CLS ตอนที่ 506: เป็นเกียรติอย่างมาก
แต่ละเรื่องที่ไป๋สุ่ยหวงเผยออกมาล้วนแต่ทำให้พวกเขาตกใจ คนที่รู้แล้วยังดีหน่อย แต่คนที่ไม่รู้นี่สิแย่ โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่าเผ่าวิญญาณร้ายเกี่ยวข้องกับแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนหมิง ก็ยิ่งทำให้ในใจของพวกเขารู้สึกเดือด!
ไม่คิดเลยว่าแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนหมิงจะเกี่ยวข้องกับเผ่าวิญญาณร้าย ทั้งยังเป็นถึงผู้สืบเชื้อสายอีก ถ้างั้น การที่แดนศักดิ์สิทธิ์เทียนหมิงติดต่อพวกเขาเข้ามา ก็ไม่ใช่เพราะเจตนาดีอย่างแน่นอน
ตอนแรกเริ่มพวกเขาต้องต่อสู้กับเผ่าวิญญาณร้ายจำนวนมากด้วยพลังทั้งหมดที่มี จนสุดท้ายก็ผ่านมาได้ หากว่าเผ่าฟีนิกซ์เป็นขุมอำนาจที่อ่อนแอ ป่านนี้คงถูกบดขยี้ไปแล้ว แต่เพราะว่าความต่างระหว่างทั้งสองมีอยู่ไม่มาก ดังนั้นแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนหมิงจึงได้ยังไม่ลงมือ
หากว่าทุ่มพลังทั้งหมดเข้าสู่ ต่อให้ท้ายที่สุดแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนหมิงจะเป็นฝ่ายชนะ แต่พวกเขาก็จะต้องเสียหายหนักอย่างแน่นอน และในโลกวิญญาณแห่งนี้ ไม่ได้มีแต่ขุมอำนาจของพวกเขาเท่านั้น ยังมีขุมอำนาจระดับแดนศักดิ์สิทธิ์หลายขุมอำนาจคอยจับตาดูอยู่ หากเมื่อใดที่พวกเขาอ่อนแอลง งั้นก็รอให้คนอื่นเข้ามาเขมือบกลืนเข้าไปได้เลย!
ผู้เชี่ยวชาญในโลกวิญญาณมีมากราวหมู่เมฆ ระดับราชาวิญญาณเป็นได้เพียงที่รองเท้าเท่านั้น ผู้ทรงพลังที่แท้จริงคือระดับราชาเซียนต่างหาก แต่ส่วนใหญ่พวกเขาต่างก็พากันซ่อนตัวอยู่ หากว่าไม่เกิดวิกฤตจริงๆ พวกเขาก็จะไม่ออกมา
และโดยทั่วไปแล้ว ผู้ที่มีพลังระดับนี้ ล้วนแต่เป็นผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในช่วงปลายของอายุขัยกันทั้งนั้น ดังนั้นพวกเขาจึงไม่คิดที่จะผลาญเลือดฉีที่มีไป เพราะว่านี่เปรียบได้ดั่งชีวิตและความตายของพวกเขา ดังนั้น ผู้เชี่ยวชาญระดับราชาเซียนจะไม่เข้าร่วมสงครามแบบทั่วไป นอกจากว่าจะเป็นตัวแทนเพื่อตัดสินชัยชนะระหว่างทั้งสองฝ่าย
“ข้าเชื่อว่าทุกคนมีข้อสงสัยมากมาย ดังนั้น ข้าจะขออธิบายแต่ละหัวข้อเข้าด้วยกัน”
“แดนศักดิ์สิทธิ์เทียนหมิงนั้น พวกเราต้องต่อต้านอย่างแน่นอน แต่ภายนอกพวกเราจะไม่ทำให้พวกเขารู้ แต่จะป้องกันอย่างลับๆ แทน ตอนนี้สภาพของพวกเรายังไม่ได้เกิดการแตกหัก พวกเราก็จะไม่เป็นฝ่ายเริ่มก่อน แต่ว่าแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนหมิงจะต้องคิดควบรวมพวกเราเข้าไปอย่างแน่นอน จากข่าวที่ข้าได้มา ไม่เพียงแต่แดนศักดิ์สิทธิ์เทียนหมิงเท่านั้นที่คิดเข้าร่วมสงครามนี้ แม้แต่แดนศักดิ์สิทธิ์เทียนหู่เองก็ร่วมมือกับแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนหมิงเพื่อจัดการกับพวกเรา!”
