CLS ตอนที่ 466: สามพี่น้องเลี่ยหู่
คำพูดของเริ่นเหลียงเฉินทำให้สีหน้าของหลิวหลงดำคล้ำ เขาคิดว่าแค่ขอโทษสองสามครั้งบวกกับดูถูกตัวเองหน่อยอีกฝ่ายก็คงจะให้อภัยตนเองแล้ว แต่ไม่คิดเลยว่าจะไม่ให้อภัยเขา ทั้งยังเปิดปากด่าว่าตัวเองอีก แล้วอย่างนี้จะให้เขาทนได้ยังไง?
“อย่าให้เกินไปนัก! ตอนนั้นข้าก็แค่โยนศพฉลามใต้พิภพไว้ใกล้ๆ แค่นั้น ใช่ว่าตั้งใจโยนใส่พวกเจ้าสักหน่อย?”
ในตอนนี้ หลิวหลงยังเอาแต่ปฏิเสธ ช่างทำให้พวกเขารู้สึกรังเกียจเสียจริง ปกติแล้ว หากสังหารสัตว์อสูรอย่างมากก็แค่ปัดให้พ้นทางเท่านั้น แต่นี่กลับโยนศพของมันเข้าใส่พวกเขา นี่ยังเรียกว่าไม่ได้ตั้งใจอีกอย่างนั้นเหรอ
“เจ้าคิดว่าพวกเราโง่หรือไง หรือว่าเจ้ากำลังทำให้พวกเราเป็นคนโง่อยู่?” อี้เทียนหยุนมองไปที่เขาด้วยสีหน้าเฉยชา “คนเราต้องรู้จักรับผิดชอบต่อการกระทำของตน ตอนนี้ข้าจะให้โอกาสเจ้า กระโดดลงจากเรือแล้วว่ายเข้ามาที่นี่เสีย แล้วข้าจะไม่ใส่ใจกับเรื่องที่เจ้าทำอีก”
คำพูดนี้ ทำให้หลิวหลงหน้าเปลี่ยนสี นี่ต่างอะไรกับบอกให้เขาฆ่าตัวตาย? น้ำลึกของที่นี่หากเทียบกับข้างนอกแล้วน่ากลัวกว่ามาก หากให้เขาลงไปว่ายจริงๆ ต่อให้ไม่ตายก็ต้องปางตาย ซึ่งไม่มีอะไรต่าง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในที่อันตรายอย่างนี้ด้วยแล้ว เขาต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ถึงจะสามารถฟื้นกลับคืนมาได้? ต้องรู้ด้วยว่าที่แห่งนี้เต็มไปด้วยการโจมตีของพลังงานสีดำตลอดเวลา หากไม่มีคนช่วยปกป้องแล้วล่ะก็ เขาจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย ส่วนสหายที่มาด้วยกันกับเขา พวกเขาย่อมไม่มีทางปกป้องเขาอย่างแน่นอน
เริ่นเหลียงเฉินกับพวกต่างก็พากันมองหน้ากัน ไม่คิดเลยว่าอี้เทียนหยุนจะพูดสิ่งที่โหดร้ายอย่างนี้ออกมาได้ แต่ว่าพวกเขาก็ชอบจริงๆ
“ใช่ ตราบเท่าที่เจ้าว่ายขึ้นมาได้ พวกเราก็จะไม่ถือสาเจ้าอีก ไม่อย่างนั้น….” เริ่นเหลียงเฉินสีหน้าเย็นชา พร้อมกันนั้น สายตาของคนทั้งสามก็เต็มไปด้วยจิตสังหาร ก่อนหน้านี้ถูกทำให้เป็นเหยื่อล่อจนเกือบตาย หากให้พูดจริงๆ แล้ว ต่อให้ฆ่าเขาทิ้งก็ไม่ถือว่าเกินไป
ตอนนี้แค่ให้เขาว่ายขึ้นฝั่ง อย่างน้อยก็ยังให้โอกาสรอดชีวิต นี่ถือว่าพวกเขายอมสุดๆ แล้ว
“ดูเหมือนว่าพวกเจ้าต้องการฆ่าข้าจริงๆ พวกเจ้าคิดว่าข้ารังแกได้ง่ายๆ อย่างงั้นเหรอ?” นัยน์ตาของหลิวหลงดูขุ่นมัวและเย็นชา จากนั้นก็หันไปยังอีกกลุ่มแล้วพูดว่า “พวกเจ้ารู้ทางในหมอกแห่งความตายนี้หรือเปล่า? จะบอกพวกเจ้าให้ ในหมอกแห่งความตายนี้อันตรายนัก หากไม่ระวังแม้แต่นิดเดียวก็มีโอกาสที่ชีวิตจะหาไม่! แต่ข้ารู้เส้นทางด้านใน ตราบเท่าที่พวกเจ้ากับข้าร่วมมือกัน แผนที่ของข้านี้แน่นอนว่าย่อมตกเป็นของพวกเจ้า!”
