ตอนที่ 657: ผู้อาวุโสใหญ่นอกเผ่า!
เมื่อทูตศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าฟีนิกซ์มาถึง ก็ทำให้ผู้ฝึกตนทั้งหลายพากันมีแสดงสีหน้าสนใจ พร้อมกับรอคอยการแสดงที่กำลังจะมาถึง ก่อนหน้านี้พวกเขาพากันพูดถึงเผ่าฟีนิกซ์ ตอนนี้ดีเลย ทูตศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าฟีนิกซ์ตัวจริงได้มาถึงแล้ว ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วบทสรุปจะจบลงแบบไหน
คนส่วนใหญ่ต่างก็คิดว่าอี้เทียนหยุนต้องตายแน่ ส่วนแดนศักดิ์สิทธิ์อี้หลงนั้นได้ทำการประจบเผ่าฟีนิกซ์ ดังนั้นแม้เผ่าฟีนิกซ์จะไม่เห็นแก่หน้าอีกฝ่าย แต่อย่างน้อยก็ต้องไม่ระบายความโกรธใส่แดนศักดิ์สิทธิ์อี้หลงอย่างแน่นอน
แต่ว่าอี้เทียนหยุนนั้นต่างออกไป อีกฝ่ายเลือกที่จะบุกเข้าไปอย่างหักโหม เรื่องนี้ง่ายที่จะสร้างความโกรธแค้นให้กับเผ่าฟีนิกซ์
หลังจากปรมาจารย์เทียนชิงเห็นทูตศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าฟีนิกซ์ เขาก็รีบเอามือกุมหน้าวิ่งเข้าไปหา พร้อมกับตะโกนเสียงดังว่า “ท่านทูตแห่งเผ่าฟีนิกซ์ ท่านทูตแห่งเผ่าฟีนิกซ์ ในที่สุดท่านก็มาแล้ว…..”
หลายคนพากันทำสีหน้ารังเกียจเมื่อเห็นท่าทางประจบของอีกฝ่าย ถ้านี่เป็นราชครูของแดนศักดิ์สิทธิ์อี้หลงจริง งั้นการกระทำนี้ก็คงจะเป็นการทำให้แดนศักดิ์สิทธิ์อี้หลงเสียงหน้าอย่างแท้จริง ท่าทางที่วิ่งเข้าไปหานี้ช่างต่ำต้อยจริงๆ ไม่รู้ว่าเอาฐานะราชครูของประเทศไปวางทิ้งไว้ที่ไหน?
ยังไงก็ตาม คนอื่นก็ไม่ได้หัวเราะเยาะเขาออกมาตรงๆ ถึงยังไงปรมาจารย์เทียนชิงผู้นี้ก็เป็นหนึ่งในผู้ที่โดดเด่นในเวลานี้ หากว่าทำสีหน้าจริงจังเข้าใส่แล้วถูกเผ่าฟีนิกซ์กำจัด ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
“แดนศักดิ์สิทธิ์อี้หลงของพวกเราเพิ่งจะมาถึงเพื่อช่วยเผ่าฟีนิกซ์ปกป้องวิหารนี้ ไม่ให้คนอื่นเข้าใกล้ แต่ใครจะรู้ว่าเจ้าเด็กนี่ที่ไม่รู้จักดีชั่วกลับกล้าใช้กำลังบุกเข้าไป ตอนนี้ไม่เพียงแต่ทำร้ายข้าเท่านั้น แต่ยังทำร้ายคนของเราด้วย!” ปรมาจารย์เทียนชิงเชิดหน้าสูง ดูแล้วน่าตลกยิ่ง บนใบหน้าของเขาตอนนี้เผยรอยยิ้มออกมา ดูแล้วช่างน่าหัวเราะ
ทูตศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าฟีนิกซ์นั้นมีมากกว่าหนึ่ง ยิ่งกว่านั้นยังมีหลายคนด้วย ฟีนิกซ์ที่อยู่ข้างหลังอีกฝ่ายเป็นข้อพิสูจน์ที่ดีที่สุด อี้เทียนหยุนไม่ได้อัญเชิญฟีนิกซ์น้ำแข็งออกมา ในสถานการณ์ปกติ เขาไม่คิดจะเรียกมันออกมา เพราะความเร็วของมันนั้นไม่ได้เร็วไปกว่าตัวเขา ดังนั้นเขาจึงไม่ค่อยได้เรียกมันออกมา
ทูตศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าฟีนิกซ์มองไปที่ปรมาจารย์เทียนชิงอย่างเย็นชา จากนั้นยกฝ่ามือตบเข้าที่หน้าอีกฝ่าย “เพี๊ยะ” ส่งปรมาจารย์เทียนชิงปลิวออกไป
หลังจากกระเด็นลงถึงพื้นที่ห่างออกไปแล้ว ก็ยังไม่วายต้องกลิ้งกับพื้นอีกหลายตลบ พร้อมกับตัวคนที่นอนนิ่งกับพื้นด้วยความงงงวย!
