CLS ตอนที่ 504: ไป๋สุ่ยหวง
ที่เดินเข้ามาคือสาวงามผมสีแดงดั่งเปลวเพลิง ที่ยาวลงมาถึงเอว พร้อมกับแก้มที่ขาวเนียน และบนแก้มที่งดงามนี้ แท้จริงกลับเต็มไปด้วยความสูงศักดิ์ พร้อมกับเดินขมวดคิ้วที่เรียวดุจต้นหลิวเข้ามาที่นี่ ทุกๆ ก้าวย่างของเธอราวกับเป็นหนึ่งเดียวกับโลก ให้ความรู้สึกกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ท่านหัวหน้า คำนี้ทำให้อี้เทียนหยุนรู้สึกตกใจสุดๆ เขาก็คิดว่าหัวหน้าเผ่าฟีนิกซ์จะเป็นผู้ชาย แต่ไม่คิดเลยว่าจะเป็นผู้หญิง!
เขายกสายตาจับจ้องไปที่เธอ ทันใดนั้นข้อมูลของเธอก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา
ไป๋สุ่ยหวง : ระดับราชาวิญญาณขั้นที่ 7, มีเปลวเพลิงนิรันดร์ที่สามารถแผดสวรรค์ผลาญปฐพี สามารถเผาผลาญทุกสิ่งได้ในพริบตา! มีพรสวรรค์ที่แข็งแกร่งมาก ตอนนี้อายุกระดูกได้ 29 ขวบปี เกิดมาพร้อมกับกายาเทพฟีนิกซ์, ฝึกวิชาฟีนิกซ์เคลื่อนสวรรค์, พายุฟีนิกซ์, เพลิงฟีนิกซ์, จุดอ่อน : พ่ายแพ้ต่อการโจมตีธาตุหยิน, พลังรบ 450 ล้าน (สภาพปกติ), เมื่อสังหารมีโอกาสได้รับ…..
ส่วนข้อมูลที่เหลืออี้เทียนหยุนไม่สนใจ ถึงยังไงเขาก็ไม่มีทางสังหารไป๋สุ่ยหวงผู้นี้อยู่แล้ว ดังนั้นดูไปก็ไม่มีความหมายอะไรกับเขา
และข้อมูลที่น่าสนใจที่สุดก็คืออายุของเธอ อายุแค่ 29 ปีก็มีพลังถึงระดับราชาวิญญาณขั้นที่ 7 นี่ไม่สามารถใช้คำว่าท้าทายสวรรค์มาอธิบายได้ นี่มันสุดยอดอัจฉริยะปีศาจชัดๆ
ไม่แปลกที่เธอจะสามารถเป็นหัวหน้าเผ่าได้ ไม่เพียงแต่พรสวรรค์จะน่าตื่นตะลึงเท่านั้น แต่ชื่อเสียงของเธอก็ย่อมน่าตกใจไม่แพ้กัน อายุยังไม่ถึง 30 ก็ประสบความสำเร็จถึงขนาดนี้แล้ว ถือว่าไม่ธรรมดาเลยจริงๆ คนที่จะเป็นหัวหน้าเผ่าได้นั้น ไม่ใช่คนที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุด แต่เป็นคนที่มีศักยภาพน่าตะลึงที่สุดต่างหาก แล้วถ้ายิ่งมีความเป็นผู้นำด้วยแล้ว ถือว่าเหมาะสมยิ่งทุกประการ
หากจะดูว่าใครที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุด แล้วจะได้เป็นหัวหน้าเผ่า งั้นคนที่จะได้รับตำแหน่งก็ต้องเป็นผู้อาวุโสใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะระดับของผู้อาวุโสใหญ่นั้นสูงที่สุด เขามีพลังระดับราชาวิญญาณขั้นสูงสุด แน่นอนว่าตำแหน่งย่อมต้องเป็นของเขา ไม่อย่างนั้น ทำไมไป๋สุ่ยหวงถึงได้รับตำแหน่งหัวหน้าเผ่าไปล่ะ
