CLS ตอนที่ 511: สนับสนุน
“ติ๊ง ท่านสยบฟีนิกซ์น้ำเงินครามสำเร็จ ได้รับค่าประสบการณ์ 5 ล้าน, ค่าความชำนาญในการจับสัตว์ 10,000 แต้ม!”
ขนาดไม่ได้ใช้ทักษะ ก็ยังได้รับรางวัลอย่างไม่คาดคิด นี่เป็นเรื่องที่อี้เทียนหยุนไม่เคยคิดมาก่อน เขาคิดว่าต้องใช้ทักษะเสียก่อนถึงจะได้ค่าประสบการณ์มา แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าแค่ทำในสิ่งที่ตรงตามเงื่อนไขของทักษะ ก็จะได้รับค่าประสบการณ์และค่าความชำนาญมาเช่นเดียวกัน
“ดี ดี….” อี้เทียนหยุนลูบขนมันเบาๆ จากนั้นก็ขึ้นไปนั่งบนหลังฟีนิกซ์น้ำเงินคราม
ฟีนิกซ์น้ำแข็งร้องออกมา พร้อมกับพาเขาบินขึ้นไปด้านบนในทันที พริบตาก็พุ่งขึ้นสู่ชั้นเมฆ เป็นความเร็วที่เมื่อเทียบกับฟีนิกซ์ตัวอื่นแล้ว ถือว่าเร็วกว่ามากนัก มันพาเขาบินขึ้นมาด้วยท่าทางตื่นเต้น ในที่สุดก็มีคนพามันออกไปได้แล้ว แล้วอย่างนี้จะไม่ให้มันดีใจได้ยังไง?
หากว่าไม่มีตัวแทนพาออกไป มันก็จะไม่สามารถออกไปจากที่นี่ได้ ทำได้เพียงแค่อยู่ในที่แห่งนี้เท่านั้น แต่แม้ว่ามันจะอยากออกไปมากเพียงใด แต่หากว่าไม่มีคนที่มีคุณสมบัติเข้ากันได้ มันก็จะไม่ชายตามอง
และตอนนี้เมื่อมันพบกับคนที่เข้ากันได้ มันจึงได้ทำการตัดสินใจในทันที
และหลังจากบินเล่นเป็นวงกลมอยู่รอบหนึ่ง มันก็บินลงมายังด้านข้างของไป๋สุ่ยหวงอย่างรวดเร็ว
“ท่านพ่อ ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านจะต้องทำสำเร็จ!” เหยียนเอ๋อกระโดดเข้าใส่อ้อมแขนของอี้เทียนหยุน
อี้เทียนหยุนอุ้มเหยียนเอ๋อพร้อมกับกระโดดลงมาจากร่างของฟีนิกซ์น้ำแข็ง ก่อนจะวางร่างของเธอลงบนหลังของฟีนิกซ์น้ำแข็งแล้วยิ้มออกมา ฟีนิกซ์น้ำแข็งร้องด้วยความไม่พอใจคราหนึ่ง หากไม่ใช่เพราะตัวมันให้การยอมรับต่ออี้เทียนหยุนแล้วล่ะก็ ต่อให้เหยียนเอ๋อจะเป็นฟีนิกซ์เช่นเดียวกับมัน มันก็จะไม่ยอมให้เธอขึ้นหลังมันอย่างแน่นอน
“ทำตัวดีๆ หากว่าเธอตกลงมา ดูสิว่าข้าจะจัดการกับเจ้ายังไง!” อี้เทียนหยุนถลึงตาใส่มัน ฟีนิกซ์น้ำแข็งก็เบือนหน้าหนีในทันใด พร้อมกับหมอบลงกับพื้น เพื่อไม่ให้เหยียนเอ๋อตกลงมา
อี้เทียนหยุนเห็นอย่างนั้นก็ได้ยิ้มออกมา จากนั้น ผู้อาวุโสที่อยู่รอบๆ ก็รีบพากันเข้ามาในทันที พร้อมกับพากันมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วพูดด้วยความตกใจว่า “นี่มันเรื่องอะไรกัน เจ้าสามารถควบคุมเปลวเพลิงได้สองชนิดเลยอย่างงั้นเหรอ?”
ไป๋สุ่ยหวงก็มองเขาด้วยความตกใจเช่นกัน เธอก็คิดว่าอี้เทียนหยุนจะต้องไม่สามารถปราบฟีนิกซ์น้ำแข็งนี้ได้ แต่ใครจะคิดว่าอี้เทียนหยุนจะใช้วิชาลับ เรียกเปลวเพลิงใต้พิภพออกมา!