ไม่เพียงแต่ปรมาจารย์เทียนชิงเท่านั้นที่งงงวย กระทั่งผู้ฝึกตนอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ ก็งงงวยเช่นกัน! ไม่ใช่ว่าปรมาจารย์เทียนชิงทำถูกแล้วหรอกเหรอ? แต่การประจบนี้ไม่เพียงแต่จะไม่ถูกต้องเท่านั้น แต่กลับถูกขาม้าดีดเข้าให้อีกด้วย?
“ท่านทูตศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าฟีนิกซ์ ข้า ข้าแค่เป็นห่วงว่าวิหารนี้จะถูกผู้อื่นทำลาย ดังนั้นจึงได้พาคนมาป้องกันที่นี่ ไม่ได้ต้องการจะครอบครองจริงๆ……” ปรมาจารย์เทียนชิงรีบลุกขึ้นมาอธิบาย เพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าใจผิด หากเข้าใจผิดแล้วล่ะก็ มันจะต้องเป็นปัญหาอย่างแน่นอน
แดนศักดิ์สิทธิ์อี้หลงจะต้องกำจัดเขาออกไปอย่างไม่ลังเลอย่างแน่นอน ไม่มีทางปกป้องเขาเด็ดขาด
ปรมาจารย์เทียนชิงคิดว่าตัวเองทำผิดอะไรสักอย่าง จึงได้ถูกทูตศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าฟีนิกซ์ตบหน้าให้ จึงได้รีบอธิบายออกมาไม่หยุด
ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น คนอื่นก็คิดแบบเดียวกัน
จากนั้น พวกเขาก็เห็นเพียงทูตศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าฟีนิกซ์ไม่สนใจอีกฝ่าย จากนั้นก็เดินขึ้นไปหาอี้เทียนหยุน จากนั้นก็ประสานมือกุมหมัด พร้อมกับโค้งทักทายว่า “คารวะท่านผู้อาวุโสใหญ่นอกเผ่า”
ท่าทางของเขาเต็มไปด้วยความเคารพ เรื่องที่อี้เทียนหยุนช่วยทั้งเผ่าฟีนิกซ์เอาไว้ได้แพร่กระจายออกไปเรียบร้อย เป็นธรรมดาที่ทุกคนจะรู้ ดังนั้น พวกเขาจึงรู้สึกตื้นตันต่อความช่วยเหลือที่อี้เทียนหยุนมีต่อเรื่องนี้อย่างมาก จึงทำให้เขากลายเป็นผู้กอบกู้ของเผ่าฟีนิกซ์!
ดังนั้น อี้เทียนหยุนจึงได้กลายเป็นผู้อาวุโสใหญ่นอกเผ่าของพวกเขา เมื่อคนของเผ่าฟีนิกซ์เจอเขา ก็ต้องปฏิบัติต่อเขาดังปฏิบัติต่อผู้อาวุโสใหญ่ เพราะว่าเขามีสิทธิ์เทียบเท่ากับผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่า!