เมื่อข้อมูลถูกกล่าวออกมาอีกครั้ง ก็ทำให้พวกเขาตกใจ
“แดนศักดิ์สิทธิ์เทียนหู่ ทำไมพวกเขาถึงเลือกที่จะจัดการกับพวกเรา? พวกเราไม่ได้มีมีความขัดแย้งอะไรกับพวกเขาไม่ใช่เหรอ” เถ้าแก่เย่คิ้วขมวด นี่ไม่ใช่ข่าวดีนัก
„Elder Ye, you thought that in this world, hides at home calmly and steadily, didn’t a matter have?” Bai Shuihuang said indifferently: „It seems like you treated outside were too long, lived in seclusion is too long?”
“ผู้อาวุโสเย่ ท่านคิดว่าในโลกนี้ การซ่อนอยู่แต่บ้านจะทำให้สงบและปลอดภัยอย่างงั้นเหรอ?” ไป๋สุ่ยหวงพูดอย่างไม่แยแส “ดูเหมือนว่าท่านจะอยู่ข้างนอกนานเกินไป นานจนลืมว่าตัวเองเป็นใคร?”
“หรือว่าจะเป็นสายเลือด….” เถ้าแก่เย่พูดอย่างจริงจัง
“ใช่แล้ว สายเลือดของเผ่าฟีนิกซ์เราก็คือเป้าหมายที่พวกเขาจับจ้อง แดนศักดิ์สิทธิ์เทียนหมิงได้เชิญพวกเขามาร่วมมือเพื่อจัดการพวกเรา ด้วยสถานการณ์ที่แน่นอนเช่นนี้ ทำไมพวกเขาถึงจะไม่ยอมร่วมมือล่ะ?” ไป๋สุ่ยหวงพูดอย่างเย็นชา “ไม่เพียงเท่านี้เท่านั้น แดนศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ ก็เตรียมพร้อมที่จะสร้างปัญหาเพื่อส่วนแบ่งเช่นกัน!
“ข่าวนี้เป็นข้อมูลลับอย่างมาก ข้าต้องใช้ความพยายามอย่างมากกว่าจะได้มา”
ผู้คนในตอนนี้พากันเงียบ พร้อมกับทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ไร้ซึ่งความสุข เรื่องที่สามารถจัดการกับวิญญาณร้ายได้ ทำให้พวกเขามีความสุข แต่หลังจากได้ยินข่าวนี้ ก็พลันทำให้พวกเขารู้สึกถึงวิกฤตที่กำลังคืบเข้ามาในทันที
ขณะที่อี้เทียนหยุนที่ฟังอยู่ข้างๆ ก็รู้สึกว่าสถานการณ์ของเผ่าฟีนิกซ์ในตอนนี้เหมือนกันกับสถานการณ์ของเขา เพราะพลังด้อยกว่า หากไม่ใช่ว่าขุมกำลังภายในแข็งแกร่งเพียงพอ พร้อมกับการมาถึงของเขาแล้วล่ะก็ ป่านนี้ที่นี่คงราบเป็นหน้ากลองไปแล้ว
“ดูเหมือนพวกเราต้องหาแผนการรับมือ พร้อมกับเตือนคนในเผ่า ว่าไม่ให้ออกไปไหนตามใจ” ผู้อาวุโสลั่วพูดอย่างจริงจัง
ตอนนี้วิกฤตกำลังคืบเข้ามา หากว่าคนในเผ่าออกไปไหนตามใจ เกรงว่าคงง่ายที่จะประสบกับเหตุร้าย