“ท่านหัวหน้าเผ่า ที่ท่านพูดเมื่อกี้นี้หมายความว่ายังไง?” ผู้อาวุโสใหญ่พากันตกใจกับคำพูดนี้ พวกเขาไม่ต้องการทำสงครามกับแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนหมิง เพราะนี่จะทำให้พวกเขาต้องประสบกับความสูญเสียที่เทียบเท่ากับชีวิต
แม้ว่าต่อให้ภายหลังพวกเขาจะได้ครอบครองแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนหมิงในที่สุด แต่สุดท้ายแล้ว ผลลัพธ์ก็ย่อมถือเป็นโศกนาฏกรรมอยู่ดี ผู้รอดชีวิตจะต้องมีอยู่เพียงน้อยนิดเท่านั้น
แดนศักดิ์สิทธิ์เทียนหมิงนั้นแข็งแกร่งมาก ถือได้ว่าเป็นขุมอำนาจระดับแดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นยอด แล้วพวกเราจะจัดการกับพวกเขาได้ยังไง? ตราบเท่าที่พวกเขาไม่หาเรื่องตน พวกตนก็จะไม่มีทางหาเรื่องแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนหมิงก่อนอย่างแน่นอน
หากว่าฝั่งตรงข้ามเป็นเพียงขุมอำนาจชั้น 4 ทั่วไป พวกเขาย่อมเต็มใจช่วยอี้เทียนหยุนจัดการกับพวกเขา และก็จะไม่มีปัญหาตามมา
“ข้าหมายความว่า แดนศักดิ์สิทธิ์เทียนหมิง จะต้องถูกจัดการอย่างแน่นอน!” ไป๋สุ่ยหวงเดินเข้ามา พร้อมกับพูดข้อความที่น่าตกใจออกมาอีกครั้ง
“นี่ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?” พวกเขาตกใจอย่างถึงที่สุด ก่อนหน้านี้คิดว่าฟังผิดไป แต่ตอนนี้เมื่อได้ฟังซ้ำอีกครั้ง ก็ทำให้ยิ่งตกใจขึ้นไปอีก
“ที่ข้าออกไปนานขนาดนี้ ก็ได้สืบเรื่องมาได้มากมาย โดยเฉพาะเรื่องของเผ่าวิญญาณร้าย เจ้ารู้หรือไม่ว่าเผ่าวิญญาณร้ายนั้น ก่อนหน้านี้ใกล้ชิดกับใครที่สุด?” ไป๋สุ่ยหวงพูดอย่างจริงจัง
“แดนศักดิ์สิทธิ์เทียนหมิง?” อี้เทียนหยุนพูดสอดขึ้นมา
“ฉลาดมาก! ใช่แล้ว พวกมันใกล้ชิดกับแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนหมิงที่สุด ข้าสงสัยว่าแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนหมิง ก็คือเชื้อสายที่เหลือรอดของเผ่าวิญญาณร้าย” ไป๋สุ่ยหวงบอกข้อสันนิษฐานออกมา “โดยเฉพาะเมื่อข้าได้ยินว่าที่นี่เกิดปัญหาขึ้น ทั้งพวกเจ้ายังคิดจะไปขอความช่วยเหลือจากแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนหมิงอีก แต่ดีที่ไม่เกิดเรื่องอย่างนั้นขึ้น ไม่อย่างนั้น หากว่าพวกเขามีแผนการร้ายแม้แต่นิดเดียว เผ่าฟีนิกซ์ของพวกเราคงต้องเผชิญกับหายนะที่ใหญ่หลวงอย่างแน่นอน!”
หลังจากเหล่าผู้อาวุโสได้ฟัง ที่หลังก็ปรากฏเหงื่อเย็นๆ ไหลอาบ โชคดีที่ก่อนหน้านี้พวกเขาปฏิเสธไป หากเป็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะทำความผิดอย่างมหันต์หรอกเหรอ?