หลิวหลงเพื่อรักษาชีวิตตัวเอง เขาพลันทำการร้องขอความช่วยเหลือจากอีกกลุ่มในทันที พวกเขาเหลือกันอยู่สามคน สถานการณ์ถือว่าน่าสมเพชอย่างมาก พวกเขาถูกโจมตีจากฉลามใต้พิภพจนถูกพิษ ตอนนี้ที่ยังรักษาสติได้ก็ดีแค่ไหนแล้ว แล้วนี่ยังจะต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีจากคนทั้งสี่อีก
แน่นอนว่าพวกเขาย่อมไม่สามารถสู้อีกฝ่ายได้ จึงทำได้เพียงขอความช่วยเหลือจากอีกกลุ่ม อีกกลุ่มมีผู้เชี่ยวชาญระดับผันแปรวิญญาณอยู่สามคน ดูแล้วก็สมเหตุสมผล ส่วนที่ว่าพวกเขาผ่านมาได้ยังไงนั้น ไม่มีใครรู้
อี้เทียนหยุนกับพวกมองไปยังพวกนั้น อยากรู้ว่าพวกเขาจะทำยังไง
“แผนที่….. แค่แผนที่อย่างเดียวนี้ ถือว่าน้อยเกินไป” ชายวัยกลางคนส่ายหัว คิดว่าของตอบแทนนี้น้อยเกินไป “อย่างน้อยต้องเพิ่มอาวุธสักอย่างถึงจะดี ไม่อย่างนั้น การจะให้พวกเราสามพี่น้องเลี่ยหู่ลงมือ ถือว่าไม่สมราคา”
“พวกเจ้าคือสามพี่น้องเลี่ยหู่!?” เริ่นเหลียงเฉินสีหน้าจมลง
อี้เทียนหยุนไม่รู้ว่าสามพี่น้องเลี่ยหู่นี่คืออะไร แต่เมื่อมองไปยังเริ่นเหลียงเฉินกับพวกแล้ว สีหน้าของพวกเขากลับซีดลงมาก ดูท่าคนพวกนี้จะไม่ธรรมดา เมื่อดูจากระดับแล้วก็ถือว่าไม่ต่ำ ต่างก็มีพลังระดับผันแปรวิญญาณขั้นที่ 6 ที่ 7 กัน ถือว่าเป็นระดับที่แข็งแกร่งมากเลยทีเดียว
ก่อนหน้านี้เขาสังเกตเห็นคนพวกนี้ลงมือนิดหน่อย เห็นว่าพวกเขาจัดการกับฉลามใต้พิภพนี้ได้อย่างผ่อนคลาย คนอื่นๆ ในกลุ่มพวกเขาตายไปแล้ว แต่พวกเขาสามพี่น้องที่รอดมาได้กลับดูไม่เป็นอะไร แสดงให้เห็นว่าพวกเขานั้นแข็งแกร่งแค่ไหน
“พวกเขาทั้งสามต่างเป็นพวกชั่วร้าย ทั้งยังจับผู้หญิงไปกระทำชำเราอยู่บ่อยครั้ง เร็วๆ นี้ได้ยินว่าเพิ่งเข้าสำนักไป แต่ไม่นานก็ทำการปล้นฆ่าทุกอย่าง ทั้งยังกระทำชำเราผู้หญิงในสำนักจนเป็นเหตุให้ถูกไล่ออกมา….. หนีมาซ่อนตัวในอาณาจักรใต้พิภพ แต่ตอนนี้อาณาจักรใต้พิภพถูกทำลายแล้ว ทำให้พวกเขาไม่มีที่ให้ซ่อนอีก จะเหลือก็แต่โลกวิญญาณ ไม่คิดเลยว่าพวกเราจะมาปะเข้ากับสามทรชนเข้าที่นี่!” เริ่นเหลียงเฉินส่งเสียงผ่านลมปราณให้พวกเขา บอกประวัติของคนทั้งสามให้พวกเขาฟัง
อี้เทียนหยุนสีหน้าเย็นชา ที่แท้ก็พวกเดรัจฉาน!
“ดูเหมือนว่าพวกเราจะมีชื่อเสียงจริงๆ ถึงกับมีคนรู้จักชื่อพวกเราด้วย” เลี่ยเฉิงเผยรอยยิ้มออกมา รอยยิ้มของเขานี้ ดูแล้วให้ความรู้สึกชั่วร้ายอยู่มาก
“ชื่อของทั้งสามเหมือนกับฟ้าร้องกรอกหู แล้วพวกเราจะไม่รู้จักได้ยังไง?” สายตาของหลิวหลงเผยความอ่อนโยนออกมา พร้อมกับประกายแห่งการแตกตื่นวาบผ่าน “ตราบเท่าที่ช่วยข้า ไม่เพียงแต่แผนที่เท่านั้น ข้ายังจะมอบอุปกรณ์ระดับจิตวิญญาณขั้นสูงให้อีกด้วย รับรองว่าข้าย่อมไม่หลอกลวงอย่างแน่นอน!”
