CLS ตอนที่ 465: ร่วมมือ
เริ่นเหลียงเฉินกับพวกพากันพักอยู่ในท่าเรือ และทำการตรวจสอบสถานการณ์ด้านในพร้อมกับฟื้นฟูพลังวิญญาณไปด้วย การต่อสู้กับฉลามใต้พิภพก่อนหน้านี้ผลาญพลังวิญญาณพวกเขาไปมาก พูดได้ว่าต้อเสียพลังวิญญาณไปทุกวินาที เนื่องเพราะพวกเขาจำต้องคอยต้านทานพลังงานสีดำที่คอยรุกล้ำเข้ามาในร่างของพวกเขาไม่หยุด ดังนั้น นี่จึงเป็นการผลาญพลังวิญญาณอย่างมาก นอกเสียจากจะไปจากที่นี่ ไม่อย่างนั้น ก็จำเป็นต้องเสียพลังวิญญาณต่อไป
และการผลาญพลังวิญญาณเพื่อเหตุนี้ก็ไม่ใช่น้อยๆ เนื่องเพราะยิ่งเข้าไปด้านในเท่าไหร่ พลังงานสีดำก็ยิ่งเข้มข้นขึ้น จึงจำเป็นต้องผลาญพลังวิญญาณมากขึ้นเพื่อใช้จัดการกับมัน แน่นอนว่าในพวกเขาย่อมมีข้อยกเว้นอยู่หนึ่ง นั่นก็คืออี้เทียนหยุน ด้วยฉายาผู้ส่งวิญญาณของเขา ทำให้พลังงานสีดำไม่สามารถเข้ามาใกล้ตัวเขาได้
โชคดีที่ดูจากภายนอกแล้วไม่ต่างอะไรไปจากคนอื่นๆ ยังคงมีภาพขับไล่พลังงานสีดำออกไปเหมือนกับทุกคน จะต่างก็ตรงที่อี้เทียนหยุนไม่จำเป็นต้องเสียพลังวิญญาณแม้แต่น้อย แต่พวกเขากลับจำเป็นต้องใช้พลังวิญญาณ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการใช้โอสถฟื้นฟูเข้าช่วย
ซึ่งพวกเขาก็เตรียมมาเป็นจำนวนมาก เพื่อต้านทานกับการรุกรานของพลังงานสีดำพวกนี้
“น้องอี้ เจ้ามีโอสถฟื้นฟูไหม? หากไม่มี ที่นี่มีอยู่มาก เจ้ามาแบ่งเอาไปได้” เริ่นเหลียงเฉินหยิบขวดโอสถสองสามขวดออกมา พร้อมกับยื่นส่งให้อี้เทียนหยุน
“ขอบคุณพี่ใหญ่เริ่นมาก ข้ามีอยู่แล้ว หากว่าไม่เตรียมตัวมา งั้นก็คงเป็นไอ้งั่งจริงๆ” อี้เทียนหยุนปฏิเสธด้วยรอยยิ้ม ระดับของเขาเหนือกว่าพวกเขามาก ตั้งแต่เริ่มจนจบ เขายังไม่ต้องใช้โอสถฟื้นฟูเลยสักครั้ง
นอกเสียจากจะพบกับศัตรูทรงพลังถึงขั้นสุด ไม่อย่างนั้น ตัวเขาก็ไม่จำเป็นผลาญพลังวิญญาณมากจนจำเป็นต้องใช้โอสถมาช่วยฟื้นฟู
“เมื่อเป็นอย่างนี้ข้าก็จะไม่ถามมากความ หากว่าเจ้ามีเรื่องใดที่ต้องการ ก็ให้บอกกับพวกเราได้เลย” เริ่นเหลียงเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม
“ใช่แล้ว จากนี้ไปยังมีหลายกลุ่มที่ต้องการไปต่อ พวกเราจำเป็นต้องช่วยกันเพื่อผ่านไป ดังนั้น หากมีเรื่องอะไรก็ให้พูดมาได้เลยอย่าได้เกรงใจ” หยางจื้อเหวินพูดเสริมขึ้น
เหลิงหู่ที่เงียบอยู่ก็พูดขึ้นมาเช่นกัน “มีอะไรให้บอก แล้วก็เรื่องเมื่อสักครู่นี้ ขอบใจมาก!” แม้คำพูดของเขาอาจจะดูทื่อๆ คล้ายกับไม่ใส่ใจ แต่ก็สมารถสัมผัสได้ถึงความรู้สึกขอบคุณที่ส่งออกมา
