ตอนที่ 662: เชื่อไหมว่าข้าโยนเจ้าออกไปได้
“เจ้าช่วยบอกรายละเอียดให้ข้าฟังหน่อยได้ไหม!”
ในสายตาของอี้เทียนหยุนเป็นประกายด้วยความสุข ไม่คิดเลยว่าจะมาชนเข้าจังๆ ชนเข้ากับข่าวที่ตนต้องการข้าอย่างจังๆ ถ้างั้น เหอหรงคุนก็บังเอิญเจอชิเสวี่ยอวิ๋น แม้ว่าโลกนี้จะมีคนที่ชื่อซ้ำกันอยู่มาก แต่ว่านี่ก็มีความเป็นไปได้มากที่จะเป็นชิเสวี่ยอวิ๋นจริงๆ
“ที่จริงแล้วข้าก็มองไม่ชัดเท่าไหร่นักหรอก เพราะว่าบนเขาลั่วอวี่เต็มไปด้วยหิมะ การที่อีกฝ่ายยืนอยู่บนยอดเขาลูกนั้นได้นานขนาดนี้ ก็หมายความว่าระดับของอีกฝ่ายต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ดังนั้นพวกเราจะเอาความกล้าที่ไหนไปดู และเมื่ออาจารย์รู้เข้า เขาก็รีบลากข้าลงไปอย่างรวดเร็ว” เหอหรงคุนเอามือเกาหัวแล้วพูดออกมา “เรื่องอื่นนอกจากนี้ไม่มีหรอก จะมีก็แต่เสียงตะโกน “เทียนหยุน” นี่แหละที่ข้าแน่ใจ ฟังแล้วก็คล้ายกับชื่อของน้องอี้มาก อีกทั้งหญิงสาวคนนั้นก็งดงามจนโดดเด่น ก็เลยจำได้น่ะ….”
“เขาลั่วอวี่….”
อี้เทียนหยุนตาเป็นประกาย สถานที่นี้เขาได้ยินมาจากพ่อค้าแผงลอยเช่นกัน แต่ว่าเขาไม่คิดว่าชิเสวี่ยอวิ๋นจะอยู่ที่นั่น หากไม่ยินเหอหรงคุนพูด เขาคงจะเผลอผ่านที่นั่นไปโดยที่ไม่แวะตรวจสอบก็เป็นได้
จากนั้น เขาก็หยิบกระดาษออกมา พร้อมกับวาดรูปชิเสวี่ยอวิ๋นลงไปบนนั้นอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะเอาให้เหอหรงคุนดู “ผู้หญิงคนนั้นที่เจ้าเห็น ใช่คนนี้หรือเปล่า?”
“ใช่ ใช่ ใช่! เป็นเธอนี่แหละ น้องอี้ ภาพที่เจ้าวาดนี้สวยมาก มันดูเหมือนมากจริงๆ นี่เจ้าคงไม่ได้รู้จักกับเทพธิดาคนนั้นหรอกนะ?” เหอหรงคุนพูดอย่างอิจฉา
“ใช่ ไม่รู้ว่าเจ้าพอจะบอกได้ไหมว่าเธออยู่ที่ไหน? หรือสำนักอะไร ตราบเท่าที่บอก ข้าจะตอบแทนเจ้าอย่างสาสมเลยทีเดียว!” ในใจอี้เทียนหยุนตื่นเต้นขึ้นหลายส่วน ปกติแล้วอารมณ์ของเขาจะสงบมาก แต่ตอนนี้ได้มีความสุขขึ้นกว่าครึ่งแล้ว
เว่ยเฟยโจวที่อยู่ใกล้ๆ อยากจะพูดอะไร เมื่อเห็นความสามารถในการวาดภาพของอี้เทียนหยุนแล้ว เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายย่อมรู้จักชิเสวี่ยอวิ๋น ทำให้สีหน้าของเขาพลันกลายเป็นตื่นเต้นขึ้นหลายส่วน
เว่ยเฟยโจวไม่ใช่คนโง่ แต่เขก็แค่เป็นคนที่ก้าวอย่างมั่นคงเท่านั้น ไม่ใช่คนที่จะแส่เข้าไปสร้างปัญหามันทุกที่ แม้ว่าตอนนี้ยังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่ก็สามารถเห็นได้หลายอย่างจากสิ่งนี้
เรื่องที่บอกว่าไม่ได้มาจากสำนักหรือตระกูลอะไรนั่น คงจะสร้างขึ้นมาเองมากกว่า
“เรื่องนี้ข้าก็ไม่แน่ชัดนัก ข้าเห็นเพียงแต่ว่าพวกเธอดูคล้ายเทพธิดา ส่วนจะเป็นสำนักไหนนั้น ข้าไม่รู้หรอก….” เหอหรงคุนพูดอย่างละอาย
“ตัดสินจากชุดที่พวกเธอใส่ นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ข้าเคยเห็นเหมือนกัน ข้าไม่กล้าบอกว่าตัวเองเคยเห็นมาหลายสิ่ง แต่อย่างน้อยชุดของขุมอำนาจส่วนใหญ่ข้าล้วนเคยเห็น แต่ชุดของพวกเธอนั้นดูพิเศษไม่ธรรมดา ทั้งยังเป็นครั้งแรกที่ข้าเคยเห็นอีกด้วย มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นตระกูลลับ และสิ่งที่โดดเด่นที่สุดบนชุดของพวกเธอนั้น คือตรารูปดอกเหมยที่ดูค่อนข้างสะอาดตา…..”