“ใช่ นี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่เรียกทุกคนมาในวันนี้ นั่นก็เพื่อเตือนคนในเผ่าทุกคน พร้อมกับหาแผนการเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงวิกฤต!” ในตาของไป๋สุ่ยหวงเผยประกายเย็นชาออกมา เรื่องแบบนี้เคยเกิดขึ้นมาก่อนแล้ว และลั่วหวงก็เป็นหนึ่งในเหยื่อที่ต้องสังเวยให้กับพวกมัน
“เรื่องวิญญาณร้ายนั้นแก้ไม่ยากเท่าไหร่ ไว้เมื่อพลังของข้าเลื่อนเข้าสู่ระดับราชาวิญญาณขั้นสูงสุดเมื่อไหร่ ก็มั่นใจว่าจะต้องสังหารมันได้อย่างแน่นอน!” ไป๋สุ่ยหวงหันหัวมา แล้วพูดกับอี้เทียนหยุนว่า “ยิ่งกว่านั้น พวกเรายังมีเขาอยู่ เขาก็สามารถควบคุมเปลวเพลิงนิรันดร์ได้เช่นกัน หากว่าพวกเราร่วมมือกัน การจะจัดการกับวิญญาณร้ายย่อมไม่มีปัญหา”
ผู้คนพากันมองมาที่อี้เทียนหยุนในทันที พุ่งความสนใจมาที่เขาอีกครั้ง
“เขาก็สามารถควบคุมเปลวเพลิงนิรันดร์ได้อย่างงั้นเหรอ?” ในใจพวกเขาให้รู้สึกตกใจ หลายคนยังไม่รู้ว่าเรื่องที่ถ้ำฟีนิกซ์นั้น อี้เทียนหยุนเป็นคนช่วยจัดการ
เผ่าฟีนิกซ์มีอาณาเขตที่ใหญ่มาก พวกเขาจำต้องไปประจำการตามตำแหน่งหน้าที่ของตน หากไม่ใช่สถานการณ์คับขัน พวกเขาจะไม่สามารถออกไปไหนตามใจ
“ใช่แล้ว รบกวนเจ้าช่วยแสดงมันให้เหล่าผู้อาวุโสได้ดูด้วย” ไป๋สุ่ยหวงบอกอี้เทียนหยุน
อี้เทียนหยุนพยักหน้า จากนั้นก็ยกมือขึ้น พร้อมกับเรียกเปลวเพลิงนิรันดร์ออกมา ทำให้ความรู้สึกร้อนลวกเข้าปกคลุมทั่วทั้งห้องในพริบตา ผู้คนพากันมองมาที่เปลวเพลิงนิรันดร์นี้ด้วยท่าทางแตกตื่น เขาสามารถควบคุมมันได้จริงๆ!
จากนั้นเขาก็เรียกเปลวเพลิงกลับคืน ทำให้อุณหภูมิในห้องลดลงอย่างรวดเร็ว
“ดังนั้น ปัญหาเรื่องกำจัดวิญญาณร้ายจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่อีกต่อไป สิ่งที่ต้องทำก็คือต้องรอให้ระดับของพวกเราเพิ่มขึ้น เมื่อนั้น ความสำเร็จก็จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก” ไป๋สุ่ยหวงไม่รับประกัน วิญญาณร้ายถูกสะกดมานานแล้ว แม้ว่าพลังจะตกลง แต่ก็ยังอันตรายมากอยู่ดี
อี้เทียนหยุนไม่มีความเห็นอื่น เขาดีใจด้วยซ้ำที่จะได้จัดการกับวิญญาณร้ายตนนี้ด้วยกันกับไป๋สุ่ยหวง ถึงยังไงก่อนหน้านี้เขาก็ต้องการจัดการกับวิญญาณร้ายตนนี้แล้ว เพราะหลังจากที่จัดการมัน ของที่ระเบิดออกมาก็จะเป็นของดีมากๆ แล้วอย่างนี้เขาจะพลาดมันได้ยังไง?
