CLS ตอนที่ 435: เปลวเพลิงใต้พิภพ
ฝ่ามือขนาดใหญ่ที่ตกลงมานี้ ทำให้ผู้คนที่ได้เห็นต่างก็พากันตกใจ เหมือนกับว่านี่จึงจะเป็นฝ่ามือเทพใต้พิภพที่แท้จริง ทั้งพลังที่สัมผัสได้จากฝ่ามือนี้ยังรู้สึกได้ถึงความรุนแรงถึงขีดสุด เมื่อฝ่ามือขนาดมหึมานี้ตกลงมา ก็เหมือนกับฝ่ามือของยักษ์ที่กดลงมาจากฟ้า
พร้อมกันนั้น ก็ได้มีแรงกดดันที่น่าสะพรึงกดลงมาจากกลางอากาศ ทำให้พวกเขารู้สึกว่าตนนั้นตัวเล็กจ้อย สัมผัสได้ถึงความตายที่กลายเข้ามาใกล้ ขนาดบางคนที่ยืนอยู่ห่างออกไป และเห็นได้ชัดว่าไม่ได้อยู่ในระยะของฝ่ามือนี้ยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่น่าสะพรึงจนอดผวาออกมาไม่ได้
ทำให้พวกเขาทนไม่ไหวต้องถอยออกไปอีกหนึ่งช่วงใหญ่ อย่างนี้จึงจะทำให้พวกเขารู้สึกสบายใจขึ้น แต่สัมผัสของพลังที่น่าสะพรึงก็ยังทำให้พวกเขาอดสั่นสะท้านในใจไม่ได้อยู่ดี
มีเพียงอี้เทียนหยุนที่ยังนิ่งอยู่ได้ พร้อมกับกำลังมองดูฝ่ามือขนาดใหญ่นี้กดลงมา เหมือนกับกำลังหวาดกลัวต่อฝ่ามือเทพใต้พิภพนี้จนไม่สามารถขยับได้
“ฝ่ามือเทพใต้พิภพที่ถูกใช้ออกมาในคราวนี้พลังค่อนข้างแข็งแกร่งเลยทีเดียว พลังรบของมันมีมากถึง 90 ล้าน แต่ก็รู้สึกได้ว่านี่ยังไม่ที่สุดของเขา ไม่รู้ว่าฝ่ามือนี้นั้น จักรพรรดิใต้พิภพใช้พลังออกมาสักกี่ส่วนกัน”
ฝ่ามือนี้มีพลังรบสูงถึง 90 ล้าน ทั้งยังมากไปด้วยพลังแห่งความตาย ไม่แปลกที่ผู้ฝึกตนรอบๆ จะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแห่งความตาย หากว่าฝ่ามือนี้ตบลงมาใส่พวกเขา ด้วยพลังที่น่าสะพรึงนี้ แน่นอนว่าพวกเขาย่อมไม่สามารถต้านทานได้ จากแสงที่ส่องออกมาจากฝ่ามือนี้ อย่างน้อยต้องมีพลังถึงระดับวิญญาณเที่ยงแท้ขั้นสูงสุด จักรพรรดิใต้พิภพที่มีพลังถึงระดับนี้ นับว่าไม่น่าประหลาดใจแต่อย่างใด
จากนั้น เขาก็เงื้อหมัดไปข้างหลัง ก่อนที่ต่อยสวนเข้าไป หมัดนี้เหมือนกับหมัดที่จัดการกับราชครูเมื่อก่อนหน้า มันทำการทำลายฝ่ามือขนาดยักษ์นี้ได้อย่างง่ายดาย จนฝ่ามือเทพใต้พิภพระเบิดออก พร้อมกับภาพหมัดที่พุ่งตรงไปยังหน้าพระราชวัง และในขณะที่หมัดเตรียมจะระเบิดพระราชวังอยู่นั้น ก็ได้มีเสียงคำรามด้วยความโกรธออกมาว่า “สลายไปซะ!”