“ใช่ พวกเราต้องขอบคุณเจ้าจริงๆ ไม่อย่างนั้นพวกเราคงมาไม่ถึงที่นี่ง่ายขนาดนี้” พวกเขาเผยสีหน้าตื้นตันออกมา คิดว่าการได้อี้เทียนหยุนมาร่วมกลุ่มด้วยนี้ ช่างเป็นเรื่องที่ดีจริงๆ
ที่พวกเขาสามารถมาถึงที่นี่ได้อย่างราบรื่น เพราะโชคดีที่มีอี้เทียนหยุนช่วย ดังนั้นพวกเขาย่อมต้องรู้สึกขอบคุณอย่างแน่นอน จากนั้น พวกเขาก็แสดงท่าทีกับอี้เทียนหยุนดีขึ้นกว่าก่อน หลังจากแสดงความสามารถออกมา ก็ได้รับการยอมรับจากพวกเขาในทันที
ก่อนหน้านี้ยอมรับในความกล้าหาญและสติปัญญา แต่ตอนนี้เป็นการยอมรับในความแข็งแกร่ง นักฝึกสัตว์นับเป็นสายอาชีพที่หาได้ยาก ถือว่าหายากกว่านักสลักอาคมด้วยซ้ำ ยังไงก็ตาม ก็มีน้อยคนนักที่อยากจะเป็นนักฝึกสัตว์ เนื่องเพราะความยากของมันสูงมาก ทั้งยังควบคุมสัตว์อสูรได้เพียงน้อยนิด หากเทียบประสิทธิภาพกับราคาที่ต้องจ่ายไปแล้วนั้น ถือว่าผลตอบแทนที่ได้รับนั้นค่อนข้างต่ำ
นอกเสียจากว่าจะเกิดมาเพื่อเข้าใจในตัวสัตว์อสูร ไม่อย่างนั้น ไม่แนะนำให้เป็นนักฝึกสัตว์ ควรจะไปเป็นนักหลอมศาสตราหรืออะไรอย่างอื่นมากกว่า
“คำพูดนี้เอาไว้ถึงโลกวิญญาณแล้วค่อยกล่าวยังไม่สาย ตอนนี้ยังห่างจากจุดหมายอยู่ไกลนัก” อี้เทียนหยุนตรวจสอบในแผนที่ทางผ่านใต้พิภพ ตอนนี้พวกเขาเพิ่งเดินทางมาได้เพียงครึ่งทางเท่านั้น ยังเหลืออีกครึ่งทางกว่าจะไปถึง และระยะทางที่เหลือ แน่นอนว่าย่อมผ่านไปไม่ง่ายเช่นกัน
“ใช่ เป็นคำขอบคุณที่พูดเร็วไปจริงๆ” เริ่นเหลียงเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม “การแสดงออกของน้องอี้เมื่อกี้นี้ดีมาก คราวนี้ถึงตาพวกเราแสดงพลังบ้างแล้ว เพื่อที่จะมายังโลกวิญญาณ พวกเราได้เตรียมตัวมานานมาก พวกเราย่อมไม่ให้น้องอี้เจ้าต้องเปลืองแรงอยู่ฝ่ายเดียว”
“ที่จริงพวกเราวางแผนว่าจะมากันแค่สามคน พี่ใหญ่คิดว่ายิ่งคนเยอะยิ่งทำให้เกิดปัญหา ทั้งข้าก็ไม่ได้โต้แย้งอะไร แม้ว่าจะไม่มีใครช่วย โอกาสของพวกเราที่จะไปถึงโลกวิญญาณได้สำเร็จก็ยังมากอยู่ดี!” สายตาของหยางจื้อเหวินเป็นประกาย เต็มไปด้วยความมั่นใจ “แน่นอนว่าตอนนี้มีน้องอี้เพิ่มขึ้นมา พวกเราก็ยิ่งสบายขึ้น มีผู้ช่วยที่เชื่อใจได้ ย่อมต้องเป็นเรื่องที่ดีกว่าอยู่แล้ว”
พวกเขายิ้มออกมา คราวนี้ความมั่นใจที่จะไปถึงโลกวิญญาณของพวกเขาเพิ่มขึ้นมาก อี้เทียนหยุนก็ไม่พูดอะไร จากแผนที่ทางผ่านใต้พิภพที่เขามี เขารู้ดีว่าระยะที่เหลือนั้นยากขนาดไหน สำหรับพวกเขาทั้งสามแล้ว ถือว่าเป็นฝันร้ายเลยทีเดียว
ส่วนแรงกดดันสำหรับเขานั้น ถือว่าไม่ใหญ่มาก การจะพาพวกเขาไปด้วยไม่ใช่เรื่องใหญ่ ดูจากความกระตือรือร้นของพวกเขาแล้ว ทำให้อี้เทียนหยุนคิดว่าจะช่วยพวกเขากลุ่มนี้ไปให้ถึงที่หมาย
เพราะตอนนี้หมอกแห่งความตายยังหนาอยู่ ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้เพียงนั่งรอให้หมอกสลายตัว เพราะมันจะมีช่วงเวลารวมและสลายอยู่ ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้เพียงรอเท่านั้น
ไม่รู้ว่ารอนานแค่ไหน ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงไม้พายกระทบน้ำดังมาจากด้านหลัง พวกเขาพากันหันไปมองในทันที เห็นว่าพวกที่มาก็คือพวกหลิวหลง ตอนนี้พวกเขาเหลือกันอยู่แค่ไม่กี่คน ซึ่งมีเพียงระดับผันแปรวิญญาณเท่านั้นที่เหลืออยู่ ส่วนระดับก่อแกนวิญญาณนั้นไม่เหลือเลยสักคน
เห็นได้ชัดว่าระดับก่อแกนวิญญาณล้วนแต่ตายอยู่ในระหว่างทาง ตกเป็นอาหารของฉลามใต้พิภพ แม้ว่าระดับผันแปรวิญญาณจะเหลือรอดมาได้ในที่สุด แต่สภาพของพวกเขาก็ดูแล้วน่าสงสารอย่างมาก การต่อสู้กับฉลามใต้พิภพไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานการณ์ที่ต้องเผชิญหน้าพร้อมกันเป็นจำนวนมากด้วยแล้ว
ไม่มีใครรู้ว่าในแม่น้ำใต้พิภพมีฉลามใต้พิภพอยู่มากเท่าไหร่ แต่จนถึงที่สุด ก็ดูเหมือนว่าจะนับไม่หวาดไม่ไหว ยิ่งอยู่นานก็ยิ่งอันตราย
“พวกเจ้าช่างอืดอาดยืดยาดจริงๆ ตอนนี้มาถึงแล้ว? ความเร็วนี้ช้าปานหอยทาก ข้าว่าเจ้าไสหัวกลับบ้านไปกินนมดีกว่า!” เริ่นเหลียงเฉินตอกกลับอย่างดุร้าย ทำการส่งคืนคำที่ได้รับมาเมื่อก่อนหน้า เท่านั้นยังไม่พอ ไม่เพียงแค่คำพูดจากปากเท่านั้น พวกเขากระทั่งชักอาวุธออกมา พร้อมกับนัยน์ตาที่มากไปด้วยจิตสังหาร
ก่อนหน้านี้เพราะว่าเผชิญหน้ากับฉลามใต้พิภพ ทั้งยังอยู่ในแม่น้ำใต้พิภพ ทำให้พวกเขาไม่กล้าลงมือตามใจ ทั้งยังรังเกียจที่จะต่อปากต่อคำกับอีกฝ่าย
แต่ตอนนี้ต่างไปแล้ว พวกเขามาถึงท่าเรือแล้ว ตอนนี้ได้เวลาคิดบัญชีกันสักที
เมื่อหลิวหลงเห็นท่าทางที่พร้อมจะมีเรื่องของพวกเขา หน้าของเขาก็เปลี่ยนสีในทันที พวกเขาเพิ่งจะผ่านการต่อสู้กับฉลามใต้พิภพมาอย่างยากลำบาก ตอนนี้พวกเริ่นเหลียงเฉินยังคิดจะซ้ำคนล้มอีก แล้วนี่จะให้เขาตอบโต้ได้ยังไง
“พี่ใหญ่เริ่น…. ข้า ที่ข้าพูดก่อนหน้า หวังว่าท่านจะไม่เก็บคำพูดของคนพาลอย่างข้ามาใส่ใจ ได้โปรดวางมือลงเถอะ…..”