“ดีที่พวกเราไม่ยอมรับคำขอของพวกเขา หากว่าตอนแรกพวกเขาขอค่าตอบแทนที่ต่ำ พวกเราคงตบปากรับคำจริงๆ….” ผู้อาวุโสใหญ่ยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน เหตุการณ์ก่อนหน้านี้อันตรายมาก หากว่าปล่อยให้เป็นอย่างนั้นต่อไป เพลิงเทียนหยินจะต้องหลั่งไหลออกมาภายนอกอย่างแน่นอน และเมื่อถึงตอนนั้น พวกเขาคงทำได้เพียงวิ่งไปขอความช่วยเหลือจากแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนหมิงเท่านั้น
“พวกเขาคาดการณ์ไว้แล้วว่าพวกเจ้าจะทำอะไรไม่ได้ ทั้งยังได้ขัดขวางปรมาจารย์สลักอาคมทุกคนไม่ให้มาที่นี่ เมื่อถึงตอนนั้น ไม่เพียงแต่จะได้แสดงแผนการร้ายออกมา แต่ยังได้ผลประโยชน์ก้อนโตด้วย” ไป๋สุ่ยหวงพูดอย่างจริงจัง
“งั้นทำไมพวกเขาไม่ร้องขอราคาที่ต่ำลงล่ะ จากนั้นจะได้ช่วยวิญญาณร้ายออกมา?” ผู้อาวุโสลั่วกับพวกถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
“เจ้าคิดว่าบรรพชนของพวกเราจะถูกทำลายได้โดยง่ายอย่างงั้นเหรอ? ยิ่งกว่านั้น พวกเขายังมีพวกเราจับตาอยู่ด้านข้าง พวกเขาจะกล้าทำอะไรไร้เหตุผลตามใจหรือไง?” ไป๋สุ่ยหวงพูดอย่างดูถูก “พวกเขาจะต้องกระทำการอย่างลับๆ ต้องวางแผนการทำอะไรกับผนึก จากนั้นก็ค่อยๆ ให้วิญญาณร้ายหลุดออกมาจากผนึก”
“สิงร่าง! ต้องเป็นการสิงร่างอย่างแน่นอน!” เถ้าแก่เย่ร้องอุทานออกมา ก่อนหน้านี้อี้เทียนหยุนก็ถูกท่าสิงร่างนี้เข้า แต่โชคดีที่วิญญาณร้ายตนนั้นถูกสวนกระเด็นกลับไป
“อืม อย่างนี้นี่เอง แผนการที่วางเอาไว้ก็คือแอบพาวิญญาณร้ายออกไปอย่างเงียบๆ เมื่อถึงตอนนั้นก็ร่วมมือกัน ผสานการโจมตีทั้งในนอก จากนั้นเผ่าฟีนิกซ์ของพวกเราก็จะถูกทำลายทิ้งอย่างง่ายดาย!” ไป๋สุ่ยหวงหันมามองอี้เทียนหยุนด้วยดวงตาที่เป็นประกาย แล้วพูดขึ้นว่า “ข้ารู้สึกว่าสถานการณ์ไม่เข้าท่า จึงได้รีบกลับมา แต่ไม่คิดว่าที่นี่จะจัดการจนแล้วเสร็จ ได้ยินว่าเป็นนี่เป็นความดีความชอบของเผ่ามนุษย์ มนุษย์คนนั้นก็คือเจ้าสินะ…..”