“แล้วพวกเจ้าทั้งสองล่ะ?” สามพี่น้องเลี่ยหู่กวาดสายตาไปยังอีกสองคนที่เหลือ ดูว่าพวกเขาจะเสนออะไรออกมา
“พวกเราต้องให้ด้วย?” อีกสองคนพากันตกใจ ไม่ใช่หลิวหลงเป็นคนขอความช่วยเหลือหรอกเหรอ เกี่ยวอะไรกับพวกเขาด้วย?
“หากไม่ให้ งั้นพวกเจ้าทั้งคู่ก็กระโดดลงน้ำไปเสีย แน่นอนว่าข้าย่อมไม่คิดเงินกับเจ้าแม้แต่แดงเดียว” ในตาของเลี่ยเฉิงเต็มไปด้วยจิตสังหาร ไม่มีร่องรอยแห่งการโกหกแม้แต่นิดเดียว
“พะ พวกเราจะให้อุปกรณ์ระดับจิตวิญญาณขั้นสูง…..”
“หือ?”
“อุปกรณ์ระดับจิตวิญญาณขั้นสูงสองชิ้น แค่สองชิ้น พวกเรามีเพียงเท่านี้…..”
แม้ว่าพวกเขาจะเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับผันแปรวิญญาณ แต่ก็เป็นผู้ฝึกตนพเนจร ทำให้สถานการณ์ของพวกเขาย่ำแย่ แถมยังเพิ่งจะเลื่อนระดับได้เพียงไม่นาน แล้วจะให้พวกเขามีทรัพย์สินอะไรอีก
“อืม ดี” เลี่ยเฉิงหันไปมองอี้เทียนหยุนกับพวก พร้อมกับเอ่ยขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม “พวกเขาจ่ายมาด้วยราคาไม่ต่ำเลย แล้วพวกเจ้าจะจ่ายด้วยอะไร?”
พูดจบ พวกเขาทั้งสามก็พากันปลดปล่อยพลังออกมา พร้อมกับส่งแรงกดดันระดับผันแปรวิญญาณขั้นที่ 7 ที่ 8 ตรงเข้าใส่พวกเขาอย่างโหดร้าย การต่อสู้เมื่อกี้นี้ ไม่ได้ผลาญพลังวิญญาณของพวกเขาไปเท่าไหร่นัก ดังนั้นความแข็งแกร่งของพวกเขาจึงไม่ได้ลดลงเท่าไหร่
สีหน้าของพวกหลิวหลงพลันกลับกลาย เขาก็คิดว่าจะลงมือในทันที แต่ไม่คิดว่ายังจะสอบถามพวกอี้เทียนหยุนอีก ไม่ใช่ว่าทางพวกอี้เทียนหยุนให้ราคาสูงกว่า แล้วจะฆ่าพวกเขาหรอกนะ?
“จ่ายงั้นเหรอ?” อี้เทียนหยุนพูดอย่างไม่แยแส “ทำไมต้องจ่ายด้วย?”
เริ่นเหลียงเฉินกับพวกก็มองไปที่พวกเขาอย่างเย็นชา เป็นความหมายว่าจะไม่มีการประนีประนอมอย่างเด็ดขาด แม้ว่าระดับของพวกเขาจะต่ำกว่า แต่ก็ไม่คิดจะอ่อนข้อแต่อย่างใด! โดยเฉพาะกับผู้ฝึกตนที่เลวทรามเยี่ยงพวกเขาแล้ว การอ่อนข้อให้มีแต่ทำให้ตัวเองต้องประสบกับเคราะห์กรรมเท่านั้น
“ทำไมงั้นเหรอ ก็เพราะว่าพวกเราแข็งแกร่งยังไงล่ะ แค่นี้ยังไม่พออีกเหรอ?” พวกเขาพากันหยิบอุปกรณ์ระดับจิตวิญญาณขั้นสูงสุดออกมา อาวุธของพวกเขาแต่ละคน ต่างก็มีกลิ่นเลือดที่ข้นคลั่กโชยออกมา ไม่รู้ว่าฆ่าคนไปมากแค่ไหนถึงได้มีกลิ่นแรงขนาดนี้
“ถ้าอย่างนั้น ข้าก็จะจ่ายราคาที่พวกเจ้าต้องพอใจ” อี้เทียนหยุนพูดด้วยรอยยิ้มบางๆ
“อะไร?” เลี่ยเฉิงตาเป็นประกาย พวกเขาต้องไปยังโลกวิญญาณ แน่นอนว่าต้องเก็บเกี่ยวทรัพยากรให้มากเข้าไว้ ไม่อย่างนั้น พวกเขาจะตั้งตัวในโลกวิญญาณได้อย่างไร
“ข้าจะไว้ชีวิตพวกเจ้าทั้งสาม แค่นี้พอไหม?” อี้เทียนหยุนพูดอย่างไม่แยแส
ในสีหน้าที่อ่อนเยาว์นั้น แท้จริงแล้วกลับอัดแน่นไปด้วยจิตสังหาร!