CLS ตอนที่ 459: คำชวน
เพิ่งมาก็ถูกต้นไม้ปีศาจลอบโจมตีโดยที่ไม่มีอะไรบ่งบอก เมื่อเข้าไปใกล้ อยู่ๆ ก็ถูกโจมตีใส่ หากเป็นผู้ที่มีระดับต่ำแล้วล่ะก็ จะต้องถูกการลอบโจมตีนี้จัดการจนตายอย่างไม่ต้องสงสัย แล้วอย่าว่าแต่พวกที่ระดับต่ำมากเลย แม้แต่พวกระดับก่อแกนวิญญาณยังสามารถถูกสังหารในพริบตาได้อย่างง่ายดาย
และนี่ยังเป็นแค่การเพิ่งย่างเท้าเข้ามาเท่านั้น ไม่รู้เลยว่าต่อไปข้างหน้าจะเจอกับอะไรอีก
“ที่นี่ช่างแปลกประหลาดจริงๆ กระทั่งปีศาจต้นไม้ก็ยังมี…..”
อี้เทียนหยุนไม่สนใจปีศาจต้นไม้พวกนี้อีก จากนั้นก็เดินเข้าไปข้างในต่อ แต่เพิ่งจะเดินเข้ามาได้ไม่นาน ก็ได้มีกิ่งไม้หลายกิ่งพากันโจมตีเข้ามาหาเขาอย่างดุร้าย แต่ว่าเขาก็ได้โยนเปลวเพลิงออกไปกลุ่มหนึ่ง ทำการกำจัดปีศาจพวกนี้ทิ้งไปได้อย่างง่ายดาย
ด้วยพลังระดับก่อแกนวิญญาณ ทำให้ค่าประสบการณ์ที่ได้รับไม่สูงไม่ต่ำ หากเป็นก่อนหน้านี้ถือว่าเป็นระดับที่ดีมากเชียวล่ะ เพียงแต่เทียบกับตอนนี้ถือว่าน้อยมากเลยทีเดียว ทั้งเขายังรังเกียจที่จะเปิดโหมดคลั่งขึ้นด้วย เพราะที่เขาเจอไม่ใช่ศัตรูกลุ่มใหญ่ การเปิดใช้งานโหมดคลั่งจะเป็นการสูญเสียค่าความคลั่งมากเกินไป หากเป็นก่อนหน้านี้ที่เสียค่าความคลั่งเพียงเล็กน้อยเพื่อใช้งานคงดีอยู่หรอก แต่ตอนนี้แต่ละนาทีที่เสียไป จำเป็นต้องใช้ค่าความคลั่งมหาศาล!
และตลอดทางที่เดินก็ต้องมีปีศาจต้นไม้เข้ามาโจมตีอยู่ร่ำไป เพียงแต่จำนวนของพวกมันไม่เยอะเท่าไหร่ ทำให้เขาเอาชนะพวกมันได้ในทันที ซึ่งนี่ไม่ได้มีความหมายอะไรใดๆ ต่อเขา ด้วยระดับที่แสนจะต่ำ ทำให้เขาสามารถจัดการกับพวกมันได้อย่างง่ายดาย
และนี่ก็เป็นจุดอันตรายแรกที่บอกไว้บนแผนที่ และเมื่อผ่านจุดนี้ไป ก็เริ่มเห็นโครงกระดูกเกลื่อนกลาดบนพื้นตลอดทาง ซึ่งส่วนใหญ่ต่างก็ผุพังไปมากแล้ว กระทั่งมีบางส่วนที่ถูกกลบฝังลงบนดิน ก่อนที่จะค่อยๆ ย่อยสลาย กลายเป็นปุ๋ยบำรุงไป