“จากความคิดของข้า จะต้องไม่ใช่ตระกูลลับที่อ่อนแออย่างแน่นอน อย่างน้อยก็ต้องเป็นตระกูลลับที่เทียบเท่ากับระดับอาณาจักร การที่มีพลังขนาดนั้นแต่ยังเลือกที่จะเป็นตระกูลลับต่อไปอย่างนี้ ข้าไม่เคยพบเคยเจอมาก่อน”
เว่ยเฟยโจวบอกความคิดของตนออกมา เขาก็เหมือนศิษย์ของเขา ไม่กล้าจับจ้องใบหน้าของพวกเธอตรงๆ เพียงแต่คอยสังเกตรายละเอียดของพวกเธอ จากนั้นก็ค่อยตัดสินออกมา
มันคงไม่ดีหากไปตอแยพวกเธอเข้า ดังนั้นเขาจึงรีบลากศิษย์ของตนจากมา ไม่แม้แต่จะมอง หากว่าอีกฝ่ายโหดเหี้ยม การมองแค่ไม่กี่ครั้งก็สามารถถูกอีกฝ่ายจัดการกลบฝังเจ้าได้แล้ว
สายตาอี้เทียนหยุนกรอกไปมา อดไม่ได้ต้องมองเว่ยเฟยโจวสูงขึ้นอีกส่วนหนึ่ง ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นอาจารย์ที่ดีจริงๆ มันไม่ใช่ว่าเขาเป็นคนเลือดเย็น เพียงแต่สถานการณ์ต่างๆ ทำให้เขาไม่กล้าทำอะไรตามใจ ซึ่งง่ายที่จะสร้างปัญหาให้ตัวเอง
“ตระกูลลับอย่างงั้นเหรอ…..”
เขาเคยคิดถึงตระกูลลับมาก่อน แต่ในเมื่อเป็นตระกูลลับ งั้นก็คงมีคนน้อยมากที่จะรู้ ในเมื่อเรื่องเป็นแบบนี้ งั้นขุมอำนาจ 7-8 แห่งที่เขาคิดไว้ก่อนหน้านี้ ก็ถูกตีตกไปทันที แบบนี้ก็ช่วยประหยัดแรงให้กับเขาไปได้มาก
ยังไงก็ตาม เขาก็ได้ข้อมูลชิ้นใหญ่มา นั่นก็คือรูปดอกเหมย นี่ถือเป็นสัญลักษณ์ชิ้นใหญ่ หากไปสอบถามกับขุมอำนาจที่ใหญ่หน่อย ก็เป็นไปได้ว่าจะได้รู้ว่าเป็นของตระกูลไหน
เว่ยเฟยโจวมาจากขุมอำนาจเล็ก การที่ไม่รู้ก็เป็นเรื่องปกติ สำหรับตระกูลลับบางแห่ง ต้องเป็นขุมอำนาจใหญ่เท่านั้นถึงจะพอเคยได้ยิน หากไปถามคนทั่วไป พวกเขาคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตระกูลลับคืออะไร
“การทดสอบจะเริ่มแล้ว หรงคุนเร็วเข้า!” เว่ยเฟยโจวรีบบอกให้ศิษย์ของตนรีบไป ตอนนี้ประตูได้ค่อยๆ เปิดออก คำที่บอกให้รีบเข้าไปนั้น ก็เพื่อที่จะแย่งตำแหน่งดีๆ มาเป็นของตน
ยิ่งเป็นในสถานการณ์ที่ผู้ฝึกตนมีเป็นจำนวนมากด้วยแล้ว ยิ่งต้องรีบหาตำแหน่งดีๆ ให้ได้
เหอหรงคุนพยักหน้า พร้อมกับรีบเข้าไปข้างในอย่างรวดเร็ว แต่ในขณะที่กำลังจะไปนั้น ยังไม่วายที่หันมาพูดกับอี้เทียนหยุนว่า “น้องอี้ เจ้าจะไม่เข้าไปด้วยกันจริงๆ เหรอ? นี่เป็นโอกาสที่ไม่สามารถปล่อยให้เสียเปล่าไปได้นะ!”