หลังจากเสียงนั้นดังออกมา พร้อมกันนั้นพลังใต้พิภพที่น่าสะพรึงก็ถูกยิงขึ้นไปบนฟ้า เพื่อสลายพลังโจมตีที่เหลือไป และเมื่อพลังใต้พิภพนั้นถูกยิงขึ้นฟ้า ก็พลันกลายเป็นเปลวเพลิงปกคลุมตรงกลางกำแพงวังไว้ โจมตีสวนกลับพลังส่วนเกินของอี้เทียนหยุนไป
แล้วก็จริง หลังจากที่จัดการระเบิดฝ่ามือเทพใต้พิภพไป หมัดของเขาก็มีพลังรบเหลือเพียงแค่ 67 ล้าน จึงทำให้ฝั่งตรงข้ามต้านทานได้โดยง่าย ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด
เพลิงใต้พิภพ : เปลวเพลิงที่ชั่วร้ายและเย็นยะเยือก, เปลวเพลิงระดับปฐพีขั้นกลาง, หลังจากลุกไหม้ เปลวเพลิงนี้จะทำการรุกรานเข้าไปในร่าง พร้อมกับแช่แข็งอวัยวะภายในทั้ง 5 ในร่างกาย
ที่ถูกยิงออกมานี้คือเปลวเพลิงใต้พิภพ ซึ่งระดับของมันไม่ธรรมดาเลย เป็นถึงระดับปฐพีขั้นกลาง เป็นเปลวเพลิงอมตะเหมือนกันกับเปลวเพลิงนิรันดร์ แต่เห็นได้ชัดว่าเมื่อเทียบกันแล้ว เปลวเพลิงนิรันดร์นั้นมีระดับสูงกว่า เพราะเปลวเพลิงนิรันดร์เป็นเปลวเพลิงอมตะขั้นสูง ซึ่งสามารถยับยั้งเปลวเพลิงใต้พิภพได้
แม้จะมีระดับเท่ากัน แต่ความหายากของเปลวเพลิงนั้นต่างกัน นี่ก็เหมือนกับผู้ฝึกตน แม้จะมีระดับเท่ากัน แต่ก็ต้องดูว่าอายุเท่าไหร่ มีพรสวรรค์แบบไหน ก็เหมือนกับผู้เชี่ยวชาญระดับผันแปรวิญญาณขั้นที่ 1 คนหนึ่งมีอายุ 16 ปี ขณะที่อีกคนมีอายุ 40-50 ปี แน่นอนว่าคนที่มีอายุ 16 ปีย่อมมีพรสวรรค์ไร้ขีดจำกัด การเติบโตย่อมต้องแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
“เปลวเพลิงใต้พิภพ ดูเหมือนว่าจักรพรรดิใต้พิภพผู้นี้จะไม่ยอมออกมาจากพระราชวังจริงๆ……”
อี้เทียนหยุนหรี่ตามองไปที่เปลวเพลิงนี้ มองดูแสงที่เกิดจากการลุกไหม้ ทำให้เห็นถึงพลังรบที่สูงถึง 100 ล้าน แม้เขาจะมีโหมดคลั่งอยู่ แต่ก็คงไม่สามารถที่จะทำให้ความต่างหดลงมาได้ ต่อให้ระเบิดทุกอย่างออกมา ก็คงไม่สามารถไล่ตามความต่างนี้ได้อย่างสมบูรณ์ ระดับของฝั่งตรงข้ามสูงเกินไป ยิ่งมาถึงช่วงหลัง ความต่างแต่ละขั้นยิ่งถ่างมากขึ้นไปอย่างก้าวกระโดด
นี่คือสิ่งที่เขาสัมผัสได้ พูดได้ว่ายิ่งระดับสูงเท่าไหร่ ความต่างของแต่ละขั้นยิ่งมาก สามารถเพิ่มพลังรบให้เป็นล้าน ยิ่งช่วงท้ายของแต่ละระดับ มันสามารถเพิ่มพลังรบให้สูงยิ่งกว่านี้ได้อย่างแน่นอน นี่ก็คือความต่าง และก็เป็นเหตุผลว่าทำไมการฝึกตนถึงต้องยากลำบาก หากว่าการเลื่อนระดับแต่ละขั้นกลับเพิ่มพลังรบให้เพียงแค่เล็กน้อย อย่างนั้นคงสูญเสียความขลังในการเลื่อนระดับไป หากเป็นอย่างนั้น ผู้คนควรหันไปพึ่งอาวุธและสิ่งอื่นแทนไม่ดีกว่าเหรอ
พลังที่น่าสะพรึงทำให้ผู้คนพากันตกตะลึง และที่ยิ่งน่าสะพรึงยิ่งกว่าก็คือพลังของอี้เทียนหยุน เขาไม่ได้อยู่เฉยไม่ทำอะไร ทำการบินเข้าไปยังพระราชวังนี้โดยตรง ไม่เกรงกลัวต่อเปลวเพลิงใต้พิภพนี้แม้แต่น้อย สำหรับคนอื่น หากเข้าไปใกล้คงถูกเผาจนสลายเป็นขี้เถ้าในพริบตา แต่สำหรับเขาแล้วกลับเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยเท่านั้น ไม่ได้มีความหมายอะไร
“ติ๊ง ยินดีด้วย ผู้เล่นอี้เทียนหยุนได้เข้าสู่ระดับวิญญาณเที่ยงแท้ขั้นที่ 2!”
