CLS ตอนที่ 619: เจ้ามีอะไรจะพูดไหม
เรื่องของวังโหมวเทียนเขาลืมไปแล้วจริงๆ เมื่อมีเรื่องหนาหนักมาวางอยู่ตรงหน้าแล้วเรื่องไม่เป็นเรื่องนี้จะเอาไปเทียบได้ยังไงควรพูดว่าเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้นทําให้ง่ายที่จะลืม
อรี่ชีเชียนได้ฟังก็รู้สึกพูดไม่ออก มีแต่ระดับมหาจักรพรรดินี้เท่านั้นถึงจะพูดคํานี้ออกมาได้
ประมุขวังโหมวเทียนรออยู่ด้านนอกเป็นเวลานาน ทั้งยังรอด้วยความกลัวเป็นอาทิตย์ ยิ่งนายน้อยฉีเองนั้นต้องนั่งคุกเข่าถึงสองสัปดาห์ติด แม้จะลุกยังไม่กล้า
แต่ที่จริงเรื่องนี้ก็ไม่ได้ส่งผลอะไรต่อนายน้อยนั่นเท่าไหร่ ที่ส่งผลที่สุดก็คือเรื่องการเสียหน้าของเขานั่นล่ะหากเป็นคนทั่วไป ถ้าต้องนั่งคุกเข่าติดกันสองอาทิตย์ ป่านนี้คงต้องตัดขาทิ้งไปแล้ว แต่นายน้อยฉีเป็นผู้มีพรสวรรค์ ทั้งระดับฝึกตนก็มาถึงระพับก่อแกนวิญญาณ อย่าว่าแต่นั่งคุกเข่าสองอาทิตย์เลยต่อให้ต้องนั่งคุกเข่าครึ่งปีก็ไม่มีปัญหา
ซึ่งนี่ก็ไม่ต่างอะไรไปจากการนั่งเข้าสมาธิ ความเสียหายสักนิดก็ไม่มี เมื่อมาถึงระดับนี้แล้วร่างกายย่อมต้องแข็งแกร่งอย่างมากดังนั้นการคุกเข่าอยู่กับพื้นจะไปมีปัญหาได้ยังไง
ดังนั้นเทียนหยุนจึงคร้านที่จะไปสนใจอุบายทําลายตนเอง ต่อให้จะคุกเข่านานแค่ไหน หรือโขกศีรษะสักกครั้งก็ไร้ประโยชน์ ต่อให้จะตัดมือตนเองก็ยังไม่มีความหมาย ด้วยทรัพยากรที่ล้นเหลือของวังโหมวเทียนการจะหาโอสถมาต่อแขนใหม่ ก็ไม่มีปัญหาแม้แต่น้อย
“คือว่า…. หลายวันก่อนได้เก็บข้อมูลมาเรียบร้อยแล้ว แต่ว่าพระองค์ยังอยู่ข้างใน พวกกระหม่อมก็เลยไม่กล้าเข้าไปรบกวน” อวชีเชียนพูดด้วยความเคารพ
ที่เก็บรวบรวมข่าวได้เร็วขนาดนี้ เป็นเพราะทั่วทั้งวังไป๋เหลียนต่างก็ลงมือสืบค้นด้วยกันทั้งหมด ทําให้เก็บรวบรวมข้อมูลได้ไว แต่พวกเธอก็ไม่กล้าที่จะเข้าไปรบกวน
หากว่าเทียนหยุนไม่ออกมา พวกเธอก็ไม่กล้าเข้าไปรบกวนเด็ดขาด ด้วยฐานะที่ต่างกันสุดขั้วเช่นนี้ใครจะกล้าไปรบกวนเขาส่งเดชกัน?
