ตอนที่ 663: คุกเข่า!
“นี่คือเหล่านายน้อยของขุมอำนาจชั้น 3(วัง)…..” เว่ยเฟยโจวรีบพูดอย่างรวดเร็ว “ยิ่งกว่านั้นยังไม่ใช่ขุมอำนาจชั้น 3 ทั่วไป แต่เป็นขุมอำนาจที่ใกล้เคียงกับระดับอาณาจักร มีพลังที่แข็งแกร่งอย่างถึงที่สุด อย่าไปหาเรื่องเขาง่ายๆ เด็ดขาด…..”
“เจ้าเด็กนี่เป็นใคร?” ตัวเจียเต๋อมองมาที่เขาอย่างเย็นชา แล้วพูดขึ้นว่า”กล้าพูดกับข้าอย่างนี้ รู้ไหมว่าข้าเป็นใคร?”
“แค่ขยะขุมอำนาจชั้น 3 ยังกล้ามาอวดดีต่อหน้าข้า!” อี้เทียนหยุนพูดอย่างไม่ใส่ใจ “ข้าจะให้โอกาสเจ้า ไสหัวไปที่อื่นซะ เขาคือคนของข้า หากบอกแล้วไม่ไปจนข้าต้องลงมือแล้วล่ะก็ เมื่อถึงตอนนั้น ต่อให้บิดาของเจ้ามาคุกเข่าต่อหน้าข้า ฝ่ามือของข้าก็ยังจะตบลงบนหัวของมันอยู่ดี”
เว่ยเฟยโจวที่อยู่ใกล้ๆ หน้าซีดในทันที ในใจรู้สึกเสียใจอย่างอธิบายไม่ถูก ไม่คิดว่าสหายคนนี้จะเป็นนายท่านผู้โหดเหี้ยม! คิดจะโหดเหี้ยม อย่างน้อยก็ดูก่อนว่ารอบข้างอีกฝ่ายมีองครักษ์มาด้วยหรือเปล่า แม้จะองครักษ์ของอีกฝ่ายจะดูธรรมดา แต่หากเทียบกับเขาแล้ว ระดับของอีกฝ่ายยังแข็งแกร่งกว่ามาก แล้วอย่างนี้จะให้สู้ยังไง?
“ไอ้หยา ช่างดุดันจริงๆ ฟังจากน้ำเสียงของเจ้า คงจะสามารถทำลายอาณาจักรได้เลยสินะ!” ตัวเจียเต๋อสายตาเย็นชา ขณะที่มีจิตสังหารพวยพุ่งออกมาหลายส่วน
“ใช่ ข้าทำลายอาณาจักรได้” อี้เทียนหยุนพูดอย่างไม่ใส่ใจ “อย่าว่าแต่อาณาจักรเลย ต่อให้เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ข้าก็ทำลายได้”
“อุ๊ปส์……”
ผู้ฝึกตนที่อยู่ใกล้ๆ พากันหลุดหัวเราะออกมาในทันที การคุยโม้มากเกินไป ไม่เพียงแต่จะไม่มีคนเชื่อเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นเรื่องตลกอีก เว่ยเฟยโจวที่ได้ฟังก็อยากจะร้องไห้ นี่มันจะโอ้อวดเกินไปหรือเปล่า?
ใกล้ๆ มีขุมอำนาจที่ร้ายกาจอยู่มากมาย หากยอมแลกตำแหน่ง แม้ว่าจะดูน่าสงสาร แต่ก็สามารถยอมรับได้
“เจ้าเด็กที่อวดดีแบบนี้ข้าเคยเห็นมาก่อน บอกว่าตัวเองสามารถทำลายแดนศักดิ์สิทธิ์ได้? หากว่าเขาทำลายแดนศักดิ์สิทธิ์ได้ บิดาก็เป็นราชาศักดิ์สิทธิ์แล้ว!”
