การได้รับสิทธิ์ในการสืบทอดนั้นเป็นเรื่องง่าย เพียงแค่ทําความเข้าใจกับบททดสอบทั้งสองแล้วผ่านมันไปให้ได้ ก็จะได้รับสิทธิ์ในการสืบทอดแล้ว แม้จะดูเหมือนง่าย แต่ตลอดทางก็ต้องเหนื่อยมาก เพราะมีผู้ฝึกตนมากมายที่ขึ้นมาปีนบันไดเทวะ หรือปีนบททดสอบ หนึ่งก้าวย่าง ทะยานสู่สรวงสวรรค์นั่น แล้วไม่สามารถปีนขึ้นไปถึงบนยอดได้
ตามจริงแล้ว มีพวกเขาอยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่สามารถขึ้นมาถึงยอด หรือมีจํานวนจํากัด ในอดีตก็มีเพียง 30 คนเท่านั้น ที่สามารถเข้ารับการท้าทายที่สูงขึ้น ซึ่งจะเห็นได้ว่ามันมีความเข้มงวดขนาดไหน
หากเป็นตามปกติ แค่ขึ้นมาถึงยอดก็ถือว่าสําเร็จ ถือว่าผ่านบททดสอบ เหมาะที่จะเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ได้รับการสืบทอด
แต่ใครจะรู้ว่าในผู้คนจํานวนมากเหล่านั้น จะมีเพียงอี้เทียนหยุนเท่านั้นที่สามารถรวบรวมเคล็ดวิชาเฉียนคุนได้สําเร็จ ขณะที่ผู้เข้าทดสอบคนอื่นต่างก็พากันล้มเหลว ส่วนพวกที่ล้มเหลวนั้นไม่ต้องไปพูดถึง แต่การที่ต้องให้เขาทําการขับไล่ผู้พ่ายแพ้ทุกคนออกไป บททดสอบนี้หากเทียบกับบททดสอบเดิมแล้ว ถือว่าเป็นบททดสอบที่โหดร้ายอย่างมาก
แต่ที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ก็เพราะว่าตัวเขานั้นไม่ใช่ศิษย์ของแดนศักดิ์สิทธิ์เฟยเทียน ดังนั้นจึงต้องใช้บททดสอบอีกอย่างนี้
แน่นอนว่าอี้เทียนหยุนไม่ได้รังเกียจบททดสอบนี้ เพราะการต่อสู้ 1 ต่อ 1 สําหรับเขาแล้ว ถือเป็นการเก็บเกี่ยวค่าประสบการณ์กองโต
ส่วนที่เหลือก็แค่เดินผ่านเส้นทางที่ใช้ทดสอบนี้ไปให้ได้ จนมาถึงที่นี่ได้ก็จะถือว่าผ่านบททดสอบสําเร็จ แม้ว่าความยากของมันจะมาก แต่มันก็ทําให้เขายอมรับได้ เพราะสุดท้ายแล้ว เขาก็ยังได้รับค่าประสบการณ์กองโต ซึ่งทําให้เขารู้สึกค่อนข้างพอใจ
ต่อให้สุดท้ายแล้วจะไม่ได้รับสิทธิ์เป็นผู้สืบทอด เขาก็ยังคิดว่าน่าพอใจมากอยู่ดี อย่างน้อยก็ทําให้ระดับของเขาเลื่อนขึ้นสองระดับ ด้วยผลประโยชน์ขนาดนี้ เขายังจะมีอะไรให้ไม่พอใจอีก?
“อึม ข้าเข้าใจทุกอย่างแล้ว” อี้เทียนหยุนพยักหน้า ด้วยข้อมูลที่ได้รับมา เขาก็รู้แล้วว่าทําไมถึงได้มีเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น
จากนั้น เขาก็มองไปยังวิญญาณลวงตาแล้วพูดว่า “แล้วตอนนี้ข้าจะรับการสืบทอดได้หรือยัง?”
