานการณ์แบบนี้ขึ้น? และที่น่าผิดหวังที่สุดคืออีกฝ่ายรู้จักกับองค์ชายด้วย? นี่ยิ่งทำให้เขารู้สึกเสียใจขึ้นไปใหญ่ จนแทบจะกระอักเลือดออกมา
“เจ้าตัดสินใจดีแล้ว?” อี้เทียนหยุนถาม
“ตั้งแต่ที่เขาฆ่าแม่ของข้า ข้าก็ได้เกลียดเขาจนเข้าไส้แล้ว” สวี่เฟยพูดอย่างเย็นชา “ข้าไม่คิดว่าเขาเป็นพ่อของข้าอีก!”
“ที่แท้เขาก็ชั่วร้ายขนาดนี้เชียว…..” อี้เทียนหยุนส่ายหัว ในฐานะหัวหน้าตระกูล การที่อีกฝ่ายจะมีสามภรรยาสี่อนุนั้นเป็นเรื่องที่ธรรมดามาก เมื่อมีภรรยามาก บุตรก็จะยิ่งมาก ทำให้เกิดการกระจายความรักที่ไม่สม่ำเสมอ
แต่ในขณะที่พวกเขากำลังเดินอยู่นั้น อยู่ๆ สวี่เฟยก็คุกเข่าลง พร้อมกับฉินเสวี่ยที่อยู่ข้างๆ
“พี่ใหญ่อี้ จากนี้ไป ข้าจะขอติดตามท่านไปตลอด ไม่ว่าท่านจะให้ข้าทำอะไร ต่อให้เป็นเรื่องที่ผิด ข้าก็จะทำ! ชีวิตนี้ของข้า จากนี้ไปจะเป็นของพี่ใหญ่อี้!” สวี่เฟยพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยพลัง
ฉินเสวี่ยก็ไม่มีอะไรโต้แย้ง แต่ยอมทำตามสามีทุกอย่าง มีคำกล่าวที่ว่าแต่งกับสุนัขคล้อยตามสุนัข ในเมื่อเธอแต่งกับสวี่เฟย ไม่ว่าสวี่เฟยทำอะไร เธอก็จะทำด้วย
“ติ๊ง ท่านได้รับความจงรักจากแม่ทัพอย่างสมบูรณ์ ค่าบัญชาการเพิ่มขึ้น 100, เมื่ออีกฝ่ายเลื่อนระดับ ท่านก็จะได้รับค่าประสบการณ์ด้วยไม่มีหยุด เมื่อสังหารศัตรู ท่านก็จะได้รับรางวัลด้วย ไม่ว่าจะเป็นค่าประสบการณ์, ค่าความคลั่ง และค่าความชั่ว”
พร้อมกับเสียงรายงานจากระบบ ทำให้อี้เทียนหยุนรู้สึกตกใจ นี่คือ? ความจงรักจากแม่ทัพอย่างงั้นเหรอ? หลังจากนี้หากอีกฝ่ายเลื่อนระดับ เขาก็จะได้ค่าประสบการณ์ด้วย? หลังจากอีกฝ่ายสังหารศัตรู เขาก็ยังได้รับค่าประสบการณ์ด้วย? นี่ไม่ใช่ว่าเหมือนกันกับสัตว์เลี้ยงเลยหรอกเหรอ?
ยังไงก็ตาม นี่ก็เป็นระดับที่สูงกว่าสัตว์เลี้ยง เพราะสัตว์เลี้ยงนั้น ต้องการการควบคุมจากเขาถึงจะทำได้ดี