ต่อให้เทียนหยุนจะอาศัยอยู่ในนั้นเป็นปี พวกเธอก็ไม่กล้าเข้าไปรบกวนแม้แต่น้อย พร้อมทั้งคิดว่าเทียนหยุนอาจจะปิดด่านฝึกตนอยู่ด้านใน หรืออาจจะทําอะไรอยู่ หากเข้าไปทําให้เขาเสียเรื่องนั่นไม่เท่ากับเข้าไป ตายหรอกเหรอ
ตอนนี้ฐานะของเทียนหยุนต่างกับพวกเธอใหญ่มาก ที่ให้ความเคารพนี้ ก็เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงความโกรธเกรี้ยวของมหาจักรพรรดิ
อยู่กับราชานั้นอันตรายเหมือนอยู่ด้วยกันกับเสือ นี่คือเรื่องจริง
“อม เจ้ามาด้วยกันกับข้า เดินไปพูดไป” อี้เทียนหยุนพยักหน้า ไม่ได้แปลกใจอะไร
หากแค่เรื่องนี้ยังสืบมาไม่ได้ วังไป๋เหลียนก็คงไม่ต้องมีอยู่ต่อไปแล้ว ควรรีบเก็บข้าวเก็บของแล้วไสหัวไปแม้แต่ความสามารถด้านการหาข่าวยังไม่มี แล้วยังจะมาพูดเรื่องที่จะแข็งแกร่งขึ้นได้ยังไง
“ข่าวที่ได้มาล้วนแต่ชัดเจน นายน้อยฉีแห่งวังโหมวเทียนใช้ชื่อพระองค์เพื่อก่อเรื่องจริงๆทั้งยังใช้มันเพื่อรั้งแกขุมอํานาจเล็กๆ กลุ่มอื่น… ขนาดพวกกระหม่อมเองก็ตกเป็นเหยื่อ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกลุ่มอิทธิพลเล็กๆกลุ่มอื่นเลยด้วยการแอบอ้างชื่อของพระองค์ทําให้สามารถกําราบขุมอ่านาทอื่นเอาไว้ได้…”
อรี่ชีเชียนสนใจสีหน้าของอี้เทียนหยุน อยากจะดูว่าเขามีสีหน้าเปลี่ยนไปหรือไม่ แต่ว่าเขากลับไม่เปลี่ยนสีห น้าเลยตั้งแต่ต้นจนจบ
“อม รู้แล้ว”
เทียนหยุนพยักหน้า นี่ไม่ได้ผิดไปจากที่คิด ตั้งแต่ที่เลือกจะป่าวประกาศ เขาก็ต้องทํากับคนอื่นแบบนี้อยู่แล้วกับขุมอํานาจในเมืองเล็กๆย่อมสามารถใช้ชื่อเขาไปหลอกทุกคนได้อย่างแน่นอน
มหาจักรพรรดินั่งอยู่บนที่สูงและห่างไกลใครจะมาสืบเรื่องนี้กัน?
พวกเขาพากันเดินมาถึงอย่างรวดเร็ว และเพิ่งจะเดินมาถึงทางเข้าสํานัก ก็ปรากฏว่าด้านหน้ายืนเต็มไปด้วยผู้ฝึกตนกลุ่มหนึ่งตรงที่นายน้อยฉีกําลังคุกเข่าอยู่
“คารวะฝ่าบาท..”
และมีชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับนายน้อยฉ้อย่างมาก รีบเดินเข้ามาพร้อมกับกล่าวทักทายด้วยความเคารพ เขาก็คือประมุขวังโหมวเทียน ฉีเหวินข่าย
“คารวะฝ่าบาท…..”
พวกเขาพากันคอมเอวคารวะ ไม่กล้าที่จะทําตัวเสียมารยาทแม้แต่น้อย การที่พวกเขาต้องคอยอยู่ด้านนอกเป็นเวลานานถึงสัปดาห์ หากว่าไม่มีการบ่นในใจ คงเป็นไปไม่ได้
แต่พวกเขาก็ทําได้เพียงคอยอยู่ด้านนอกเท่านั้น ไม่กล้าจากไปไหน โดยเฉพาะประมุขฉีคนนี้หลังจากทราบสถานการณ์ เขาก็รีบพาคนบินมาที่นี้ในทันที เรื่องนี้สร้างความหวาดกลัวให้กับเขาจนขวัญแทบบินหายไม่คิดว่ามหาจักรพรรดิจะมาที่นี่จนพบกับเรื่องอื้อฉาวนี้ ช่างคิดไม่ถึงจริงๆ
ขณะที่รออยู่ด้านนอก ลูกชายของเขาก็กําลังนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้น นี่สร้างความอับอายให้เขาอย่างหาที่เปรียบไม่ได้แต่ใครใช้ให้อีกฝ่ายเป็นมหาจักรพรรดิกันล่ะ? ดังนั้นจึงทําได้เพียงแค่คอยอย่างเรียบๆ ร้อยๆ เท่านั้น
“ฝ่าบาท ทั้งหมดนี้เป็นเพราะกระหม่อมสั่งสอนไม่เข้มงวดเอง! กระหม่อมจะลงโทษเจ้าเด็กไม่รักดีคนนี้กระหม่อมจะไม่ขอให้ฝ่าบาทยกโทษให้เขาในตอนนี้ แต่อยากจะขอให้ฝ่าบาทอย่าลากเอาสํานักของพวกกระหม่อมเข้าไปด้วยเลย!” พูดจบ ประมุขฉีก็ครามด้วยความโกรธ พร้อมกับชักกระบออกมาเตรียมที่จะฟันลูกตัวเอง
แสงกระบี่กระพริบวาบ ขาทั้งสองข้างของนายน้อยฉีพลันถูกตัดขาดในทันที พร้อมกับเสียงกรีดร้องดังออกมา
บอกตัดเป็นตัด ไม่มีความปรานีอวี่ชีเชียนที่อยู่ใกล้ๆ ตกใจกลัวจนหน้าถอดสี คนของวังไปเหลียนก็ตกใจมากเหมือนกันบอกตัดเป็นตัดไม่มีการปรานี้เลยสักนิด
เพิ่งจะพูดจบ กระบี่ของประมุขฉีก็ตัดแขนทั้งสองข้างของนายฉีอีกครั้ง นี่หมายความว่าแขนขาทั้งสี่ข้างของเขาถูกตัดหมดแล้วตอนนี้เขาไม่ต่างกับคนพิการเลย
อี้เทียนหยุนยืนมองด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก การกระทํานี้ไม่ได้ส่งผลอะไรต่อเขาแม้แต่น้อย
“ท่านพ่อ ท่านพ่อ ท่าน…” นายน้อยฉีร้องโหยหวน เหมือนอยากจะพูดอะไรออกมา แต่ในขณะที่กาลังจะพูดอยู่นั้น สายตาของประมุขฉีก็ระเบิดแสงคมกริบ แทงกระบออกไปอย่างไม่ปรานี
แต่ในขณะที่กระบี่กําลังจะแทงเข้าที่หน้าอกของนายน้อยฉีนั้น ก็ได้มีพลังเข้ามาขวางเขาไว้
“ข้าบอกให้เจ้าลงมือแล้วอย่างงั้นเหรอ?” เทียนหยุนพูดอย่างเฉยชา “ข้าก็แค่ให้คนไปสืบเรื่องราวให้กระจ่างเท่านั้นเจ้ากังวลอะไรของเจ้า? พูดให้ถูกคือ เจ้าร้อนใจอะไรกัน?”