ในขณะที่เขากำลังบินเข้าไปนั้น ทันใดนั้นก็มีเสียงระบบบอกว่าเขาได้เลื่อนระดับ เข้าสู่ระดับวิญญาณเที่ยงแท้ขั้นที่ 2 เป็นการเลื่อนระดับที่ราบรื่นโดยแท้ มังกรยักษ์พวกนั้นรวมกับเหล่ามังกรดิน ตั้งแต่เริ่มจนถึงตอนนี้ พวกมันยังไม่หยุดโจมตี กระทั่งสวี่เฟยก็ยังคงคอยเก็บเกี่ยวชีวิตของผู้ฝึกตนในเมืองแห่งนี้ไม่ยอมหยุด
แม้จะดูโหดร้าย แต่นี่ก็เพื่อการแก้แค้น ต้องกำจัดพวกเดรัจฉานพวกนี้ให้หมด
ในสถานการณ์ที่แทบจะฆ่าล้างเมือง ในที่สุดระดับของเขาก็เพิ่มขึ้น ไม่คิดว่าจะสะสมค่าประสบการณ์ 300 ล้านได้ไวขนาดนี้ หลังจากเลื่อนระดับ อี้เทียนหยุนก็มองไปยังค่าประสบการณ์ที่ต้องใช้สำหรับเลื่อนไปยังระดับวิญญาณเที่ยงแท้ขั้นที่ 3 แล้วก็พบว่ามันต้องการค่าประสบการณ์จำนวน 400 ล้าน! นี่เพียงแค่ระดับเดียวกลับต้องการค่าประสบการณ์เพิ่มจากเดิมถึงร้อยล้าน หากคิดจะไปให้ถึงระดับวิญญาณเที่ยงแท้ขั้นสูงสุด เขาต้องสะสมค่าประสบการณ์เกินกว่าพันล้านอย่างแน่นอน
ขนาดแทบจะฆ่าล้างเมืองยังได้ค่าประสบการณ์มาแค่ 300 ล้าน ช่างเป็นเรื่องยากเสียจริงๆ แล้วก็พูดได้แค่ว่าผู้ฝึกตนระดับวิญญาณเที่ยงแท้มีอยู่น้อยเกินไป ทั้งระดับผันแปรวิญญาณก็ถูกจัดการไปจนหมด ที่เหลือส่วนใหญ่ล้วนแต่อยู่ในระดับก่อแกนวิญญาณ แม้จะเล็กน้อยแต่ก็มีจำนวนมาก ทำให้ในที่สุดเขาก็สามารถเลื่อนระดับได้เสียที
หลังจากเลื่อนระดับ พลังรบของเขาก็เพิ่มขึ้นอีกมากในพริบตา หากเป็นผู้ฝึกตนคนอื่น อย่างดีก็มีพลังรบเพิ่มขึ้นไม่กี่ล้าน แต่สำหรับเขา ตัวเลขไม่กี่ล้านนี้ ทำให้เขามีความเป็นไปได้ที่จะทำการต่อสู้ข้ามระดับ!