เผ่ามนุษย์ที่อยู่ที่นี่นอกจากเขาแล้วก็ไม่มีใครอื่น ดังนั้นหากไม่ใช่คนตาบอดก็สามารถคาดเดาได้
“ใช่แล้ว เป็นข้าเอง” อี้เทียนหยุนยิ้มบางๆ ออกมา แม้ว่าจะเป็นผู้หญิง แต่ดูแล้วก็เป็นคนมีเหตุมีผลเหมือนกัน
ไป๋สุ่ยหวงจับจ้องมาที่อี้เทียนหยุนอย่างไร้ยางอาย มองเขาอยู่นาน ราวกับต้องการมองเขาให้ทะลุ
การมองนี้ทำให้อี้เทียนหยุนรู้สึกอาย ไป๋สุ่ยหวงคนนี้ไม่เหมือนผู้หญิงทั่วๆ ไป สายตาที่จับจ้องมาที่เขาดูราวกับพวกนักเลงหัวไม้ สำรวจมองเขาขึ้นๆ ลงๆ
ในขณะที่พวกผู้อาวุโสใหญ่รู้สึกกระอักกระอ่วน แล้วต้องการจะพูดออกมา เธอก็เริ่มพูดขึ้นว่า
“อายุกระดูกของเจ้าได้กี่ปีแล้ว” หลังจากไป๋สุ่ยหวงมองอี้เทียนหยุนอยู่นานก็ได้ถามขึ้น
“ปีนี้อายุได้ 19 ขวบปีแล้ว” อี้เทียนหยุนไม่ปกปิดอะไร เพราะเรื่องนี้สำหรับเขาไม่ใช่ความลับ สิ่งสำคัญคือการได้แสดงความสามารถออกมา ความสามารถที่ทำให้สามารถเจรจากันได้อย่างเท่าเทียม
อัจฉริยะกับอัจฉริยะ อย่างนี้ถึงจะพูดคุยกันได้อย่างเท่าเทียม
“19 ปี?” พวกเขาพากันตกใจ พวกเขาคิดว่าอี้เทียนหยุนอย่างน้อยต้องมี 30 ปีขึ้น เพียงแต่ทำให้ตัวเองดูอ่อนเยาว์ แต่ใครจะรู้ว่าอายุที่แท้จริงของเขากลับแค่ 19 ปีเท่านั้น!
“ดูเหมือนจะเป็นอย่างที่ข้าคิด ยังเด็กแต่ก็สามารถซ่อมแซมค่ายกลระดับปรมาจารย์จำนวนมากได้แล้ว ไม่ทราบว่าเจ้ามาจากที่ไหน?” ไป๋สุ่ยหวงไม่คิดว่าค่ายกลพวกนี้พวกเขาจะเป็นคนซ่อมมัน พวกเขาไม่ใช่นักสลักอาคม แล้วจะซ่อมแซมค่ายกลพวกนี้ได้ยังไง?
“โลกมนุษย์” อี้เทียนหยุนพูดพร้อมกับเผยรอยยิ้มออกมา
“มาจากโลกมนุษย์จริงๆ?” ไป๋สุ่ยหวงตกใจ หากว่าอัจฉริยะคนนี้ปรากฏตัวในโลกวิญญาณ หรือ โลกสวรรค์ นี่จะเป็นเรื่องที่ธรรมดามาก แต่นี่กลับเกิดในโลกมนุษย์ มันจึงเป็นเรื่องที่เธอไม่ค่อยอยากจะเชื่อเท่าไหร่
“ใช่แล้ว ไม่ทราบว่ามีปัญหาอะไรอย่างงั้นเหรอ?” อี้เทียนหยุนพูดด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ได้มีปัญหาอะไร…..” ไป๋สุ่ยหวงกรอกตา จากนั้นก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “พวกเราเข้าไปกันก่อนดีกว่า ที่นี่ไม่เหมาะที่จะคุยกันเท่าไหร่”
“ตกลง” อี้เทียนหยุนยิ้ม ทั้งสองคนต่างก็พากันยิ้มให้กัน ดูแล้วราวกับเป็นเพื่อนกันมานาน อยู่ๆ ก็เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย
ผู้อาวุโสคนอื่นต่างก็พากันมองหน้ากัน คงไม่ใช่ว่าถูกใจกันเข้าแล้วหรอกนะ?