“ฮ่าๆ โลกนี้มีคนใหญ่คนโตตั้งเท่าไหร่? การที่เจ้าเด็กนี่อวดดีอย่างนี้ คงไม่รู้สินะว่าความตายกำลังถามหาน่ะ!”
“นี่คือนายน้อยเจียเต๋อ เป็นลูกชายคนโตของตระกูลตัว ฐานะไม่ต่ำเลย อีกทั้งองครักษ์ที่มาด้วยสองคนนี้ก็เป็นถึงระดับผันแปรวิญญาณ แค่นี้ก็สามารถจัดการคนส่วนใหญ่ได้แล้ว”(ตอนก่อนน่าจะแปลผิดนะครับ ที่บอกว่าตัวเจียเต๋อปล่อยพลังระดับผันแปรวิญญาณขั้นที่ 2 นั้น น่าจะเป็นองครักษ์สองคนที่ปล่อยออกมาแทน)
ผู้ฝึกตนที่อยู่ใกล้ๆ ยิ้มออกมา สีหน้าเหมือนกำลังสนุกต่อคราวเคราะห์ของคนอื่น คิดว่ายังไงอี้เทียนหยุนก็ต้องตายแน่
“ใช่ เป็นแบบนั้นจริงๆ….. ทำลายแขนและขาของมัน แล้วโยนมันออกไปให้ข้า! ถึงกับต้องการให้บิดาของข้าคุกเข่าต่อหน้าเจ้า แต่ตอนนี้เจ้าต้องคุกเข่าต่อหน้าข้าซะก่อน!” ตัวเจียเจ๋อเก็บรอยยิ้มบนใบหน้า พร้อมกับเผยใบหน้าที่เย็นชาถึงขีดสุด พร้อมกับบอกให้องครักษ์ของตนเข้ามาทำลายแขนและขาของอี้เทียนหยุน
“ครับ นายน้อย!”
ผู้เชี่ยวชาญระดับผันแปรวิญญาณทั้งสองพากันแสยะยิ้มพร้อมกับล้อมเข้าไป เตรียมที่จะทำลายแขนและขาของอี้เทียนหยุน
หลังจากเว่ยเฟยโจวได้เห็น เขาก็ทำใจกล้า พร้อมกับเข้าไปขอโทษอีกฝ่าย “เรียนนายน้อยที่เคารพ พวกเราต้องขอโทษจริงๆ นี่เป็นพวกเราพูดเหลวไหล ขอนายท่านอย่าได้เอาเรื่องคนทั่วไปอย่างพวกเราเลย พวกเราจะพาคนออกไปเอง ตำแหน่งนี้ยกให้กับท่านเถอะ……”
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะเป็นอาจารย์ของพวกมันสินะ?” ตัวเจียเจ๋อมองเขาอย่างเย็นชา แล้วพูดขึ้นว่า “เจ้าคิดว่าขอโทษตอนนี้ยังใช้ได้อย่างงั้นเหรอ? หักแขนหักขาพวกมันแล้วโยนพวกมันออกไปซะ!”
ผู้เชี่ยวชาญระดับผันแปรวิญญาณทั้งสองพากันลงมือ กระโจนเข้าใส่อี้เทียนหยุน เว่ยเฟยโจวตะโกนเสียงดัง พร้อมกับระเบิดพลังออกมา “เจ้ารีบไปซะ!”
เขาทำได้เพียงต้องลงมือเท่านั้น ไม่อย่างนั้น พวกเขาจะต้องหักแขนหักขาและเตะก้นอี้เทียนหยุนออกไปอย่างแน่นอน แค่คิดก็รู้สึกสงสารแล้ว เพิ่งจะรู้จักกัน แล้วจะปล่อยให้เขาถูกทารุณกรรมได้ยังไง?
“คุกเข่า!”