“ไม่มีปัญหา แต่เจ้าต้องรับปากบางเรื่องก่อน พร้อมกับให้คําสาบาน ไม่อย่างนั้นจะไม่สามารถรับการสืบทอดได้!” วิญญาณลวงตาพูดอย่างจริงจัง
“เรื่องอะไร?” อี้เทียนหยุนขมวดคิ้ว ยังจะมีเงื่อนไขอีก ช่างยุ่งยากเสียจริง
“หากว่าเจ้าได้เจอกับศิษย์ผู้มีสายเลือดของแดนศักดิ์สิทธิ์เฟยเทียน เจ้าจะต้องส่งต่อวิชาที่ฝึกและให้การปกป้องพวกเขา!” วิญญาณลวงตาพูด
“สุดท้ายแล้ว ต่อให้จะยอมให้คนนอกผ่านบททดสอบเพื่อรับสืบทอด แต่ก็เหมือนกับเป็นรางวัลสําหรับที่ช่วยปกป้องดูแลคนของตนมากกว่า ” อี้เทียนหยุนส่ายหัว ราชาศักดิ์สิทธิ์ช่วงเทียนผู้นี้ เพื่อสายเลือดของตระกูลตนแล้ว ไม่คิดจะปล่อยให้คนอื่นได้ไปเปล่าๆจริงๆ
ยังไงก็ตาม จากที่พูด ก็หมายความว่าทุกคนมีสิทธิ์ได้รับสิ่งนี้ ทั้งของสืบทอดก็ไม่ใช่ธรรมดา นอกจากเคล็ดวิชาเฉียนคุนแล้ว ยังมีบันทึกค่ายกลระดับผู้สร้างอีก หมายความว่า หากมาตรฐานนักสลักอาคมของตนไม่แย่นัก การได้รับสืบทอดนี้ก็จะมีส่วนช่วยในการขึ้นเป็นนักสลักอาคมระดับผู้สร้างคนถัดไปอย่างมาก!
แค่วิชานับไม่ถ้วนพวกนี้และบันทึกค่ายกลระดับผู้สร้าง ก็ทําให้ขุมอํานาจนับไม่ถ้วนปรารถนาที่จะเข้ามาแย่งชิงกันไม่จบไม่สิ้นแล้ว
หากว่าเจ้าศักดิ์สิทธิ์เทียนหมิงรู้เรื่องนี้เข้า เขาจะต้องยอมสละทุกสิ่ง เพื่อที่จะช่วงชิงทุกสิ่งที่ได้รับสืบทอดอย่างแน่นอน แค่ฝึกเคล็ดวิชาเฉียนคุนก็จะสามารถบรรลุถึงระดับราชาศักดิ์สิทธิ์ แล้วอย่างนี้จะไม่ให้ในใจพวกเขาเกิดความโลภได้ยังไง?
นี่คือวิชาที่จะช่วยให้ได้เป็นราชาศักดิ์สิทธิ์เชียวนะ แน่นอนว่าย่อมเป็นวิชาระดับสวรรค์ชั้นยอด แล้วอย่างนี้ใครจะไม่อยากได้? ไม่เพียงแต่นี้เท่านั้น แต่ยังสามารถควบคุมแท่นบูชาเทพเติ้งเทียนอีก หากว่ามีพลังถึงระดับราชาวิญญาณเมื่อไหร่ ก็จะสามารถไปมาระหว่างโลกสวรรค์และโลกวิญญาณได้ ซึ่งนี้ถือเป็นผลประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง
ได้รับสมบัติมากขนาดนี้ การที่จะช่วยดูแลผู้สืบเชื้อสายของแดนศักดิ์สิทธิ์เฟยเทียน ย่อมไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด พูดได้ว่าเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น การจะสอนพวกเขา ใช่ว่าเขาจะต้องสละวิชาที่เรียนเสียเมื่อไหร่ หากเป็นอย่างนั้นจริง แล้วใครมันจะไปยอม
ถ้าหาพบก็ดี แต่ถ้าหาไม่พบ แล้วอย่างนี้จะให้สอนได้ยังไง?