หลังจากผ่านป่าที่อึมครึมนี้มา ที่ปรากฏต่อสายตาเขาก็คือแม่น้ำที่กว้างสุดลูกหูลูกตา ทั้งยังเป็นสีดำอย่างไม่น่าเชื่อ ดูแล้วราวกับแม่น้ำหมึกอย่างไงอย่างงั้น แล้วรอบๆ ยังมีผาสูงตั้งตระหง่าน บนนั้นมีสมุนไพรและดอกไม้วิญญาณขึ้นอยู่ อี้เทียนหยุนกวาดตาดูก็เห็นว่าเป็นระดับที่ไม่ต่ำเลย
แต่ว่านี่ไม่ใช่สิ่งสำคัญ สิ่งสำคัญคือในที่สุดเขาก็เจอผู้คน เขาเห็นผู้ฝึกตนหลายกลุ่มกำลังสร้างเรือของตนโดยการตัดต้นไม้ จากนั้นก็นำมาต่อเป็นเรือ ดูเหมือนกำลังเตรียมตัวจะข้ามแม่น้ำไป
หลังจากเรืองบางลำสร้างเสร็จ ก็ได้ถูกนำไปลงยังท่า ก่อนที่จะค่อยๆ ปีนขึ้นไปข้างบน หวังจะเก็บสมุนไพรและดอกไม้วิญญาณ สมุนไพรและดอกไม้วิญญาณพวกนั้นต่างก็เป็นของระดับ 4 ระดับ 5 ซึ่งดึงดูดใจพวกเขาอย่างมาก
ผู้ฝึกตนทั้งหมดต่างก็มีระดับผันแปรวิญญาณ แต่ส่วนใหญ่เป็นระดับก่อแกนวิญญาณ ส่วนระดับวิญญาณเที่ยงแท้นั้นไม่มี ผู้เชี่ยวชาญตั้งแต่ระดับผันแปรวิญญาณสามารถบินได้ แต่ไม่สามารถบินในที่แห่งนี้ อี้เทียนหยุนรู้สึกว่าที่แห่งนี้ให้ความรู้สึกเดียวกับถ้ำมังกรขด ที่มีแรงกดดันมหาศาลคอยระงับการบินเอาไว้ ทำให้ไม่มีทางบินได้
หากว่าสามารถบินได้ พวกเขายังจะต้องมาสร้างเรืออยู่อย่างนี้เหรอ? ป่านนี้คงพากันบินไปตั้งนานแล้ว
“ที่นี่ช่างครึกครื้นจริงๆ”
อี้เทียนหยุนส่ายสายตาไปทางพวกเขา ที่นี่แยกกันเป็นหลายกลุ่ม เหมือนกับมากลุ่มใครกลุ่มมัน มีทั้งผู้ชายและผู้หญิง ซึ่งต่างก็พากันยุ่งอยู่กับการสร้างเรือของใครของมัน เมื่อเขาปรากฏตัวขึ้น ก็ทำให้เป็นที่ดึงดูดสายตาของใครหลายๆ คน พร้อมกับพากันมองที่เขาอย่างพร้อมเพรียง
บางคนก็แค่เหลือบมอง จากนั้นก็ไม่สนใจเขาอีก แต่ก็มีบางคนที่จ้องมาที่เขาไม่วางตา ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
“ผู้น้อยเริ่นเหลียงเฉิน ไม่ทราบว่าน้องชายท่านนี้ต้องการไปยังโลกวิญญาณ หรือแค่มาเก็บสมุนไพรที่นี่?”