เพียงอี้เทียนหยุนกวาดตามอง ผู้เชี่ยวชาญทั้งสองที่กระโจนเข้ามาก็ “ตุบ” คุกเข่าลงต่อหน้าเขา เพราะมีแรงกดดันที่น่าสะพรึงกดทับลงมาจากอากาศ ทำให้พวกเขาต้องทรุดตัวลงกับพื้นจนเข่าแทบแตก
พื้นที่นี่ว่าแข็งแล้ว แต่เมื่อต้องเจอกับเข่าที่ถูกบังคับให้ต้องทรุดลงไปก็ต้องมีรอยร้าว ในตอนนี้ที่แย่ที่สุดไม่ใช่พื้น แต่เป็นเข่าของพวกเขาที่แตกเป็นชิ้นๆ
และไม่เพียงแต่องครักษ์ทั้งสองเท่านั้นที่คุกเข่าลง แม้แต่ตัวเจียเต๋อเองก็ต้องคุกเข่าลงเช่นกัน ด้วยน้ำหนักกดที่หนักมากกว่า 1 ล้านจิน หรือกระทั่ง 10 ล้านจิน การที่ไม่สามารถบดขยี้เข่าพวกเขาได้ คงเป็นเรื่องยาก
“อ๊ากกกก…..” ด้วยความเจ็บปวด ทำให้ตัวเจียเต๋อร้องโหยหวนออกมา เข่าของเขาแหลกเป็นผงอย่างนี้ จะไม่ให้เขาร้องออกมาได้เหรอ
กระทั่งองครักษ์ทั้งสองเองก็ร่างชุ่มไปด้วยเหงื่อในทันที พร้อมกับมีเหงื่อเย็นๆ หยดลงมา กระทั่งสีหน้ายังซีดลงมาก
“จะ เจ้ารู้ไหมว่าข้าเป็นใคร ข้า ข้ามาจากวังตัวหลงนะ…..”
“แกรก!”
ตัวเจียเต๋อทั้งร่างแนบลงกับพื้น คราวนี้ไม่ใช่แค่เข่าเท่านั้น แต่เป็นกระดูกทั่วร่างที่แตกหัก กลายเป็นคนพิการในทันที ยังไงก็ตาม หากว่าได้รับโอสถชั้นดีมารักษาแล้วล่ะก็ ก็สามารถกลับมาปกติได้อย่างง่ายดาย
การทำลายกระดูกเป็นชิ้นๆ นี้ อย่างดีก็แค่ต้องนอนอยู่บนเตียงหลายเดือนหน่อยเท่านั้น แต่หลายเดือนที่ไม่สามารถขยับได้ แค่คิดก็รู้สึกขนลุกแล้ว
และไม่ใช่แค่ตัวเจียเต๋อคนเดียวเท่านั้น กระทั่งองครักษ์อีกสองคนก็ถูกกดลงไปนอนกับพื้นเช่นกัน ราวกับเป็นการสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างไงอย่างงั้น
เมื่อกระดูกทั่วร่างแตกหัก ต่อให้เป็นผู้เชี่ยวชาญระดับผันแปรวิญญาณขั้นไหน ก็จำต้องก้มหน้าลง!
หลังจากคนรอบๆ เห็นฉากนี้ ก็พากันตกใจ นี่คือผู้เชี่ยวชาญระดับแปรวิญญาณถึงสองคนเชียวนะ บอกว่าคุกเข่าเป็นคุกเข่า ราวกับมีเวทมนต์อยู่ในน้ำเสียงนั้น ทำให้พวกเขายอมคุกเข่าลงแต่โดยดี แต่ใครจะคิดว่าอี้เทียนหยุนใช้แรงกดดันอันมหาศาลกดทับลงที่พวกเขา ทำให้พวกเขาคุกเข่าลง ไม่ได้ใช้มนต์เสน่ห์แต่อย่างใด
เว่ยเฟยโจวตกใจ นี่มันพลังอะไรกัน ทำไมถึงทำได้ถึงขนาดนี้?