“เปลวเพลิงนี้ข้าได้มาตอนอยู่ในโลกมนุษย์ หลังจากที่ดูดกลืนเปลวเพลิงใต้พิภพเข้ามา ข้าก็พบว่าสามารถควบคุมมันได้ ไม่ใช่ว่านี่ใครก็ทำได้หรอกเหรอ” อี้เทียนหยุนพูดกึ่งจริงกึ่งเท็จ นี่เป็นสิ่งที่เขาได้รับมาตอนที่สังหารจักรพรรดิใต้พิภพ แต่ถ้าว่ากันตามทฤษฎี ก็เหมือนกับเขาดูดมันเข้ามาในร่างนั่นล่ะ
“ดูดเข้าไปแล้วควบคุมได้ นี่มันมหัศจรรย์เกินไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าเจ้ามีเปลวเพลิงนิรันดร์อยู่ เป็นไปได้ยังไงที่สามารถใช้เปลวเพลิงหยินหยางได้?”
“หรือว่าจะเป็นกายาคู่ กายาหยินหยาง?”
พวกเขาต่างก็พากันมองหน้ากันด้วยความสงสัย หากให้ตัดสินตามที่เข้าใจ พวกเขาคิดว่านี่มีสิทธิ์เป็นไปได้ที่จะได้รับเปลวเพลิงสองชนิด ไม่อย่างนั้น ทำไมเขาถึงสามารถควบคุมเปลวเพลิงได้สองชนิดล่ะ?
“ก็น่าจะ….”
อี้เทียนหยุนไม่ปฏิเสธ เขาสามารถมีกายาอะไรก็ได้ อย่าว่าแต่เปลวเพลิงสองชนิดเลย ต่อให้เป็นสิบชนิดเขาก็สามารถควบคุมได้อย่างง่ายดาย โดยที่ไร้ซึ่งแรงกดดัน
ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะว่าเขามีระบบอยู่ ทำให้เขาสามารถควบคุมเปลวเพลิงหลากชนิดได้โดยที่ไม่มีปัญหา ถ้าเป็นตามทั่วไปที่พวกเขารู้ คนที่ฝืนควบคุมเปลวเพลิงหลายชนิด จะต้องตกอยู่ในสภาพธาตุไฟเข้าแทรกอย่างแน่นอน
“นี่มันช่างลึกลับจริงๆ ไม่อยากจะเชื่อเลย!”
พวกเขาพากันส่ายหัว นี่มันไม่น่าเชื่อจริงๆ พวกเขาไม่เคยพบเคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน แต่ตอนนี้ก็ได้ปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเขาแล้ว
“ดูเหมือนว่าการให้เจ้าเป็นทูตถือเป็นตัวเลือกที่ถูกต้อง ด้วยพรสวรรค์ที่น่าสะพรึงขนาดนั้น หากว่าต้องปล่อยให้หลุดมือไป ถือเป็นความสูญเสียของพวกเราอย่างมาก!” ไป๋สุ่ยหวงยิ้ม ขณะที่นัยน์ตาคู่งามเป็นประกายขึ้นหลายส่วน คิดว่าการมอบตำแหน่งให้กับอี้เทียนหยุน เป็นตัวเลือกที่ถูกต้องอย่างถึงที่สุด
“ยินดีด้วย ตอนนี้เจ้าคือทูตของพวกเราแล้ว!”
ผู้อาวุโสหลายคนพากันยอมรับในตัวอี้เทียนหยุน การที่เขาสามารถทำการสยบฟีนิกซ์น้ำแข็งได้สำเร็จ ก็ได้ถือว่าพวกเขาทั้งหมดพ่ายแพ้แล้ว ส่วนฟีนิกซ์ที่เหลือก็พากันแยกย้ายกันกลับ เพราะสุดท้ายแล้ว เขาก็ได้ทำการเลือกเรียบร้อยแล้ว
จากนั้น ไป๋สุ่ยหวงก็มอบป้ายให้กับอี้เทียนหยุน ป้ายนี้สลักคำว่า “ทูต” อยู่ด้านบน เป็นตัวแทนว่าฐานะของเขาได้รับการยืนยันแล้ว
“นี่เป็นป้ายประจำตำแหน่งของเจ้า จากนี้ไป เจ้าจะถือว่าเป็นตัวแทนของเผ่าฟีนิกซ์เรา ไม่ว่าเจ้าจะทำอะไรข้างนอก ก็เท่ากับเป็นการแสดงเจตจำนงของเผ่าฟีนิกซ์ หากว่าเจ้าทำผิด เผ่าฟีนิกซ์จะปกป้องเจ้า หากว่าเจ้าต้องการโจมตีใคร เผ่าฟีนิกซ์จะสนับสนุนเจ้า! หากว่าใครหน้าไหนกล้ารังแกเจ้า เผ่าฟีนิกซ์จะเป็นฝ่ายแก้แค้นแทนเจ้า!”
ไป๋สุ่ยหวงบอกถึงหน้าที่ของตำแหน่งทูตอย่างเรียบง่ายและตรงตัว ทำให้อี้เทียนหยุนอดไม่ได้ต้องยิ้มออกมา
“เหมือนว่าการเป็นทูตนี้ จะเท่ากับเดินไปด้วยกัน?” อี้เทียนหยุนพูดด้วยรอยยิ้ม
“ประมาณนั้น แต่ว่าในสถานการณ์ตอนนี้ ข้าอยากให้เจ้าคิดให้ดีก่อนทำอะไรลงไป อย่าได้สร้างปัญหาตามใจ หากว่าไปตอแยแดนศักดิ์สิทธิ์อื่นเข้า พวกเขาก็ยากที่จะรับประกัน” ไป๋สุ่ยหวงพูดเตือนออกมา
หากว่าไปหาเรื่องแดนศักดิ์สิทธิ์อื่นเข้า แล้วเผ่าฟีนิกซ์ตอนนี้จะตามเช็ดก้นได้ยังไง?