ลูกผู้ชายที่แท้จริงย่อมต้องยืดหยุ่นตามสถานการณ์ หลิวหลงรีบร้องขอความเมตตาในทันที พวกเขาสูญเสียพลังไปมากเพื่อฟันฝ่ามาให้ถึงที่นี่ หากว่ายังมาถูกเริ่นเหลียงเฉินโจมตีอีก พวกเขาจะต้องตายอย่างแน่นอน
“เจ้านี่ช่างน่าไม่อายจริงๆ” คนที่พูดก็คืออี้เทียนหยุน เขามองไปที่พวกเขาอย่างเย็นชา แล้วพูดขึ้นว่า “ไม่รู้ว่าเมื่อกี้นี้ใครกันที่ด่าว่าข้าเป็นไอ้โง่ ทั้งยังบอกว่าไอ้เด็กโง่นี้มาจากไหน?”
“ข้าผิดไปแล้ว ข้าไม่ควรพูดอย่างนั้นจริงๆ…..” หลิวหลงพูดด้วยสีหน้าเจ็บปวด “เป็นข้าที่เหลิงเกินไป แต่ว่าข้ามีแผนที่เส้นทางด้านใน หากว่าเจ้าปล่อยข้าไป แล้วร่วมมือกัน ข้าก็เต็มใจที่จะแบ่งปันข้อมูลกับเจ้า!”
หลิวหลงไม่อยากจะมีปัญหากับพวกเขา ตอนนี้ยังอันตรายอยู่ แน่นอนว่ายิ่งมีคนมากยิ่งดี ทุกคนล้วนแต่ต้องการไปยังโลกวิญญาณ ไม่ใช่การแย่งสมบัติ ดังนั้น ใครที่รู้เส้นทาง ย่อมมีโอกาสได้รับความร่วมมือ
แล้วก็จริง เมื่อเขาพูดคำนี้ออกมา คนรอบๆ ก็พลันตาเป็นประกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งอีกกลุ่มที่ผ่านมาได้เช่นกัน
“ไม่จำเป็น!” เริ่นเหลียงเฉินมองไปยังเขาด้วยสีหน้าเย็นชา พร้อมกับพูดขึ้นว่า “อย่าลืมว่าก่อนหน้านี้เจ้าทำอะไรไว้ เจ้าโยนศพฉลามใต้พิภพเข้าใส่พวกข้า ใช้พวกข้าเป็นเหยื่อล่อ เรื่องนี้เจ้าลืมไปแล้วหรือไง!”
อี้เทียนหยุนสีหน้าเย็นชา ก่อนหน้านี้เขาเห็นมันด้วยตาตัวเอง การถมหินลงบ่อเช่นนี้ ในใจของเขาย่อมรู้สึกไม่พอใจสุดๆ เช่นกัน ถูกทำให้เป็นเหยื่อล่อในสถานที่ที่อันตราย นี่ไม่ต่างอะไรไปจากมอบความตายให้อีกฝ่าย
การที่หลิวหลงทำเยี่ยงนี้ มันต่างอะไรไปจากต้องการฆ่าพวกเขาอย่างงั้นเหรอ? เพียงแค่คำขอโทษ ใช้ไม่ได้กับพวกเขาอย่างแน่นอน