“กระหม่อมแค่ต้องการลงโทษเจ้าเด็กเลวคนนี้พะยะค่ะ…” ประมุขฉีถูกซัดกระเด็น หลังจากที่ถอยไปหลายก้าวในใจก็พลันตระหนกถึงขีดสุด
เขามีพลังถึงระดับผันแปรวิญญาณ เกือบจะเข้าสู่สภาวะสูงสุดแล้ว แต่กลับถูกอี้เทียนหยุนซัดจนปลิวอย่างง่ายๆด้วยพลังที่น่าทึ่งระดับนี้ ช่างเป็นอะไรที่เขาไม่เคยพบเคยเจอมาก่อน!
“หุบปาก” เทียนหยุนมองไปยังประมุขฉีด้วยสายตาเย็นชา ประมุขจีพลันหุบปากฉับ จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นเบาๆ ทําให้ร่างของนายน้อยฉลอยขึ้นจากนั้นเขาก็ทํามุทรา ผนึกบาดแผลที่กําลังมีเลือดไหลของเขา“มองมาที่ข้า!”
นายน้อยฉิมองมาที่เขาอย่างอ่อนแรงในสายตาเผยให้เห็นถึงความเกลียดชังและไม่ยินยอมอยู่หลายส่วน
สายตาอี้เทียนหยุนมีแสงเปล่งออกมาเล็กน้อย ทําให้สายตาของนายน้อยฉีกลายเป็นเหม่อลอยในทันทีนี่คือสภาวะที่ถูกเนตรเสน่ห์ของเขาเข้าไป
“บอกข้อมูลที่เจ้ารู้ให้ข้าฟังหน่อย” อี้เทียนหยุนพูดอย่างเฉยชา
“ข้าฉวยโอกาสที่อาณาจักรเทียนหยุนกําลังมีชื่อเสียง หาเรื่องรังแกขมอานาจอื่น และไม่เพียงแต่ข้าเท่านั้นท่านพ่อเองก็ใช้โอกาสนี้รังแกคนอื่นเช่นกัน โดยเฉพาะครั้งนั้นที่จัดการกับวังอวหลิน(ป่าฝน) คราวนั้นทําให้พวกเขากลัวจนเสนอสมบัติจํานวนมากออกมาตอนนั้นขาเห็นว่าผลลัพธ์ที่ได้มันดีจึงได้ทําตามบ้าง”นายน้อยพูดออกมา
หลังจากที่เขาพูดคํานี้ออกมา สีหน้าของผู้คนพลันพากันเปลี่ยนไป โดยเฉพาะสีหน้าของประมุขฉียิ่งกลายเป็นน่าเกลียดที่เขาอยากจะสังหารลูกชายของตนเองเมื่อกี้นี้ ก็เพราะกลัวคําพูดแบบนี้นี่แหละ
แม้ว่านายน้อยจะเป็นลูกชายของเขา แต่ว่าเขาก็ไม่ได้กังวล ไม่ใช่ว่านี่เป็นแค่ลูกชายคนหนึ่งหรอกเหรอตายแล้วก็ตายไปสิตราบเท่าที่ไม่สร้างความเสียหายต่ออํานาจของตนอย่างนั้นก็ไม่เห็นว่าจะมีปัญหาอะไร
แต่ใครจะรู้ว่าเรื่องที่เขากังวลที่สุด ในที่สุดจะถูกเปิดเผยออกมา
“เจ้ามีอะไรจะพูดไหม?” อี้เทียนหยุนมองไปที่ประมุขจี แล้วถามออกมา