“เจ้าจะรับปากหรือไม่?” วิญญาณลวงตาจ้องมาที่เขาแล้วพูดขึ้น
“แล้วหากข้าไม่รับปากล่ะ?” อี้เทียนหยุนถาม
“หากว่าเจ้าไม่รับปาก ข้าก็จะลบความทรงจําของเจ้า แล้วส่งเจ้าออกไป!” สีหน้าของวิญญาณลวงตายังคงไร้อารมณ์
อี้เทียนหยุนได้รับเคล็ดวิชาเฉียนคุนมา 2 บทแล้ว แม้ว่าจะไม่มาก แต่อย่างน้อยก็รู้ว่าจะฝึกยังไง แล้วเป็นไปได้เหรอที่เขาจะยอมทิ้งมัน?
เทียนหยุนคิ้วขมวด จากนั้นก็จ้องไปที่เธอแล้วพูดว่า “ดูเหมือนว่าข้าจะทําได้เพียงรับปากเท่านั้น แต่หากข้าคิดจะไป ก็ไม่มีใครสามารถขวางข้าได้ แต่เพื่อให้ได้รับสืบทอด ข้าจะไม่ปฏิเสธก็แล้วกัน”
หากไม่รับปากก็จะไม่ได้รับสืบทอด เขาจึงทําได้เพียงรับปากเท่านั้น ซึ่งนี้ก็ไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่แต่อย่างใด เพราะไม่ได้มีคําขอให้เขาตามหาคนโดยเฉพาะ ก็แค่บอกว่าหากเจอก็ให้เขาช่วยสอนพวกเขาหน่อยก็เท่านั้น
ส่วนหากคิดจะหนี เขาก็แค่เทเลพอร์ทออกไป แค่นี้วิญญาณลวงตาก็ไม่สามารถตามเขาออกไปได้ เพราะว่าเธอไม่สามารถออกไปจากแท่นบูชาเทพเติ้งเทียนนี้ได้ยังไงล่ะ
“เจ้าจงให้สัตย์สาบาน!” วิญญาณลวงตาบอกให้เขาทําการสาบาน
“แล้วข้าจะต้องปกป้องเขาไปถึงเมื่อไหร่? หากว่าเขาไปหาเรื่องขุมอํานาจอื่นตามใจ ข้าไม่ต้องปกป้องเขาจนตายหรอกเหรอ?” อี้เทียนหยุนยักไหล่ เขาไม่ใช่ขี้ข้า หากว่าอีกฝ่ายเป็นเจ้าหนุ่มเจ้าสําราญ หรือพวกชอบหาเรื่อง จะให้เขาทํายังไง?
“หากว่าระดับของเขาเหนือกว่าระดับราชาวิญญาณ ก็ไม่จําเป็นต้องปกป้องเขาอีก หากว่ายังอยู่ในระดับราชาวิญญาณ เจ้าก็ต้องปกป้องเขา ไม่ว่าเขาจะทําอะไร! แต่หากว่าเขาทําแต่สิ่งชั่วร้าย ก็ขอให้เจ้าได้โปรดสังหารเขาเพื่อนายท่านด้วย!” วิญญาณลวงตาพูดคําที่ยุติธรรมออกมาในที่สุด
หากว่าผู้สืบทอดที่พบเป็นปีศาจกระหายเลือด แล้วยังจะให้ปกป้องอีก? หากเป็นอย่างนั้น เขายอมที่จะไม่รับสืบทอดเสียยังดีกว่า กับปีศาจกระหายเลือดที่เอาแต่ฆ่าคนบริสุทธิ์ทุกวันอย่างนั้น เขายังต้องช่วยอีก? นั่นคงเป็นเรื่องน่าหัวเราะแล้ว!