บางคนแค่มองมาที่เขา แต่ก็มีบางคนที่เดินเข้ามาคุยกับเขาโดยไม่ลังเล และคนที่เขามาคุยกับเขาคือกลุ่มที่มีคนน้อยที่สุด กลุ่มอื่นๆ ต่างก็มีคนอยู่ 4-5 คน ขณะที่พวกเขามีกันแค่ 3 คน นี่จึงดูค่อนข้างอึดอัดอยู่บ้าง
“ไปโลกวิญญาณ” ชายวัยกลางคนที่เข้ามาคุยกับอี้เทียนหยุนนั้น พลังของเขาอยู่ระดับผันแปรวิญญาณขั้นที่ 3 ไม่รู้ว่าเป็นคนของสำนักไหน
“ไปโลกวิญญาณ? พวกเราที่นี่ก็จะไปโลกวิญญาณเหมือนกัน อาจจะดูไม่สุภาพไปบ้าง ไม่ทราบว่าสหายมีระดับสูงแค่ไหน?” เริ่นเหลียงเฉินถาม
พวกเขามองไม่ออกว่าอี้เทียนหยุนมีระดับแข็งแกร่งหรืออ่อนแอ แต่คิดว่าเขานั้นยังอายุน้อยอยู่มาก
“ระดับผันแปรวิญญาณ” อี้เทียนหยุนตอบกลับไป
“พี่ใหญ่เริ่น ท่านคิดว่าที่เขาพูดนั่นเชื่อได้เหรอ?” ในตอนนี้เอง ก็ได้มีเสียงเสียดหูลอยมา จากนั้นก็เป็นชายอายุประมาณ 30 เดินเข้ามา พร้อมกับมองเหยียดอี้เทียนหยุนอย่างไม่แยแส
อี้เทียนหยุนดูแล้วยังเด็กอยู่มาก ทำให้ผู้คนรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ แม้ว่าแค่มองจะไม่สามารถหาข้อสรุปได้ แต่ก็มีบางคนที่มีระดับสูง และยังดูเด็กอย่างนี้เหมือนกัน
แม้คนที่อยู่ที่นี่จะดูแล้วมีอายุน่าจะประมาณ 20 ปี แต่ที่จริงพวกเขาต่างก็มีอายุ 30-40 ปีแล้ว ไม่มีใครที่อายุ 20 ปี แล้วมีพลังระดับผันแปรวิญญาณได้ ผู้ฝึกตนหญิงที่อยู่ที่นี่ก็เช่นกัน กระทั่งมีบางคนที่อายุ 60-70 ปี แต่ก็ยังมีหน้าตาราวกับอายุ 20 กว่าๆ เท่านั้น
แม้จะเห็นว่าหน้าตาดูเด็ก แต่ก็ไม่สามารถบอกได้ว่าใช้ชีวิตมานานเท่าไหร่แล้ว นอกเสียจากว่าอายุขัยใกล้จะหมดลงเท่านั้น ถึงจะไม่สามารถรักษาหน้าตาที่อ่อนเยาว์เอาไว้ได้ ทำให้เริ่มแก่ตัวอย่างรวดเร็ว
ผู้หญิงทำให้ตัวเองอ่อนเยาว์นั้นไม่แปลก แต่หากเป็นผู้ชายทำแล้วล่ะก็ นั่นจะทำให้ผู้ฝึกตนคนอื่นรู้สึกไม่ชอบใจ ดูแล้วเหมือนกับเป็นหนุ่มหน้าขาว ดังนั้น จึงได้มีบางคนคิดว่าเขาไม่น่าเชื่อถือ เพราะไม่มีใครรู้ว่านี่คืออายุจริงของเขา
ยังไงก็ตาม เมื่ออี้เทียนหยุนบอกระดับของตนออกไป เริ่นเหลียงเฉินก็พยักหน้า คิดว่าระดับของเขานี้น่าประทับใจอย่างมาก
“หากว่าเจ้าไม่ต้องการ แต่พวกเราที่นี่ต้องการ” ชายกลางคนอีกคนยิ้มขั้น พร้อมกับกล่าวเชิญอี้เทียนหยุน “พี่น้องท่านนี้สนใจจะมาด้วยกันกับพวกเราไหม? พวกเราก็จะไปโลกวิญญาณเช่นกัน สนใจมาด้วยกันหรือเปล่า?”
“หลิวหลง เจ้าหมายความว่ายังไง ข้าบอกเมื่อไหร่ว่าไม่ต้องการ?” เริ่นเหลียงเฉินขมวดคิ้ว เขาไม่ทันได้พูดอะไร ทางฝั่งนั้นก็มาแย่งคนแล้ว เป็นธรรมดาที่เขาจะไม่พอใจ
ทางผ่านใต้พิภพอันตรายมาก ยิ่งมีคนมากยิ่งอุ่นใจ นอกจากว่าจะรวมกลุ่มมาแต่เริ่ม ไม่อย่างนั้นจำเป็นต้องหาคนมาร่วมกลุ่ม นี่จะช่วยให้ปลอดภัยขึ้น
“เจ้าไม่พูดแต่คนในกลุ่มเจ้าพูด” หลิวหลงพูดด้วยรอยยิ้มตรงไปตรงมา “มากับพวกเราเถอะ พวกเรายินดีต้อนรับเจ้า!”