“ข้าขอรับรอง ข้าไม่คิดจะไปหาเรื่องคนอื่นอยู่แล้ว นอกจากว่าคนอื่นจะมาหาเรื่องข้า” อี้เทียนหยุนยิ้ม เพราะพอคิดดีๆ แล้ว เรื่องที่เกิดก็เป็นเพราะคนอื่นมาหาเรื่องเขาก่อนตลอด
พูดได้แค่ว่าเป็นกฎแห่งป่า พวกเขาต้องการบดขยี้อี้เทียนหยุน แต่กลายเป็นว่าถูกเขาบดขยี้แทน
“ได้ยินว่าเจ้ามีความแค้นต่อแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนหมิง ลองบอกแผนการคร่าวๆ มาสิ…..”
ในตอนนี้ ไป๋สุ่ยหวงก็ได้บอกแผนการคร่าวๆ มา ที่จริงนี่เป็นเรื่องที่คุยกันในที่ประชุม และตอนนี้ก็ถูกเอามาเล่าให้เขาฟังอีกครั้ง
อี้เทียนหยุนพยักหน้า พร้อมกับเข้าใจสถานการณ์คร่าวๆ ที่จริงก็ไม่มีอะไรมาก พวกเขาจะทำการจัดกองกำลัง แต่จะแสร้งทำเป็นว่ายังไม่รู้อะไร และแอบเก็บแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนหมิงอย่างลับๆ เพื่อลดกำลังของอีกฝ่าย
ส่วนหน้าที่ของเขาคือไม่ต้องทำอะไร เพราะว่าเพิ่งเข้าร่วม ดังนั้นจึงไม่มีอะไรให้เขาทำ แม้ว่าจะเป็นทูตศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็ไม่ใช่เผ่าฟีนิกซ์โดยแท้จริง พวกเขาจึงอายเกินกว่าจะให้อี้เทียนหยุนช่วย
แค่ช่วยพวกเขาดูแลเรื่องผนึกก็พอ เพราะตอนนี้พวกเขายังไม่สามารถสังหารวิญญาณร้ายได้ จึงจำเป็นต้องผนึกเอาไว้แทน แต่เอาจริงๆ แล้ว สถานการณ์ของวิญญาณร้ายถือว่ามั่นคงแล้ว ยังมีอะไรให้เขาต้องทำอีก และก็ไม่มีใครมาขอให้เขาช่วยจัดการอะไร
“ข้าเข้าใจทั้งหมดแล้ว งั้นข้าจะทำเป็นอยู่อย่างถ่อมตนเอง” อี้เทียนหยุนรู้ว่าตนต้องทำอะไร อย่างน้อยภายนอกทั้งสองก็ยังเป็นพันธมิตรกัน ตราบเท่าที่เผ่าฟีนิกซ์สามารถตบตาแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนหมิงได้ ทุกอย่างก็จะไม่มีปัญหา
“อืม ต้องลำบากเจ้าแล้ว” ไป๋สุ่ยหวงพูด
ในตอนนี้เอง ก็ได้มีผู้คุ้มกันบินมาอย่างรวดเร็ว พร้อมกับรายงานขึ้นว่า “ท่านหัวหน้าเผ่า หมิงเฉินแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนหมิงมาขอพบครับ!”
“ดูเหมือนว่าทางฝั่งนั้นจะได้รับข่าวแล้ว ช่างมาไวจริงๆ” ไป๋สุ่ยหวงพูดอย่างไม่ใส่ใจ “รู้แล้ว ข้าจะไปพบเขาตอนนี้ล่ะ”
“หัวหน้าเผ่า ข้าก็จะไปกับท่าน” อี้เทียนหยุนคิด วางแผนว่าจะไปพบหมิงเฉินผู้นี้พร้อมกันกับเธอ
“นี่…. ไม่ใช่ว่าเจ้ามีความแค้นด้วยกันกับเขาอย่างนั้นเหรอ แบบนี้จะไม่ถูกพบหรือไง?” ไป๋สุ่ยหวงถามอย่างสงสัย
“ไม่มีปัญหา เพราะข้ามีนี่อยู่” อี้เทียนหยุนหยิบหน้ากากร้อยแปลงขึ้นมาสวม พร้อมกับแปลงเป็นคนอื่น กระทั่งไป๋สุ่ยหวงก็ยังจำเขาไม่ได้
เขาอยากจะไปดูว่าหมิงเฉินผู้นี้มาทำอะไร ตกลงแล้วมีแผนการอะไรกันแน่ อย่างอื่นนั้นเขาไม่สน เขาแค่อยากจะดูว่าหมิงเฉินผู้นี้วางแผนจะทำอะไร