ตอนที่ 624: อวดดี
หลังจากคุยกันเสร็จ เริ่นเต๋อก็ได้ตะโกนเรียกหลายชายของเขากลับมา พร้อมกับแนะนําตัวอี้เทียนหยุนให้กับเขาฟัง
“นี่คือมหาจักรพรรดิเทียนหยุน ผู้ที่จะมาเป็นนายน้อยของเจ้า….”
คําพูดของเริ่นเต๋อไม่ทันจบ เริ่นเซียวเหยาก็พลันตื่นเต้น พร้อมกับร้องตะโกนออกมา
“ท่านคือมหาจักรพรรดิเทียนหยุน!?” เริ่นเซียวเหยาตะโกนออกมาเสียงดัง “ดูแล้วเด็กมากเลย แม้จะได้ยินมาว่ามีรูปลักษณ์อ่อนเยาว์ แต่คนก็พูดกันว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ทําการสิงร่างใหม่! ข้าได้ยินมาว่าท่านร้ายกาจมาก ถึงกับทําลายอาณาจักรชื่อหลงด้วยตัวคนเดียว หนึ่งประเทศห้าราชันย์กลับถูกท่านสังหารจนหมด!”
“ยิ่งคิดก็ยิ่งตื่นเต้น ไม่ว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับราชาวิญญาณคนไหน ต่างก็ตายภายใต้คมดาบของท่าน! ข้าเลื่อมใสท่านมาก ก่อนหน้านี้นานแล้ว ข้าอยากจะไปเจอท่านสักครั้ง อยากจะดูว่าท่านมีหน้าตาเป็นยังไง แต่ไม่คิดเลยว่าจะเป็นเด็กหนุ่มจริงๆ!”
เขามีท่าทางตื่นเต้น เห็นได้ชัดว่าเลื่อมใสอี้เทียนหยุน เห็นเขาเป็นดั่งต้นแบบ
“เซียวเหยา ระวังคำพูดหน่อย!” เริ่นเต๋อแค่นเสียงอย่างจริงจัง
จากนั้น เริ่นเซียวเหยาก็ระงับอาการตื่นเต้นของตน แต่ในว่าสายตายังเป็นประกายวาว เหมือนกับมีค่าพูดอีกมากมายที่อยากจะพูด ถ้าไม่ถูกปู่ของตนหยุดไว้ซะก่อน
“รู้แล้วท่านปู่ คารวะนายน้อย…. คือ นายน้อย? ท่านคือทายาทของนายท่านช่วงเทียน นี่มันมหัศจรรย์เกินไปแล้ว ไม่คิดเลยว่าจะมีความเป็นมาแบบนี้ นี่เป็นเหมือนกับโชคชะตาที่กําหนดมาเลย!”
เขาเริ่มตื่นเต้นขึ้นมา ดูแล้วเหมือนจะเป็นคนที่เงียบไม่ได้นาน
“เซียวเหยา!” เริ่นเต๋อเริ่มโมโห น้ําเสียงที่ใช้ก็เริ่มเข้มขึ้นหลายส่วน ทันใดนั้นก็ได้ทําให้เริ่นเซียวเหยารีบหนีไป ไม่กล้าอยู่ต่อ
“ไม่เป็นไรหรอก คนหนุ่มก็แบบนี้ ข้าเข้าใจ” เริ่นเทียนหยุนพูดด้วยรอยยิ้ม
“แต่….” เริ่นเต๋อส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ นี่มันออกจะเสียมารยาทเกินไป คนที่ได้รับสืบทอดจากราชาศักดิ์สิทธิ์ช่วงเทียนก็เท่ากับเป็นนายน้อย
เขาที่เป็นผู้เฒ่าผู้แก่ก็ยังต้องให้ความเคารพ แล้วยิ่งตอนนี้มารู้ว่าอี้เทียนหยุนเป็นมหาจักรพรรดิเทียนหยุน ในใจก็ยิ่งเลื่อมใสขึ้นไปอีก มีนายน้อยที่แข็งแกร่งอย่างนี้ สามารถทําให้คนเลื่อมใสได้อย่างแท้จริง
จากนั้นพวกเขาก็พากันพูดคุยกัน บอกเล่าถึงการตัดสินใจคร่าวๆ เมื่อรู้ว่ากําลังจะได้ไปอาณาจักรเทียนหยุน เริ่นเซียวเหยาก็กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ
พวกเขาอยากจะออกไปจากที่นี่นานแล้ว โดยเฉพาะอาณาจักรที่มีเมืองใหญ่ๆ เริ่นเซียวเหยายังไม่เคยย่างกรายไปเลย ดังนั้น เซียวเหยา สองคํานี้ จึงไม่ได้เข้ากับตัวเขา เพราะต้องอาศัยอยู่ที่นี่ ดังนั้นจึงเป็นการกดเขาไว้ อย่างแท้จริง (เซียวเหยา = อิสระไม่ผูกมัด)
แต่ด้วยภารกิจในฐานะผู้พิทักษ์ จึงทําได้เพียงต้องเฝ้าอยู่ที่นี่รุ่นต่อรุ่น ไม่สามารถไปที่อื่นได้
แต่คําพูดที่นายน้อยพูดออกมาในตอนนี้นั้นต่างกัน คําพูดของเทียนหยุนก็เทียบได้กับคําพูดของราชาศักดิ์สิทธิ์ช่วงเทียน สามารถเปลี่ยนกฎที่มีมาแต่ก่อนได้
มองดูท่าทางที่มีความสุขของหลานชายตน เริ่นเต๋อก็แสดงสีหน้ามีความสุขออกมาเช่นกัน ทําไมเขาถึงจะไม่อยากให้ลูกหลานออกไปสัมผัสโลกภายนอกกันล่ะ?
ดังนั้น เขาจึงให้พวกเขาออกไปข้างนอกบ่อยๆ แต่ส่วนใหญ่พวกเขาล้วนต้องอาศัยอยู่ที่นี่ เพื่อที่จะปกป้องที่แห่งนี้ไว้
พวกเขาค่อยๆ รับอิทธิพลมาตั้งแต่เด็กฝึกวิชาที่ราชาศักดิ์สิทธิ์ช่วงเทียนมอบให้ พวกเขาก็ยินดีที่จะอยู่ที่นี่ ถึงยังไงการได้ดูแลเรื่องที่ราชาศักดิ์สิทธิ์มอบหมาย ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่เป็นเกียรติสำหรับเขา
หากวันใดที่ราชาศักดิ์สิทธิ์ช่วงเทียนกลับมาแล้วพวกเขาไม่อยู่ เรื่องนี้คงเป็นปัญหาใหญ่ แต่หากว่าพวกเขาอยู่ที่นี้ พวกเขาย่อมต้องได้รับรางวัลที่มีค่าอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นคงต้องเป็นปัญหา
ซึ่งนี่ก็คือโซ่ตรวน ที่ทําให้พวกเขาต้องอาศัยอยู่ที่นี่
และในเมื่อตอนนี้อี้เทียนหยุนเป็นฝ่ายออกปาก เริ่นเต๋อก็รู้สึกเบาใจ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่กล้าจากไปจริงๆ เขากลัว กลัวว่าวันใดที่ราชาศักดิ์สิทธิ์ช่วงเทียนกลับมาแล้วจะโมโหเข้า หากเป็นอย่างนั้น ครอบครัวทั้งหมดของเขาคงถึงจุดจบ
“ข้ายังมีเรื่องที่ต้องทําอยู่ นี่คือป้ายตัวแทนข้า นําป้ายนี้ไปยังเมืองเทียนหยุน จากนั้นจะมีคนพาพวกเจ้าเข้าไป” อี้เทียนหยุนสร้างป้ายออกมามอบให้กับพวกเขา
“ขอบคุณ นายน้อย” เห็นเต่อรับป้ายนี้มาด้วยความเคารพ
หลังจากอธิบายเรื่องต่างๆ เสร็จ อี้เทียนหยุนก็จากไป ไม่รั้งอยู่ที่นี่ต่อ พวกเขายังมีเรื่องต้องจัดการก่อนจะไป ไม่สามารถออกเดินทางได้ทันที ยิ่งกว่านั้น พวกเขายังต้องรอให้ลูกชายของเขากลับมาก่อนถึงจะไปได้
จากนั้น เขาก็บินโดยไม่หยุดพักไปยังทางผ่านใต้พิภพ เพื่อมองหาผู้พิทักษ์อีกคน ตราบเท่าที่ได้สองผู้พิทักษ์คอยดูแลเป็นเทพพิทักษ์เมืองของตน เมื่อถึงตอนนั้น ขอแค่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญระดับราชาเซียนมาเอง พวกเขาก็ไม่มีอะไรต้องกลัว!
ส่วนของโลกมนุษย์ยิ่งง่าย เพราะไม่มีใครกล้าท้าทายอํานาจอาณาจักรเทียนหยุนของเขาอยู่แล้ว
หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็มาถึงทางผ่านใต้พิภพอย่างรวดเร็ว เมื่อมาถึงที่นี่อีกครั้ง รอบๆ ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนสภาพแวดล้อมยังคงเลวร้ายเหมือนก่อนหน้า
“ยังคงมีอีกหลายคนที่อยากไปยังโลกใต้พิภพ…”
อี้เทียนหยุนมาถึงแม้นใต้พิภพ และก็เห็นผู้ฝึกตนหลายคนกําลังตัดไม่เหมือนที่เขามาครั้งแรก ตัดไม้เพื่อมานํามาสร้างเป็นเรื่อ
“น้องชายท่านนี้ เจ้าต้องไปโลกใต้พิภพไหม พวกเรายังขาดคนอยู่ ไม่ทราบว่าเจ้าอยากจะมาด้วยกันกับพวกเราไหม?” ในตอนนี้เอง ได้มีชายผู้หล่อเหลาเดินยิ้มเข้ามา พร้อมกับเอ่ยชวนเขา
“เป็นเด็กเป็นเล็กกลับมาถึงที่นี่ ช่างทําตัวเหลวไหลจริงๆ ที่นี้คือแม่น้ําใต้พิภพ ไม่ใช่สนามเด็กเล่น…”
“ก็เพราะเป็นเด็ก เจ้าเด็กนี่ถึงได้ถูกคนหลอกให้เข้าร่วม ไม่รู้ว่ามีคนมากเท่าไหร่ที่ต้องกลายเป็นตัวรับลูกกระสุน”
ผู้ฝึกตนที่อยู่ใกล้ๆ ส่ายหัว เมื่อเห็นว่าผู้มาใหม่ดูเด็ก จึงไม่อยากให้เขาไปด้วย นอกจากว่าจะมีระดับสูง ไม่อย่างนั้นต้องเป็นผู้ใหญ่ พวกเขาถึงจะเต็มใจให้ไปด้วย
“นี่น้องชาย ข้าว่าเจ้ากลับไปดีกว่า ทางผ่านใต้พิภพนี้อันตรายมาก ไม่ใช่ที่ที่เจ้าจะสามารถจินตนาการได้” ในตอนนี้เองได้มีผู้หญิงที่มีรูปลักษณ์ธรรมดาอายุราวๆ 30 เดินเข้ามา พร้อมกับเอ่ยแนะนําเขาด้วยใบหน้าคิ้วขมวด
“ยัยผู้หญิงน่ารังเกียจ ตัวเองไม่ต้องการคน ก็อย่ามาดูหมิ่นเจตนาดีของข้า!” ผู้ชายหน้าตาหล่อเหลาที่อยู่ใกล้ๆ สวนกลับอย่างดุร้าย
“หลิวเต๋อ คนอย่างเจ้ามีเจตนาดีกับเขาด้วยเหรอ? ไปกับเจ้า ข้ารู้สึกว่าจะเป็นเจตนาร้ายมากกว่า!” ติงชิงมีสีหน้าเย็นชา พร้อมกับพูดอย่างจริงจังว่า “แค่มองก็รู้แล้วว่าเขามีระดับไม่ได้แข็งแกร่งเท่าไหร่นัก ด้วยระดับเท่านี้ หากไปยังโลกใต้พิภพ ไม่เท่ากับไปหาที่ตายหรอกเหรอ?”
“ผู้อื่นเขาจะไป แล้วเจ้ามายุ่งอะไรด้วย?” หลิวเต๋อแค่นเสียงออกมา
“ก็ข้าเห็นเจ้าแล้วมันขัดนัยน์ตานี เจ้าจะทําไม?” ติงชงม้วนแขนเสื้อ ต้องการต่อยตีกับหลิวเต๋อ
หลิวเต๋อขมวดคิ้ว แต่ในขณะที่กําลังจะพูด อี้เทียนหยุนก็พูดขึ้นก่อนว่า “ไม่ต้องหรอก ข้าจะไม่ไปกับใครทั้งนั้น ยังไงก็ตาม ข้าดูเจ้าแล้วรู้สึกเข้าตามา ข้าสามารถไปส่งเจ้าได้”
อี้เทียนหยุนเผยรอยยิ้มคลุมเครือออกมา รูปลักษณ์ของติงชิงผู้นี้ดูธรรมดา แต่ว่าคนนั้นจิตใจดี เขาจึงได้เอ่ยชวนเธอ
“จะไปส่งพวกเรา? เจ้าน่ะนะ จะเป็นคนไปส่ง?” ติงชิงตกใจ คนอื่นก็ตกใจเช่นกัน นี่มันเรื่องอะไรกัน?
“ข้าจะไปส่งเจ้าตรงที่ทางผ่านใต้พิภพ ข้ากําลังจะไปที่นั่นพอดี” อี้เทียนหยุนพูดอย่างเฉยชา
เมื่อคํานี้ถูกพูดออกมา ก็ทําเอาผู้ฟังพากันเงียบ จากนั้นหลิวเต๋อที่อยู่ใกล้ๆ ก็ชี้นิ้วมาที่เขาพร้อมกับหัวเราะเสียงดัง “เจ้าเด็กนี่มันโง่หรือเปล่า? หรือมันคิดว่าที่นี่เป็นสนามเด็กเล่น ถึงกับกล้าพูดจะพาคนอื่นไปส่ง นี่ช่างน่าขันจริงๆ!”
คนอื่นๆ ก็พากันหัวเราะ พร้อมกับมองมาที่อี้เทียนหยุนราวกับกําลังมองคนโง่คนหนึ่ง
อย่างว่าแต่พวกเขาเลย ขนาดตั้งชิงเองยังไม่รู้ว่าจะพูดยังไงดี พร้อมกับคิดอย่างอึดอัดใจ คิดว่าอี้เทียนหยุนนี่ออกจะอวดดีไปหน่อยหรือเปล่า?