อี้เทียนหยุนมองไปยังกลุ่มหลิวหลง ทางนั้นประกอบไปด้วยระดับก่อแกนวิญญาณหลายคน หากให้พูดแล้วถือเป็นกลุ่มที่แข็งแกร่งใช้ได้ ไม่ถือว่าน่าผิดหวัง เพียงแต่จำนวนคนเยอะเกินไป ทำให้ไม่เป็นผลดีต่อการเคลื่อนไหว เขาชอบเคลื่อนไหวแบบคนน้อยๆ มากกว่า
“ข้าไม่ได้หมายความว่าต้องการขับไล่สหายคนนี้ ก็แค่ถามความเห็นของพี่ใหญ่เริ่น แค่นี้ก็เป็นปัญหาแล้ว?” ใบหน้าของชายใบหน้าเย็นชานี้ยังคงไร้อารมณ์ เหมือนกับสีหน้าที่เขาแสดงออกมาเมื่อก่อนหน้า ดูแล้วเย็นชาอย่างมาก
“เหลิงหู่ เจ้านี่มันช่างเย็นชาจริงๆ ข้าว่าเจ้าเปลี่ยนสีหน้าสักหน่อยเถอะ ไม่อย่างนั้น หากวันใดถูกฆ่าตายข้างนอก เดี๋ยวจะไม่รู้ว่าเพราะเรื่องอะไร!” หลิวหลงมองไปที่เขาอย่างเย็นชา จากนั้นก็หันมามองอี้เทียนหยุน อยากจะดูว่าอี้เทียนหยุนจะคิดยังไง
อี้เทียนหยุนมองไปยังเหลิงหู่ จากนั้นก็พูดว่า “ขอบคุณสหายท่านนี้มากที่ชวน แต่ข้าขอเลือกที่นี่”
“ได้ งั้นก็ขอให้โชคดี” เมื่อหลิวหลงเห็นอี้เทียนหยุนปฏิเสธ ก็แค่นเสียงออกมาคำหนึ่ง จากนั้นก็ปั้นหน้ายินดีอีก พร้อมกับหมุนตัวเดินจากไป
“ยินดีต้อนรับ ไม่ทราบว่าจะให้เรียกเจ้าว่าอะไร?” เริ่นเหลียงเฉินยิ้ม พร้อมกับถามออกมา
“ข้าชื่ออี้หยุน” อี้เทียนหยุนตัดคำว่าเทียนออก แม้ว่าชื่อเสียงของเขาจะไม่โด่งดังจนใครๆ ก็รู้จัก แต่ปิดบังไว้ดีกว่า
“ที่แท้ก็น้องอี้ ที่นี่ยินดีต้อนรับ พวกเรากำลังสร้างเรืออยู่ ดังนั้นจึงต้องรอสักครู่ ไว้สร้างเสร็จเมื่อไหร่ก็ออกเดินทางได้เลย” เริ่นหลงพูดอธิบายด้วยรอยยิ้ม “เหลิงหู่ก็มีท่าทางแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร อย่าได้ใส่ใจเลย แต่ถึงเขาจะมีสีหน้าอย่างนี้ เขาก็เป็นคนที่ห่วงใยคนอื่นมาก”
อี้เทียนหยุนพยักหน้า เขาไม่สนใจ ก่อนหน้านี้เขาได้กวาดตามองอยู่ก่อนแล้ว และพบว่าเหลิงหู่และเริ่นเหลียงเฉินนั้นมีค่าความชอบให้กับเขาเล็กน้อย ขณะที่คนอื่นๆ ไม่มีเลย ดังนั้นเขาจึงไม่เลือกที่จะรวมกลุ่มกับพวกเขา
โดยเฉพาะหลิวหลงคนนั้น ให้ความรู้สึกที่ไม่ค่อยดีกับเขาเท่าไหร่ ดูเหมือนว่าเขาต้องการหาคนเข้าร่วมจำนวนมาก จึงปั้นหน้าเข้ามาชวนคนมาใหม่ แต่เขารู้สึกว่ารอยยิ้มบนหน้าของเขานั้นปลอมเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังปฏิเสธ เขาก็สัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่วาบผ่านสายตาอีกฝ่าย ซึ่งสะดุดตาเขาอย่างมาก
คนผู้นี้ จะต้องมีแผนการบางอย่างลึกล้ำอย่างแน่นอน!