เหล่าผู้อาวุโสพยักหน้า พร้อมกับมองมาที่อี้เทียนหยุนอีกหลายครั้ง คราวนี้ ดวงตาของพวกเขาล้วนแต่มากไปด้วยประกายแห่งความหวัง
“แล้วเรื่องตำแหน่งทูตศักดิ์สิทธิ์นี่ล่ะ ทุกคนคิดว่ายังไง? ไม่เพียงแต่ควบคุมเปลวเพลิงนิรันดร์ได้เท่านั้น แต่ยังช่วยพวกเราสะกดวิญญาณร้ายเอาไว้อีกครั้ง ทั้งยังพาลูกสาวของท่านน้ากลับมา การกระทำเหล่านี้ ถือเป็นเครื่องพิสูจน์ได้อย่างดี ดังนั้น การจะมอบตำแหน่งทูตศักดิ์สิทธิ์ให้กับเขาจึงไม่ได้มากอะไร”
“ส่วนเรื่องความแข็งแกร่ง เขาก็ถือว่ามีมากเพียงพอ เพราะเป็นถึงปรมาจารย์สลักอาคม ถือว่าเป็นอัจฉริยะ การที่จะให้เขารับตำแหน่งทูตศักดิ์สิทธิ์ของเรา พวกท่านคิดว่าเป็นเรื่องไม่เหมาะสมอยู่ไหม?”
คำอธิบายเหล่านี้ ช่วยให้พวกเขายอมรับได้ในทันที พูดไปแล้ว ความสามารถในการโน้มน้าวคนของไป๋สุ่ยหวง ก็ถือว่าทรงพลังมาก
ผู้คนพากันมองหน้ากัน ผู้อาวุโสลั่วกับพวกต่างก็มีรอยยิ้มประดับหน้า ในใจพวกเขายอมรับอี้เทียนหยุนเรียบร้อยแล้ว ดังนั้น ตำแหน่งทูตศักดิ์สิทธิ์อะไรนี่จึงไม่มีอะไรให้คัดค้าน
จริงอยู่ที่ตำแหน่งทูตศักดิ์สิทธิ์นี้เทียบได้กับผู้อาวุโส แต่ว่าก็ไม่ได้มีอำนาจอะไร ดังนั้นเรื่องนี้จึงไม่มีปัญหา จะมีก็แต่หลังจากนี้ หากว่าผู้คนภายนอกได้รู้ มันจะต้องเกิดความวุ่นวายอย่างใหญ่หลวงแน่นอน
เผ่าฟีนิกซ์ขึ้นชื่อว่าเกลียดชังเผ่ามนุษย์อยู่แล้ว ตอนนี้กลับให้เผ่ามนุษย์รับตำแหน่งทูตศักดิ์สิทธิ์ แล้วอย่างนี้จะไม่ให้พวกเขาตกใจได้ยังไง?
“ตำแหน่งทูตศักดิ์สิทธิ์นี้ ที่ให้เผ่ามนุษย์เป็นคนทำ ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ แต่ยังไงก็ตาม กฎบางข้อก็ไม่สามารถทำลายได้” ในตอนนี้เอง ก็ได้มีเสียงลอยมา ผู้อาวุโสคนหนึ่งลุกขึ้นจากเก้าอี้ พร้อมกับมองมาที่เขาด้วยสายตาเป็นประกาย แล้วพูดขึ้นว่า “เขาต้องผ่านการทดสอบจากภูเขาฟีนิกซ์ก่อน ไม่อย่างนั้น ข้านี่แหละที่จะเป็นคนแรกที่ยอมรับเขาในฐานะทูตศักดิ์สิทธิ์!”
“นี่เป็นการทดสอบคนนอกเพื่อเป็นพวกเดียวกันกับพวกเรา” ไป๋สุ่ยหวงมองมาที่อี้เทียนหยุนแล้วพูดขึ้น “เจ้าเต็มใจที่จะเป็นทูตศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราหรือเปล่า?”
อี้เทียนหยุนไม่ลังเลแม้แต่น้อย พร้อมกับเผยรอยยิ้มคลุมเครือออกมา แล้วพูดขึ้นว่า “ถือเป็นเกียรติของข้ามาก”
สามารถเป็นทูตศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าฟีนิกซ์ได้ เขาย่อมยินดีแน่นอนอยู่แล้ว นี่หมายความว่าเขาได้พันธมิตรที่ทรงพลัง ซึ่งถือเป็นรากฐานที่แข็งแกร่งที่สุด จากนี้ไปในโลกวิญญาณ มันจะเป็นส่วนช่วยที่ยิ่งใหญ่มาก
ทั้งเป้าหมายของพวกเขายังเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนหมิงเหมือนกันอีก!