ตอนที่ 637: ทัพใหญ่เข้าโจมตี
ราชครูจี้หยางแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนหมิงนำผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากบุกเข้ามาเข่นฆ่าที่นี่โดยที่ไม่มีลางบอกเหตุล่วงหน้า เมื่อพวกเขาพากันบุกเข้ามา ก็ทำให้เหล่าผู้คนของเผ่าฟีนิกซ์ต่างก็พากันแตกตื่น
“นี่มันอะไรกัน ทำไมจู่ๆ ถึงได้มีศัตรูบุกเข้ามาที่เผ่าได้ ผู้มาเป็นใครกันแน่!?”
ไป๋สุ่ยหวงและพวกผู้อาวุโสกำลังประชุมกันอยู่ในตำหนักใหญ่เพื่อหารือเรื่องบางอย่าง แต่ทันใดนั้นก็พบเห็นเปลวเพลิงที่ด้านนอก มีเพียงแต่ช่วงเวลาที่อันตรายมากเท่านั้น ยามถึงจะเปิดใช้งานผนึกมหาค่ายกลขึ้น!
หากเป็นช่วงเวลาปกติ ย่อมไม่มีทางเปิดขึ้นอย่างแน่นอน มีเพียงแต่เป็นเรื่องที่สำคัญมากเท่านั้น เพราะการเปิดใช้งานมหาค่ายกลจะเกิดการเผาผลาญพลังวิญญาณไปเป็นจำนวนมาก ดังนั้นหากจะเปิดใช้งาน ก็ต้องเป็นตอนที่มีอันตราย ทั้งยังเป็นอันตรายที่สร้างความเสียหายให้กับเผ่าฟีนิกซ์อย่างใหญ่หลวง!
และที่สำคัญคือพวกเธอยังไม่ทันได้รู้สึกอะไร อยู่ๆ มหาค่ายกลก็ถูกเปิดใช้งานแล้ว มีมหาค่ายกลจำนวนมากที่ถูกวางไว้ที่พื้นที่ด้านนอกและบริเวณประตู ทั้งหมดต่างก็ถูกเปิดใช้งานในคราวเดียว
เหล่าผู้อาวุโสที่อยู่ด้านในนั้น ไม่มีใครรู้อะไร จนกระทั่งมหาค่ายกลถูกเปิดใช้งาน ถึงได้รู้ว่ามีคนบุกเข้ามา
จากนั้น โดยที่ไม่รอช้า ร่างกายของพวกเขาก็พากันมีเปลวเพลิงลุกขึ้นมา ก่อนที่จะกลายเป็นลำแสงสีแดงบินออกไปที่ตรงประตูหน้าตรงเขตนอกอย่างรวดเร็ว ลำแสงสีแดงบินไปถึงประตูหน้าอย่างรวดเร็ว ไม่เพียงแต่พวกไป๋สุ่ยหวงเท่านั้น แต่เป็นทุกคนของเผ่าฟีนิกซ์ ที่ไม่ว่าจะกำลังฝึกฝน หรือทำหน้าที่รักษาอะไร ต่างก็พากันบึ่งออกไปข้างนอกด้วยความเร็วสูงสุด
ถึงกับต้องเปิดใช้งานมหาค่ายกลป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุด ก็หมายความว่าผู้มาในคราวนี้เป็นอันตรายสูง แล้วอย่างนี้ใครจะกล้านั่งปิดด่านอยู่ในห้องได้อีก? นอกเสียจากพวกบรรพชนเฒ่าเท่านั้น
ไม่ว่าจะเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เล็กหรือใหญ่ขนาดไหน ล้วนแต่ต้องมีบรรพชนเฒ่าปิดด่านอยู่ พวกเขาจะสนใจแค่บางอย่างเท่านั้น ไม่ใช่เพราะพวกเขาต้องการแยกตัวออกไป แต่เพราะชีวิตของพวกเขาเหลืออยู่อย่างจำกัด ดังนั้นจึงมีเรื่องที่พวกเขาต้องจัดการอยู่น้อยมาก
นอกจากจะเป็นเรื่องแห่งความเป็นความตาย พวกเขาถึงจะปีนขึ้นมาจากส่วนที่ลึกที่สุด แล้วออกมาลงมือ และหลังจากการลงมือครั้งนี้ หากไม่ตาย อายุขัยของพวกเขาก็จะลดลงอย่างมาก และก็จะมีชีวิตอยู่อีกแค่ไม่กี่วันเท่านั้น
ดังนั้น หากไม่ใช่ช่วงวิกฤตจริงๆ พวกเขาก็จะไม่มีทางออกมา ตอนนี้มหาค่ายกลได้ถูกเปิดใช้งานแล้ว แต่ผู้ที่กุมอำนาจในการเปิดใช้งานมันที่แท้จริงก็คือไป๋สุ่ยหวง จากนั้นเธอก็ทำการขยี้แผ่นหยกในมือ เป็นการใช้พลังเต็มพิกัดเพื่อต้านทานศัตรู
ฟีนิกซ์ไม่ใช่ว่าไม่มีวันตาย ก็แค่ว่ามีอายุขัยที่ยาวนานกว่าใครก็เท่านั้น
พวกเธอพากันไปถึงประตูหน้าที่เขตนอกในพริบตา ทันใดนั้นก็เห็นจี้หยางนำพวกผู้เชี่ยวชาญนับไม่ถ้วนยืนอยู่ที่หน้าประตู เข้ามายังถิ่นของพวกเธอ เพราะว่ามีห่วงโซ่เปลวเพลิงคอยปกคลุมอย่างแน่นหนา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถบุกเข้ามาได้ในทันที
“เจ้ากล้าดียังไง!” ไป๋สุ่ยหวงตวาดออกไป ขณะที่ในมือมีแสงสีแดงเป็นประกาย พร้อมกับยิงลูกไฟออกไปทางฝั่งจี้หยาง โจมตีพวกเขาอย่างรวดเร็ว
จี้หยางยกมือขึ้นเบาๆ ตบเข้าใส่แสงสีแดงที่โจมตีเข้ามานี้ หลังจากที่แสงสีแดงหมุนได้รอบหนึ่ง ก็ได้วิ่งกลับไปทางไป๋สุ่ยหวง นี่เห็นได้ชัดว่าบอลแสงทั้งสองนี้ ได้ควบแน่นขึ้นมาจากเปลวเพลิงที่น่าสะพรึงอย่างที่สุด เป็นเปลวเพลิงนิรันดร์!
“ขนหางฟีนิกซ์เพลิงสีชาด เป็นอุปกรณ์ระดับเทวะที่ดี ท่าทางผู้ใช้เป็นบรรพชนเฒ่าของพวกเจ้า บางทีอาจจะพอมีผลกับข้าบ้างเล็กน้อย แต่สำหรับเจ้า มันไม่ได้มีผลอะไรเลย” ฝ่ามือของจี้หยางที่ยกขึ้นรับปรากฏรอยแดงขึ้นปื้นหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร
ภายใต้การโจมตีของอุปกรณ์ระดับเทวะที่ป่าเถื่อน แต่กลับทิ้งไปเพียงรอยจางๆ เท่านั้น เห็นได้ชัดเลยว่าพลังของจี้หยางนั้นแข็งแกร่งแค่ไหน
ยังไงก็ตาม ความต่างระหว่างทั้งสองก็เห็นได้ชัด จี้หยางมาถึงระดับราชาเซียนขั้นที่ 5 แล้ว ส่วนไป๋สุ่ยหวงแม้จะเพิ่งทะลวงผ่านได้ในเร็วๆ นี้ แต่ก็เพิ่งจะมาถึงระดับราชาวิญญาณขั้นที่ 9 เท่านั้น ดังนั้น ทั้งสองจึงมีระยะห่างต่อกัน แม้จะเพิ่มอุปกรณ์ระดับเทวะเข้ามา ก็ยากที่จะเติมเต็มช่องว่างนี้ได้
“ราชครูจี้หยาง เผ่าฟีนิกซ์ของพวกเราไม่ได้เป็นปฏิปักษ์และมีความแค้นอะไรต่อกัน แล้วทำไมถึงได้เข้ามาโจมตีพวกเราก่อน!”
ไป๋สุ่ยหวงจ้องไปที่เขาอย่างดื้อรั้น เธอกังวลที่จะลงมือ เหตุผลส่วนใหญ่เป็นเพราะว่าจี้หยางได้จับยามของพวกเธอไป พร้อมกับเตรียมที่จะทุบร่างของอีกฝ่ายเพื่อดึงเอาแกนโลหิตออกมา วิธีที่โหดร้ายเช่นนี้ ก็มีแต่แดนศักดิ์สิทธิ์เทียนหมิงเท่านั้นที่สามารถใช้มันออกมาได้
“ไม่ได้เป็นปฏิปักษ์และมีความแค้นอะไรต่อกันอย่างงั้นเหรอ?” หลังจากจี้หยางหัวเราะ มือของเขาก็ได้กะซวกเข้าไปที่หน้าอกของยามผู้นั้น พร้อมกันนั้นก็มีเสียงร้องโหยหวนออกมา คว้าหัวใจของยามผู้นั้นไว้ในมือ นี่ทำให้พวกไป๋สุ่ยหวงพากันร้องออกมาคำหนึ่ง แต่ก็ไม่มีความหมาย
พวกเธอไม่สามารถบุกเข้าไปได้ หากบุกเข้าไป ก็เท่ากับพุ่งเข้าไปหาวงล้อมของศัตรู เมื่อถึงตอนนั้น พวกเธอก็จะเป็นเหมือนกับยามผู้นี้ ที่ถูกควักหัวใจออกมา
จี้หยางทำการเคี้ยวหัวใจในปาก สัมผัสได้ถึงการเต้นของหัวใจ เหมือนกับกำลังเคี้ยวขนมอยู่อย่างไงอย่างงั้น เขาเคี้ยวละเลียดละไม พร้อมกับสัมผัสถึงรสชาติของมัน “กลิ่นหอมนี้ช่างมหัศจรรย์จริงๆ กลิ่นของเลือดฟีนิกซ์นี้ ช่างหอมหวนยิ่งนัก นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้ลิ้มลองมันอย่างอิสระเช่นนี้….. ทั้งยังต่อหน้าเผ่าฟีนิกซ์ด้วย”
เขาแสดงรอยยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มที่มืดมนนัก
“จี้หยาง แดนศักดิ์สิทธิ์เทียนหมิงของเจ้า ตาย!” ไป๋สุ่ยหวงสายตาเย็นชา พร้อมกับหยิบเอาแผ่นหยกออกมาบดขยี้อย่างแรง
“ที่ข้าต้องการก็คือสิ่งนี้แหละ เมื่อกลุ่มตาเฒ่าของพวกเจ้าออกมา จะได้จับไปพร้อมกันทีเดียว” จี้หยางมองการกระทำของเธอ โดยที่ไม่มีความรู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด นี่คือการส่งสัญญาณ แต่ว่าเขาก็ไม่เข้าไปขัดขวาง หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ เขาต้องการให้ทำอย่างนี้อยู่แล้ว
“ดูเหมือนว่าคราวนี้ แดนศักดิ์สิทธิ์เทียนหมิงของพวกเจ้า จะทุ่มกำลังออกมาทั้งหมดแล้วสินะ?” ไป๋สุ่ยหวงมีท่าทางไม่แยแส ผู้เชี่ยวชาญที่มานี้มีมากนัก กระทั่งระดับราชาเซียนยังมีอยู่ถึงสองคน
หนึ่งคือจี้หยาง และอีกหนึ่งคือแม่ทัพใหญ่หมิงเสิ่น ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับราชาเซียนอีกคนของแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนหมิง พลังของเขาก็ได้มาถึงระดับราชาเซียนขั้นที่ 4 แล้วเหมือนกัน ซึ่งอ่อนแอกว่าราชครูอยู่เล็กน้อย
และไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น ยังมีผู้เชี่ยวชาญระดับราชาวิญญาณอีกเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะกองทัพกองหนึ่ง ที่ทั้งสองอยู่ในชุดสีฟ้าซีด ซึ่งมองเห็นใบหน้าไม่ชัด เพราะมีผ้าคลุมบังอยู่ จึงทำให้ดูได้ไม่ถนัด
แต่ว่าเธอสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจน เพราะคนกลุ่มนี้ให้ความรู้สึกที่อันตรายกับเธอ ยิ่งกว่านั้น ยังเป็นความรู้สึกของความตายที่เข้ามาใกล้อีกด้วย เห็นได้ชัดว่าผ่านการเตรียมการมาเป็นอย่างดี แต่จะเป็นอะไรนั้น เธอก็ไม่รู้เช่นกัน
พวกเธอไม่รู้เกี่ยวกับแผนของแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนหมิง จะรู้ก็แต่ข้อมูลคร่าวๆ เท่านั้น
“มันแน่นอนอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นเจ้าคิดว่าพวกเราจะบุกมาทำไม?” จี้หยางพูดด้วยรอยยิ้ม “มาพูดถึงหัวข้อก่อนหน้านี้กัน เจ้าบอกว่าพวกเราไม่ได้เป็นปฏิปักษ์และมีความแค้นอะไรต่อกันอย่างนั้นสินะ? งั้นก่อนหน้านี้ที่แท่นบูชาเทียนหมิงและก็เรื่องของเผ่าวิญญาณร้ายล่ะ เจ้ายังคิดว่าพวกเรายังไม่เป็นศัตรูกันอยู่ไหม? ไม่จำเป็นต้องปิดแล้ว ปิดไปก็ไม่มีความหมายอะไร พวกเราบุกมาถึงที่นี่แล้ว เจ้ายังคิดว่าพวกเราจะยังเป็นเพื่อนกันได้อีกเหรอ ยังจะแสร้งปั้นหน้ายิ้มให้แก่กันได้อย่างงั้นเหรอ?”
ที่จี้หยางพูดก็ถูก บุกมาถึงนี่แล้ว ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ไม่สามารถเจรจากันได้อีก ต่อให้ส่งมอบสมบัติทั้งหมดออกไปก็ไร้ประโยชน์ เพราะที่พวกเขาต้องการคือชีวิตของเผ่าฟีนิกซ์ทั้งหมด ดังนั้น ต่อให้มอบสมบัติเพื่อขอความเมตตาไปก็ไร้ความหมาย
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะยอมรับว่าตนเป็นทายาทของเผ่าวิญญาณร้ายแล้วสินะ?” ไป๋สุ่ยหวงพูดอย่างดูถูก
“ยอมรับแล้วจะทำไม เจ้าคิดว่าวันนี้จะรอดไปได้อย่างงั้นเหรอ?” จี้หยางอยู่อย่างไม่แยแส “เพื่อวันนี้ พวกเราได้เตรียมการมาอย่างดี แต่ไม่คิดว่าจะถูกทำลายไปอย่างหนึ่ง แต่ว่านั่นก็ไม่สำคัญ…. วันนี้ เผ่าฟีนิกซ์ของเจ้าจะถูกลบออกไปจากโลกใต้พิภพ และจะเหลือเพียงโลหิตที่ชโลมที่แห่งนี้ไว้เป็นอนุสรณ์!”
จี้หยางหัวเราะออกมา พร้อมกับเอื้อมมือออกมาคว้าเข้าที่อากาศที่ว่างเปล่า ทำให้ยามคนหนึ่งถูกบีบอย่างแรง จนร่างกลายเป็นหมอกเลือด กระจายออกรอบๆ
ไป๋สุ่ยหวงกับพวกมองดูด้วยดวงใจที่เจ็บปวด หากว่าสายตาสามารถฆ่าคนได้ ป่านนี้จี้หยางคงถูกเผาจนมอดเป็นเถ้าถ่านไปนานแล้ว!
สงครามได้อุบัติขึ้นแล้ว แต่ว่าอี้เทียนหยุนยังคงอยู่ระหว่างทางที่จะมายังที่นี่ พร้อมกับคิดว่ายิ่งมาเรื่องราวยิ่งไม่เข้าท่าขึ้นทุกที
“แดนศักดิ์สิทธิ์เทียนหมิงยกทัพใหญ่เข้าโจมตีเผ่าฟีนิกซ์เช่นนี้ หรือว่าแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนหมิงจะมีไพ่ที่ร้ายกาจอะไรเก็บไว้ในมือ?” ในใจอี้เทียนหยุนรู้สึกหนักอึ้ง บางทีอาจจะมีความลับที่ยิ่งใหญ่ที่พวกเขายังค้นพบก็เป็นได้!