CLS ตอนที่ 449: บอกกล่าวเรื่องราว
เริ่นหลงและบรรพชนเผ่าภูตพากันตื่นเต้นอย่างมาก คิดว่าทุกอย่างได้สิ้นสุดลงแล้ว แต่อี้เทียนหยุนกลับมองพวกเขาพร้อมกับส่ายหัวออกมา
“ท่านราชาภูต เป็นอะไรไป?”
พวกเขารู้สึกว่าอี้เทียนหยุนเหมือนมีเรื่องอะไร จึงคิดว่ามีอะไรแปลก เห็นได้ชัดว่าเมืองหลวงใต้พิภพถูกสังหารไปเกือบหมด แล้วทำไมถึงได้ขมวดคิ้ว เหมือนมีเรื่องกังวลอะไรบางอย่าง
“ที่จริงแล้วเรื่องนี้ยังไม่จบ ต่อให้จักรพรรดิใต้พบและอาณาจักรใต้พิภพจะถูกกำจัด แต่พวกเราก็ได้ไปตอแยแดนศักดิ์สิทธิ์เข้าให้แล้ว” อี้เทียนหยุนพูดอย่างจริงจัง
“แดนศักดิ์สิทธิ์?”
พวกเขาร้องออกมาด้วยสีหน้าแตกตื่น ขุมอำนาจระดับแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นพวกเขาเคยได้ยิน แต่ไม่เคยเห็นมาก่อน ในดินแดนแห่งนี้ พวกเขาแน่นอนย่อมไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไร แต่ถึงจะไม่เคยเห็น แต่ก็ได้ยินถึงความทรงอำนาจของแดนศักดิ์สิทธิ์ ในข่าวลือบอกไว้ว่า ที่นั่นมีผู้เชี่ยวชาญระดับวิญญาณเที่ยงแท้เดินกันอยู่ทุกที่ สภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยต่างก็มหัศจรรย์ เป็นสวรรค์ของผู้ฝึกตน!
ทรัพยากรที่นั่นเหนือไปกว่าที่ดินแดนของพวกเขาจะมีได้ มีแต่ที่นั่นถึงจะมีอุปกรณ์ระดับเทวะที่น่าสะพรึง ได้ยินมาว่าอุปกรณ์ระดับเทวะที่มีอยู่ในดินแดนแห่งนี้ ล้วนแต่มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิ้น ไม่อย่างนั้น ด้วยระดับอย่างพวกเขา จะสร้างอุปกรณ์ระดับเทวะออกมาได้ยังไง?
จากนั้น อี้เทียนหยุนก็เล่าเรื่องราวคร่าวๆ ให้พวกเขาฟัง หลังจากได้ฟัง พวกเขาก็พากันมีสีหน้าน่าเกลียด เรื่องนี้ไม่ง่ายเลยจริงๆ
“เรื่องนี้ค่อนข้างตึงเครียด ตอนนี้พวกเราควรกลับกันก่อน จากนั้นค่อยประกาศเรื่องนี้ออกไป ให้พวกเขารู้ว่าข้างหน้าจะต้องเจอกับอะไร” อี้เทียนหยุนพูดอย่างจริงจัง “ระดับผู้อาวุโสควรต้องรู้เรื่องนี้ ส่วนเหล่าศิษย์ไม่รู้จะดีกว่า เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ก่อให้เกิดความวุ่นวาย”
“เรื่องนี้ข้าเห็นด้วยกับท่านราชาภูต หากบอกเรื่องนี้กับเหล่าศิษย์ พวกเขาจะหวาดกลัวเอาได้ เดี๋ยวจะเป็นผลร้ายต่อการฝึกเอา” บรรพชนเผ่าภูตพูดออกมา
“อืม พวกเราขึ้นไปกันเถอะ อย่างแรกต้องให้เขารู้ว่าข้ายังปลอดภัยดี ส่วนเรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง” อี้เทียนหยุนยิ้ม เขารู้ว่าหลายคนข้างบนกำลังเป็นห่วงเขาอยู่
พวกเขาพยักหน้า จากนั้นก็เดินไปด้วยกัน ก่อนจาก อี้เทียนหยุนยังกวาดสายตามองที่นี่คราหนึ่ง ไว้รอให้เสร็จเรื่อง เขาจะต้องลงมาที่อีกครั้ง เป้าหมายก็ง่ายมาก เพื่อดูดกลืนเปลวเพลิงใต้พิภพที่บริสุทธ์ของที่นี่ แบบนี้จึงจะทำให้ไข่มุกสมบัติใต้พิภพมีพลังแข็งแกร่งขึ้น
เมื่อขึ้นมาถึง ผู้คนที่ได้เห็นอี้เทียนหยุนสบายดีก็พากันโห่ร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น และเมื่อรู้ว่าจักรพรรดิใต้พิภพได้ถูกจัดการลงแล้ว พวกเขาก็พากันโห่ร้องเสียงดังขึ้นไปอีก แทบจะทะลวงขึ้นไปถึงสวรรค์
วังเทียนหยุนของพวกเขาจัดการกับอาณาจักรใต้พิภพได้ แล้วจะไม่ให้พวกเขาตื่นเต้นได้ยังไง?