“หือ? นี่ข้ากลายเป็นผู้อาวุโสใหญ่นอกเผ่าแล้วอย่างงั้นเหรอ?” อี้เทียนหยุนรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าสนใจ แต่ก็ไม่ผิดคาด เขารู้ว่าที่เผ่าฟีนิกซ์ทำอย่างนี้เพื่อต้องการเอาชนะใจเขา จึงได้ให้การปฏิบัติที่ดีกว่าเดิม
ซึ่งเรื่องนี้ไม่ได้ทำให้เขาคาดไม่ถึงแต่อย่างใด ทั้งยังยอมรับอย่างมั่นใจ ไม่ว่าจะเป็นทูตศักดิ์สิทธิ์หรือผู้อาวุโสใหญ่นอกเผ่า สำหรับเขาแล้วไม่ได้สำคัญอะไร
“ใช่แล้ว หลังจากที่ได้ประชุมกัน ทางเผ่าก็ตัดสินใจให้ท่านเป็นผู้อาวุโสใหญ่นอกเผ่า มีอำนาจเทียบเท่ากับผู้อาวุโสใหญ่ในเผ่าของเรา” ทูตศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าฟีนิกซ์พูดด้วยความเคารพ
เพียงแค่สองคำก็ทำเอาทุกคนพากันสับสน จากนั้นก็ยิ่งสับสนขึ้นไปอีก! ผู้อาวุโสใหญ่ ผู้อาวุโสใหญ่นอกเผ่า!
ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เผ่าฟีนิกซ์มีผู้อาวุโสใหญ่นอกเผ่าอย่างนี้? นี่เป็นครั้งแรกอย่างแน่นอนที่พวกเขาได้ยินเรื่องผู้อาวุโสใหญ่นอกเผ่า ซึ่งมีอำนาจเทียบเท่ากับผู้อาวุโสใหญ่ในเผ่า คำพูดนี้ทำเอาพวกเขาสงสัยว่าพวกตนพากันหูแว่วกันไปหรือเปล่า?
“นี่ข้าเข้าใจผิดอย่างงั้นเหรอ ผู้อาวุโสใหญ่นอกเผ่า เด็กคนนี้คือผู้อาวุโสใหญ่นอกเผ่า……”
“อ๊า! หากเจ้าอยากตายก็อย่าลากข้าไปด้วย แต่เด็กคนนี้…. เขาคือผู้อาวุโสใหญ่จริงๆ!”
“นะ นี่ช่างไม่น่าเชื่อยิ่งนัก หากไม่ใช่ว่าทูตศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าฟีนิกซ์พูดออกมาเอง ข้าคงไม่มีทางเชื่ออย่างแน่นอน…..”
“ต่อให้เป็นทูตศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าฟีนิกซ์พูดออกมาเอง ข้าก็ยังไม่อยากจะเชื่ออยู่ดี! ตอนนี้แดนศักดิ์สิทธิ์อี้หลงจบสิ้นแล้ว พวกเขาถึงกับเป็นฝ่ายหาเรื่องผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่าฟีนิกซ์เองด้วยซ้ำ!”
“ไม่แปลกเลยที่เขาจะบอกว่านี่เป็นอาณาเขตของเขา ที่แท้คำพูดนี้ของเขาก็ไม่ได้โกหก ทั้งยังไม่ใช่คำพูดเหลวไหล แต่ว่าคือความจริง!”
ผู้คนพากันตกใจ ตอนนี้ในที่สุดพวกเขาก็รู้แล้วว่าเรื่องมันเป็นมายังไง ที่แท้อีกฝ่ายก็ไม่ได้คุยโม้ แต่ว่าเป็นเรื่องจริง
ปรมาจารย์เทียนชิงก็ตกใจเช่นกัน พร้อมกับชี้มาที่อี้เทียนหยุนด้วยมือที่สั่นเทา “นะ นี่จะเป็นไปได้ยังไง ก่อนหน้าไม่ใช่ว่าเจ้าเด็กนี่ยังเป็นคนนอกอยู่หรอกเหรอ นี่ นี่…..”
เขาตกใจอย่างถึงที่สุด ทั้งยังรู้สึกเสียใจจนลำไส้บิดเขียว ตัวเขาในตอนนี้ไม่เพียงแต่เตะใส่แผ่นเหล็กเท่านั้น แต่ยังเป็นแผ่นเหล็กที่ทั้งหนาและใหญ่มากด้วย!