“แบบนี้ยุติธรรมดี ทั้งข้ายังไม่ต้องฝืนใจทําด้วย ข้าอี้เทียนหยุน หากว่าเจอผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์เฟยเทียน ขอสาบานว่าจะถ่ายทอดทุกอย่างที่ได้รับมาจากราชาศักดิ์สิทธิ์ช่วงเทียนให้กับเขาอย่างแน่นอน และจะปกป้องเขาจนกว่าจะมีพลังระดับราชาวิญญาณ แต่หากว่าเขาเอาแต่ทําเรื่องชั่วร้ายไม่หยุด ข้าจะเป็นผู้ช่วยราชาศักดิ์สิทธิ์ช่วงเทียน สังหารเขาแทนฟ้าอย่างแน่นอน!”
หลังจากให้คําสาบาน ท้องฟ้าก็พลันส่งลําแสงลงมาทะลวงเข้าสู่วิญญาณของเขา พร้อมกับประทับตราอยู่บนนั้น หากว่าเขายังทําตามคําที่สาบานไว้ไม่สําเร็จ ก็จะไม่มีทางที่จะลบตราประทับนี้ออกไปได้
“ติ๊ง ท่านรับภารกิจ “ตามหาเชื้อสายราชาศักดิ์สิทธิ์ช่วงเทียน” สําเร็จ เมื่อสําเร็จจะได้รับค่าประสบการณ์ 200 ล้าน, ค่าความคลั่ง 500,000, ค่าความชอบของเชื้อสายราชาศักดิ์สิทธิ์ช่วงเทียนเพิ่มขึ้น 100!”
“แค่นี้เหรอ?” อี้เทียนหยุนเงยหน้าขึ้นถาม
“อืม” วิญญาณลวงตาพยักหน้า จากนั้นก็ควบคุมลําแสงกลุ่มหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ เข้ามาปกคลุมเทียนหยุนไว้อย่างรวดเร็ว พร้อมกับความทรงจํามากมายที่หลั่งไหลเข้าไปในสมองของอี้เทียนหยุนไม่หยุด
อี้เทียนหยุนยอมให้ความทรงจํานี้หลั่งไหลเข้ามา ขณะเดียวกัน เขาก็ใช้ดวงตาประเมินทําการตรวจสอบ และคัดลอกข้อมูลพวกนี้ไว้ ข้อมูลพากันหลั่งไหลเข้ามาเป็นจํานวนมาก ส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นวิชายุทธ์ระดับสวรรค์ที่น่าทิ้งด้วยกันทั้งนั้น รวมถึงเคล็ดวิชาเฉียนคุนด้วยเช่นกัน
เคล็ดวิชาเฉียนคุนคือวิชาที่สําคัญที่สุด ส่วนวิชาระดับสวรรค์อื่นๆนั้น เป็นได้เพียงตัวประกอบเท่านั้น เคล็ดวิชาเฉียนคุนช่างร้ายกาจอย่างแท้จริง ในตอนแรกเริ่มราชาศักดิ์สิทธิ์ช่วงเทียนก็ใช้มันนี่แหละเพื่อสร้างชื่อเสียงขึ้นมาระหว่างสงคราม จนกลายเป็นหนึ่งในราชาศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งที่สุด!
แล้วยังมีบันทึกอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นบันทึกเกี่ยวกับการฝึกตน หรือว่าบันทึกเกี่ยวกับค่ายกล ซึ่งบันทึกเหล่านี้ล้วนแต่ไม่มีความหมายต่อเขาแม้แต่น้อย เขาไม่ต้องการไอ้สิ่งที่เรียกว่า “บันทึก” พวกนี้ เพราะเขาจะได้มันมาด้วยการฝึกฝน โดยการเปลี่ยนมันให้กลายเป็นค่าความชํานาญ ดังนั้น เขาจึงไม่ต้องการไอ้บันทึกอะไรพวกนี้
สําหรับคนอื่นอาจจะเป็นคอขวด แต่สําหรับเขาแล้ว ต้องการแค่ค่าความชํานาญเท่านั้น!