“ข้ารู้ว่าเจ้าต้องกลับมาอย่างปลอดภัย” ชิเสวี่ยอวิ๋นแสดงรอยยิ้มคลุมเครือออกมา
อี้เทียนหยุนยิ้ม คำพูดไม่สำคัญสำหรับพวกเขา
เรื่องราวจบลงอย่างรวดเร็ว เหลือก็แต่กวาดล้างเมืองหลวงใต้พิภพ บางพวกที่ชั่วร้ายจำเป็นต้องกำจัด ส่วนที่เหลือก็แค่ทำการสะกดเมืองที่สำคัญๆ เอาไว้ เรื่องนี้ส่งต่อให้พวกเผ่าภูตเป็นคนจัดการ ซึ่งก็ไม่ได้ยากเท่าไหร่ เมื่อตัวการใหญ่ได้ตายไปแล้ว ส่วนที่เหลือก็เป็นเรื่องง่าย
โดยเฉพาะอี้เทียนหยุนยังได้ส่งมังกรดำและมังกรแดงออกไปโจมตีเมือง ทำให้เรื่องทุกอย่างไม่มีปัญหา ทั้งยังได้อาณาจักรเทียนหลงให้การสนับสนุนอีก การจะกำจัดอาณาจักรใต้พิภพให้สิ้นซากจึงไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
ก่อนหน้านั้น อี้เทียนหยุนได้เรียกรวมตัวผู้ที่มีตำแหน่งตั้งแต่ระดับผู้อาวุโสขึ้นไป พร้อมกับบอกกล่าวเรื่องราวอีกครั้ง ซึ่งนี่ทำให้ผู้คนพากันตกใจ ราวกับมีน้ำเย็นราดลงมา ทำให้ในใจรู้สึกหนาวจนร่างสั่นสะท้าน
การที่ต้องเผชิญหน้ากับขุมอำนาจระดับแดนศักดิ์สิทธิ์ ทำให้พวกเขารู้สึกสิ้นหวัง
“เรื่องคร่าวๆ ก็เป็นอย่างนี้ แดนศักดิ์สิทธิ์ทรงอำนาจแค่ไหนพวกเราไม่แน่ใจนัก และก็ไม่รู้ว่าพวกเขาจะลงมาเมื่อไหร่ ทั้งไม่รู้ว่าพวกเราจะผ่านมันไปได้ไหม” อี้เทียนหยุนกวาดตามองทุกคน หลายคนพากันก้มหน้ามองพื้น สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล จากนั้นเขาก็พูดต่อว่า “แต่ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงไป พวกเขายังต้องหารือกับสำนักมากกว่าที่จะจัดการเรื่องนี้เพียงคนเดียว หรือไม่ก็อาจจะลงมาที่นี่ได้ไม่ง่ายนัก อาจจะเป็นเรื่องข้อตกลงหรือไม่กล้าลงมือตามใจ! ดังนั้น พวกเราจึงไม่ต้องกังวลเรื่องพวกเขาจะยกทัพเข้ามาโจมตีพวกเรา พวกเราแค่คอยต้านรับผู้เชี่ยวชาญแค่ไม่กี่คนเท่านั้น”
“พวกเราในตอนนี้ไม่สามารถต้านทานขุมอำนาจระดับแดนศักดิ์สิทธิ์ได้ แต่ข้าเชื่อว่าพวกเรายังมีเวลามากพอ ดังนั้น ต่อให้เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ พวกเราก็สามารถสู้ไหว!” อี้เทียนหยุนมีสีหน้าเต็มไปด้วยพลัง มองไปยังทุกคนแล้วพูดว่า “อาณาจักรใต้พิภพ ตอนแรกถูกเรียกว่าอาณาจักรที่ไม่มีทางถูกทำลาย แต่ตอนนี้ก็ได้ถูกพวกเราทำลายลงแล้ว ดังนั้น ข้าเชื่อว่าต่อให้เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์อะไรนั่น พวกเราก็ยังสามารถต้านรับได้อยู่ดี! ตราบเท่าที่พวกมันกล้าบุกมา พวกเราก็กล้าสวนกลับ!”