“มัวมองอะไรอยู่ คนอื่นเริ่มไปแล้ว เจ้ายังไม่ไปอีก?” อี้เทียนหยุนมองไปที่เหอหรงคุนที่ยังมองมาทางนี้ด้วยท่าทางเหม่อๆ อยู่ พร้อมกับบอกให้เขารีบขึ้นบันไดไป
“อะ อืม….” เหอหรงคุนตอบสนอง พร้อมกับเริ่มปีนบันไปขึ้นไปยังขั้นแรก
อี้เทียนหยุนโบกมือเบาๆ จากนั้นก็ได้มีโต๊ะสุราปรากฏออกมา พร้อมกับผายมือแล้วพูดขึ้นว่า “ท่านนั่งลงก่อน การทดสอบนี้ต้องใช้เวลาสักพัก พวกเรามานั่งดูกัน”
ในสถานที่ที่มีผู้คนมากขนาดนี้ การที่เรียกโต๊ะสุราออกมานั่งดื่มอย่างนี้ ช่างเป็นคนที่ดูเกียจคร้านและมีเสน่ห์จริงๆ ขณะที่ด้านข้างมีพวกตัวเจียเต๋อคุกเข่าอยู่ นี่ยิ่งทำให้เขาดูโดดเด่นขึ้นไปอีก หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นคงไม่กล้านั่งดื่มสุราอย่างใจเย็นอย่างนี้หรอก คงจะพากันวิ่งหนีไปนานแล้ว
“ได้!” เว่ยเฟยโจวนั่งลงอย่างใจเย็น และรู้ว่าตัวเองควรจะรินเหล้าให้กับอี้เทียนหยุน แค่ดูจากพลังก็รู้แล้วว่าอี้เทียนหยุนนั้นแข็งแกร่งกว่าตัวเขา ทั้งยังแข็งแกร่งกว่ามากด้วย อย่างน้อยๆ ก็ต้องเป็นระดับวิญญาณเที่ยงแท้ขึ้นไป
หากไม่มีพลังระดับนั้น แล้วจะสามารถกดทับผู้เชี่ยวชาญระดับผันแปรวิญญาณลงกับพื้นได้ยังไง? ยังเด็กแต่ก็มีพลังน่าทึ่งขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่คนที่ไร้สำนักและตระกูล อีกทั้งยังต้องมาจากขุมอำนาจที่ยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน!
หลังจากนั้น อี้เทียนหยุนก็ทำการจิบสุราอย่างช้าๆ พร้อมกับมองเหอหรงคุนไต่บันไดขึ้นไปทีละน้อย อย่างระมัดระวัง ขณะที่ส่งสัมผัสวิญญาณเข้าไปในบันไดนั้น
แน่นอนว่าการปีนนี้ไม่ได้รับวิชายุทธ์อะไร เหมือนกับที่โลกใต้พิภพ แต่การที่สามารถเพิ่มพลังฝึกตนให้กับเขาได้ แค่นี้ก็พอแล้ว หากต้องการวิชายุทธ์ล่ะก็ จำเป็นต้องปีนขึ้นไปให้ถึงยอดเสียก่อน ไม่อย่างนั้นก็จะไม่ได้วิชายุทธ์กลับมา
อี้เทียนหยุนมองไปที่เว่ยเฟยโจวพร้อมกับเผยรอยยิ้มคลุมเครือออกมา พูดได้ว่าเว่ยเฟยโจวผู้นี้เป็นผู้ที่รู้จักประมาณตนจริงๆ อีกทั้งยังไม่ใช่คนที่หนีปัญหา แต่กลับมาขวางอยู่หน้าพวกเขา สำหรับจิตใจนี้ แสดงให้เห็นว่าเว่ยเฟยโจวเป็นคนที่มีความรับผิดชอบอย่างมาก!
นี่ทำให้เขารู้สึกชื่นชมเล็กน้อย และมองเขาสูงขึ้นไปอีก ไม่เหมือนคนอื่นๆ ที่สายตาแคบสั้น รู้ว่าสิ่งไหนควรทำ สิ่งไหนไม่ควรทำ