“ไม่ล่ะ ข้าบอกแล้วว่าจะมอบโชคชะตาดีๆ ให้กับเจ้า ที่ข้ามานี่ไม่ได้มาเพื่อทดสอบ แต่มาเพื่อมอบโชคชะตาให้กับเจ้า” อี้เทียนหยุนเผยรอยยิ้มคลุมเครือ การเก็บเกี่ยวนี้ดีมาก เทียบกับข้อมูลที่ได้จากพ่อค้าแผงลอยแล้วดีกว่ามาก
เพราะว่านี่เป็นข่าวที่มีความแม่นยำมาก ดังนั้นเขาจึงจะช่วยดูแลเขานิดหน่อย
เมื่อได้รับความเมตตาก็จำต้องตอบแทน นี่คือตัวเขา
“มอบโชคชะตาให้ข้า?” เหอหรงคุนโบกมือ พูดอย่างช่วยไม่ได้ว่า “ในเมื่อเจ้าไม่ไป งั้นข้าไปก่อนล่ะ……”
พูดจบ เขาก็รีบเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว แต่เพราะว่าคนมากเกินไป จึงทำให้ยากที่จะฝ่าเข้าไป หลังจากนั้นสักพัก เขาก็สัมผัสได้ว่าด้านข้างของตนมีพลังกระจายออกมารอบๆ พร้อมกับเปิดทางให้กับเขา ทำให้เขาผ่านเข้าไปได้อย่างง่ายดาย
แม้ว่าในใจจะรู้สึกสงสัย แต่เขาก็ไม่อยากพลาดตำแหน่งดีๆ ไป ดังนั้นจึงได้รีบเข้าไป
เว่ยเฟยโจวเห็นลูกศิษย์ของตนผ่านไปได้ง่ายๆ ก็เกิดความรู้สึกสงสัย คนมากมายขนาดนั้น หากว่าสามารถฝ่าเข้าไปด้านในได้ช้าๆ ก็ถือว่าดีแล้ว แต่นี่กลับสามารถเข้าไปอย่างสบาย?
“พวกเราไปดูกัน” อี้เทียนหยุนพูดอย่างไม่ใส่ใจ “ไปดูกันว่าศักยภาพศิษย์ของท่านเป็นยังไง ไม่รู้ว่าเขาจะปีนขึ้นไปได้สูงแค่ไหน”
พูดเสร็จก็เอามือไขว้หลังเดินเข้าไป เว่ยเฟยโจวอ้าปากค้าง จากนั้นก็ตามเข้าไป แต่ในขณะที่กำลังจะพูดอะไรนั้น ก็รู้สึกว่าคนที่อยู่รอบๆ ตัวเขาถูกผลักออกไปด้วยพลังที่มองไม่เห็น แต่ว่าพลังนั้นกลับไม่ถูกตัวเขาเลยแม้แต่ชายเสื้อ
“นี่…..”
เว่ยเฟยโจวตกใจ แม้ว่าเขาจะทำอย่างนี้ได้ แต่ไม่มีทางทำได้อย่างราบรื่นขนาดนี้อย่างแน่นอน นี่หมายความว่าระดับของเด็กหนุ่มคนนี้แข็งแกร่งกว่าเขา หรือไม่ก็ต้องควบคุมพลังได้อย่างน่าทึ่งมากแน่ๆ!
อย่างรวดเร็ว อี้เทียนหยุนก็นำเขามาถึงด้านใน แม้พวกเขาจะไม่ได้เข้าทดสอบ แต่ก็ยังสามารถมองดูอยู่ใกล้ๆ ได้ และคนที่เขามาด้านในนี้ก็มีนับไม่ถ้วน กะได้ราวๆ พันคน
และเมื่อพวกเขามาถึง ก็ได้ยินเสียงทะเลาะกันดังมา
“เจ้าหนู นี่คือที่ของข้า หากรู้ขีดจำกัดของตนล่ะก็ หลีกทางไป!” เด็กหนุ่มรูปหล่อคนหนึ่งสบถด่าเหอหรงคุน
“นี่คือที่ของข้า…. ข้ามาถึงก่อน” เหอหรงคุนพูด เพราะได้อี้เทียนหยุนช่วย จึงทำให้เขาสามารถเลือกตำแหน่งที่ดีได้ก่อน
แม้ว่าพื้นที่จะกว้าง แต่คนส่วนใหญ่ต่างก็พากันเลือกตำแหน่งตรงกลาง ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เหมาะกับการปีนอย่างไม่ต้องสงสัย ตำแหน่งนี้จึงเป็นที่นิยมของผู้เข้ารับการทดสอบ
“เจ้าไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เชื่อไหมว่าข้าโยนเจ้าออกไปได้!” เด็กหนุ่มคนนั้นพูดอย่างเย็นชา
พูดจบ เขาก็ปลดปล่อยพลังระดับผันแปรวิญญาณขั้นที่ 2 ออกมา พร้อมกับมองไปที่เหอหรงคุนอย่างเย็นชา ต้องการทำให้เขากลัวจนต้องถอยออกไป
“แต่ข้า ข้า….” ขณะที่เหอหรงคุนอยากจะพูดอะไรอยู่นั้น หูของเขาก็พลันได้ยินน้ำเสียงที่ไม่แยแสของอี้เทียนหยุนลอยมา
“หากเจ้ายังทะเลาะกันอีก เชื่อไหมว่าข้าโยนเจ้าออกไปได้?” อี้เทียนหยุนเดินมาอย่างเกียจคร้าน ในเมื่อบอกว่าจะมอบโชคชะตาที่ดีๆ ให้กับเขา ก็ต้องรับประกันให้ถึงท้ายที่สุด