“อืม ขอบใจมาก เจ้ากลับไปเถอะ แล้วข้าก็ไม่อยากจะเห็นหน้าเจ้าหมอนั่นอีก เจ้าช่วยข้าจัดการที” อี้เทียนหยุนมองไปยังปรมาจารย์เทียนชิงอย่างไม่แยแส เขาคร้านที่จะต้องจัดการกับคนแบบนี้ด้วยตัวเอง ทั้งค่าประสบการณ์ที่ได้ก็ไม่ได้มากเท่านั้น มีแต่จะทำให้เขาเสียเวลาเท่านั้น
เพราะเจ้าหมอนี่ ทำให้เขาต้องเสียเวลาในการเข้าไปยังแท่นบูชาเทพเติ้งเทียน
“ครับ ผู้อาวุโสอี้!” ทูตศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าฟีนิกซ์หันกลับไปมองปรมาจารย์เทียนชิงด้วยสายตาเย็นชา “ลบหลู่ผู้อาวุโสใหญ่ แดนศักดิ์สิทธิ์อี้หลงของพวกเจ้าช่างใจกล้าจริงๆ!”
“ขะ ข้า ฟังข้าอธิบายก่อน…..” ปรมาจารย์เทียนชิงหวาดกลัวจนอยากจะร้องไห้แต่ไร้น้ำตา ไม่รู้ว่าจะพูดยังไงดี
อี้เทียนหยุนปรายตามองไปที่เขาอย่างเกียจคร้านคราหนึ่ง จากนั้นก็เดินเข้าประตูไป มหาค่ายกลป้องกันที่ยากจะทำลาย เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาก็กลายเป็นไร้ประโยชน์ ปล่อยให้เขาเดินผ่านเข้าไปอย่างง่ายดาย
ฉากนี้ทำเอาผู้คนพากันมองดูด้วยท่าทางโง่งม วิหารนี้เป็นของเขาจริงๆ แม้แต่มหาค่ายกลก็ไม่มีผลกับเขา ช่างบัดซบยิ่งนัก
หลังจากนั้น ที่ด้านนอกก็มีเสียงโหยหวนดังมา ซึ่งเรื่องนี้อี้เทียนหยุนคร้านที่จะสนใจ พร้อมกับเดินเข้าไปด้านในต่อ ภายใต้การเคลื่อนย้าย เขาก็ได้มาถึงศูนย์กลางในพริบตา จากนั้นน้ำเสียงที่คุ้นหูก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง
“เจ้าเลื่อนระดับแล้วเหรอ?” สาวน้อยวิญญาณมายาปรากฏตัวขึ้นมา พร้อมกับมองมาที่อี้เทียนหยุนด้วยความตกใจ
ภายในช่วงเวลาสั้นๆ เขาก็ได้เข้าสู่ระดับราชาวิญญาณแล้ว กระทั่งตัวเธอเองยังไม่แน่ใจในระดับที่แน่นอนของอี้เทียนหยุน แม้จะมีระดับเหมือนกัน แต่เครื่องสวมใส่ของอี้เทียนหยุนมากมายนัก ทำให้เขาสามารถเปิดใช้งานรูปแบบปกปิดได้อย่างแน่นอน หากว่าระดับไม่ได้ต่างกันมากนัก ก็ยากที่จะมองเห็น
“ใช่ ข้าสามารถควบคุมค่ายกลเคลื่อนย้ายของที่นี่ไปยังโลกสวรรค์ได้หรือยัง?” อี้เทียนหยุนพูดด้วยรอยยิ้มเฉยชา
“ย่อมแน่นอนอยู่แล้ว ข้าก็คิดว่าต้องใช้เวลาหลายสิบปี แต่ไม่คิดว่าเจ้าจะกลับมาในเวลาสั้นๆ แบบนี้ นี่เจ้าหาทายาทของนายท่านเจอแล้วเหรอ?” วิญญาณมายาพูดด้วยความตกใจ
“ใช่ ดีที่ไม่มีปัญหา พูดได้ว่าเป็นโชคของข้าน่ะ……”
อี้เทียนหยุนยิ้ม หากไม่ใช่เพราะความใจดีของเขา เขาก็คงจะพลาดจิ่วหลิงจวินไปแล้ว การทำดีบางครั้ง ก็มีประโยชน์กับตัวเองมากเช่นกัน
การช่วยชีวิตคนดีกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น นี่เป็นคำพูดที่จริงแท้แน่นอน