คำพูดของอี้เทียนหยุนทำให้จิตใจของผู้คนเต้นแรง คิดดีๆ แล้วก็เป็นอย่างที่อี้เทียนหยุนว่า ขุมอำนาจชั้น 3 อย่างพวกเขาไม่สามารถจัดการได้ แต่เมื่อรวมขุมอำนาจชั้น 3 หลายๆ สำนักเข้าด้วยกัน กระทั่งขุมอำนาจระดับอาณาจักรก็ยังถูกจัดการอย่างโหดเหี้ยม
ตราบเท่าที่พวกเขามีเวลามากพอ พวกเขาก็สามารถที่จะสู้กับแดนศักดิ์สิทธิ์ได้จริงๆ!
“ท่านประมุขพูดถูก พวกเราต้องมั่นใจ! พวกเรามีท่านประมุขอยู่ ตราบเท่าที่ท่านประมุขอยู่ที่นี่ พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องกังวล!”
“ใช่แล้ว กลัวพวกเขาทำอะไร! อย่างมากก็แค่ตาย ข้ายอมยืนตายดีกว่าต้องคุกเข่าเพื่อมีชีวิต!”
“ใช่แล้ว เผ่าภูตของพวกเราล้วนถูกข่มเหง ถูกปล้น เรื่องพวกนี้พวกเราเจอมาพอแล้ว แดนศักดิ์สิทธิ์แล้วยังไง หากกล้ามา ข้าจะยอมเป็นแนวหน้า ต่อให้ต้องตาย ข้าก็ต้องลากพวกมันไปตายด้วยให้ได้สักคน!”
อารมณ์ของพวกเขาเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ไม่หวาดกลัวต่อแรงกดดันของแดนศักดิ์สิทธิ์อีก ถึงยังไงก่อนหน้าที่จะเผชิญหน้ากับอาณาจักรใต้พิภพก็เป็นเช่นนี้ หากว่าอี้เทียนหยุนไม่ช่วยพวกเขา พวกเขาคงตายกันอยู่ที่นี่ไปเรียบร้อยแล้ว ยังต้องมากังวลเรื่องแดนศักดิ์สิทธิ์นี่ด้วยเหรอ อย่างมากก็แค่ตาย อย่างน้อยก็ยังดีกว่าที่ต้องถูกล่ามขังราวกับสัตว์เดรัจฉาน
พวกเขาพากันสนับสนุนวิธีการของอี้เทียนหยุน ไม่มีใครคัดค้าน เห็นได้ชัดว่าชื่อเสียงของเขาสูงมากขนาดไหน
“วางใจเถอะ ขุมอำนาจแดนศักดิ์สิทธิ์อะไรนั่น ข้าไม่เป็นกังวลเลยสักนิด” อี้เทียนหยุนพูดด้วยน้ำเสียงทรงพลัง “ข้าแค่อยากจะบอกว่า พวกมันมาเท่าไหร่ ข้าก็จะฆ่าให้หมด!”
“ดี!”
พวกเขาพากันโห่ร้อง เชื่ออี้เทียนหยุนราวกับคนตามืดบอด
หลังจากคุยกันเข้าใจแล้ว อี้เทียนหยุนก็ให้พวกเขาไปจัดการเก็บกวาดพวกคนชั่วให้อาณาจักรใต้พิภพต่อ ส่งมอบภารกิจนี้ให้กับพวกเขา หากว่าอี้เทียนหยุนมาคนเดียว เขาคงต้องจัดการเรื่องพวกนี้เองทั้งหมด
ผู้คนพากันแยกย้ายอย่างรวดเร็ว พากันทำเรื่องที่ต้องทำของตน เมื่อไม่รู้ว่าเมื่อไหร่แดนศักดิ์สิทธิ์จะโจมตีมา อย่างน้อยก็ต้องกำจัดอาณาจักรใต้พิภพนี้ซะก่อน
อย่างรวดเร็ว ในห้องก็เหลือเพียงอี้เทียนหยุนและชิเสวี่ยอวิ๋น พวกเขาไม่ได้อยู่ด้วยกันสองต่อสองนานแล้ว
“ท่านน้า ข้าหาเดือดร้อนอีกเรื่องแล้ว…..” อี้เทียนหยุนเอามือกุมหัวด้วยความอับอาย
“เจ้าคิดว่าปัญหาที่เจ้าก่อมันน้อยนักเหรอ?” ชิเสวี่ยอวิ๋นเผยรอยยิ้มให้กับเขา อดไม่ได้ต้องตีเขาครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ค่อยๆ หุบยิ้มลง นัยน์ตาคู่งามจ้องไปที่เขา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “แต่ไม่ว่าเจ้าจะทำอะไร ข้าก็จะสนับสนุนเจ้า ที่ข้าทำได้ ก็มีแค่คอยเจ้ากลับมา…..”
ขณะที่พูดคำนี้ ในสายตาของเธอเต็มไปด้วยความรู้สึกเสียใจ เสียใจที่ไม่สามารถต่อสู้เคียงข้างเขาได้