“ช่างเป็นการเลื่อนระดับที่มาได้เวลาประจวบเหมาะจริงๆ เยี่ยม…..”
อี้เทียนหยุนตาเป็นประกาย ระดับยิ่งสูงแน่นอนว่ายิ่งดีกว่า จะให้ดีควรเพิ่มเป็นระดับสูงสุด แต่เรื่องนี้คงเป็นไปไม่ได้
และเมื่อเขาเข้าไปใกล้ เปลวเพลิงใต้พิภพก็พวยพุ่งออกมา ก่อนที่จะกลายร่างเป็นมังกรมืดในพริบตา พร้อมกับพุ่งเข้าใส่เขา หากเทียบกับมังกรมืดที่อัญเชิญมาจากมหาค่ายกลมังกรมืดเมื่อก่อนหน้า ตัวมันดูใหญ่กว่ามาก แต่ก็ไม่ได้ใหญ่ไปกว่าโครงกระดูกมังกรสวรรค์เมื่อคราวนั้น แต่ที่สำคัญคือพลังของมันอยู่ในระดับวิญญาณเที่ยงแท้ขั้นสูงสุด!
เมื่อมังกรมืดที่มีพลังรบมากกว่าร้อยล้านพุ่งเข้ามา ชิเสวี่ยอวิ๋นกับพวกไม่มีทางทนรับพลังงานที่เปล่งออกมาจากเปลวเพลิงใต้พิภพได้ ทำให้ถูกขับไล่ให้ต้องถอยออกไป
“เทียนหยุน…..” ชิเสวี่ยอวิ๋นขบริมฝีปากแน่น เธออยากจะเข้าไปช่วย แต่ก็รู้ความสามารถของตนดี เธอไม่สามารถก้าวเข้าไปได้แม้แต่ก้าวเดียว หากเข้าไปใกล้ เธอคงถูกเผาให้เป็นจุลในพริบตา แล้วอย่างนั้นยังจะช่วยอะไรได้อีก?
เผชิญหน้ากับมังกรมืดที่น่าสะพรึง อี้เทียนหยุนก็มีท่าทางครุ่นคิด จากนั้นก็ยื่นมือออกมา “จงกลายมาเป็นพลังให้ข้าซะ!”
จากนั้น ตรงหน้าฝ่ามือของเขาก็ปรากฏหลุมดำขนาดใหญ่ขึ้น พร้อมกับเริ่มดูดกลืนเปลวเพลิงใต้พิภพนี้เข้ามาอย่างบ้าคลั่ง ในจังหวะนี้ แรงดูดก็ได้มีพลังเพิ่มถึงขีดสุด ในพริบตา เปลวเพลิงใต้พิภพก็ถูกสูบเข้าไปในหลุมดำนี้ แต่ก็มีอยู่เล็กน้อยที่ไม่สามารถเปลี่ยนให้เป็นค่าประสบการณ์ได้ พร้อมกับเริ่มลุกไหม้บนร่างกายของเขา
แต่ก็ไม่สามารถรุกรานเข้ามาในร่างกายเขาได้ พร้อมกับถูกพลังที่รุนแรงอีกอย่างทำการดูดกลืนพลังส่วนเกินที่เคล็ดวิชากลืนสวรรค์ทำไม่ได้ นั่นก็คือเคล็ดวิชาเขมือบสวรรค์! (eng มีสองคำ swallow ผมจะใช้เป็น กลืน นะครับ, ส่วน devour ผมจะใช้เป็นเขมือบ)
ทั้งสองวิชามีความหมายเหมือนกัน แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับต่างกันราวฟ้ากับเหว เคล็ดวิชาเขมือบสวรรค์นั้นจะดูดซับพลังรอบๆ เข้ามาเพิ่มความแข็งแกร่งให้ตัวเอง ส่วนวิชากลืนสวรรค์จะทำการเปลี่ยนพลังนั้นให้เป็นพลังของตน ซึ่งมีความหมายต่างกันโดยสิ้นเชิง ยิ่งกว่านั้น วิชาทั้งสองยังสามารถใช้พร้อมกันได้ ก็เลยทำให้พลังในการดูดแข็งแกร่งขึ้น!