ตอนที่ 667: ข้าเป็นผู้สืบทอด
เมื่ออี้เทียนหยุนเปิดทางเข้าไปเป็นคนแรก ผู้คนก็พากันตกใจ ในเมื่อไม่เคยมีใครเคยเข้าไปได้มาก่อน ดังนั้นหลายคนจึงไม่รู้ว่าข้างในนั้นเป็นยังไง มีเพียงแค่ผู้เข้าทดสอบเท่านั้นที่จะขึ้นไปได้ และผู้เข้าทดสอบที่ขึ้นไปได้ก็มีมากสุดแค่ 30 คนเท่นั้น ดังนั้นหากอยากจะรู้ ก็มีแต่รู้ผ่านปากผู้เข้าทดสอบที่ผ่านด่านไปเท่านั้น
มาตอนนี้เขากลับเดินเข้าไปได้จริงๆ นี่จึงทำให้พวกเขาตกใจ ก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะฝืนเข้าไปยังไงก็ถูกดีดกระเด็นกลับมา ไม่ว่าทำยังไงก็เข้าไปไม่ได้ แต่ตอนนี้อี้เทียนหยุนกลับเดินเข้าไปได้ง่ายๆ ทันใดนั้นก็ทำให้พวกเขาพากันตกใจจนนิ่งไป
เว่ยเฟยโจวตกใจ แต่ก็คืนสติอย่างรวดเร็ว พร้อมกับตามเข้าไป แล้วก็พบว่าตนเข้ามาได้โดยไม่เป็นอะไร!
“พวกเจ้าพากันยืนนิ่งทำอะไร ไม่อยากขึ้นไปเหรอ หากว่ามันปิดลงแล้ว ต่อให้พวกเจ้าอยากขึ้นมาก็ไม่มีโอกาสแล้ว” อี้เทียนหยุนพูดอย่างไม่ใส่ใจ
“ไป พวกเราจะขึ้นไปดูด้วย!”
ผู้คนราวกับกลายเป็นบ้าคลั่งก็ไม่ปาน แย่งกันขึ้นบันไดอุตลุด แต่ใครจะรู้ เพิ่งจะวิ่งขึ้นไป ก็พลันถูกม่านแสงสีเขียวดีดกระเด็นกลับมา มีบางคนที่ตั้งหลักได้ แต่ก็มีบางคนที่ถูกดีดกระเด็นไปไกลจนแทบกระอักเลือดออกมา
แต่ก็มีบางคนที่ขึ้นไปได้จริงๆ และก็ขึ้นไปได้อย่างง่ายดายเช่นเดียวกับเว่ยเฟยโจว
หลังจากนั้นก็มีหลายคนพยายามขึ้นไปอีกครั้ง แต่ก็ไม่มีความหมาย ในตอนนี้พวกเขาก็พากันพบว่า ผู้ที่สามารถขึ้นไปกับอี้เทียนหยุนได้นั้น ก็คือคนที่ก่อนหน้านี้เข้าไปสานสัมพันธ์กับเขานั่นเอง
แดนศักดิ์สิทธิ์บางแห่งรังเกียจที่จะเข้าไปสานสัมพันธ์กับเขา หรือไม่ก็ไม่กล้าเข้าไปผูกสัมพันธ์ด้วย แต่ไม่ว่าจะแบบไหน พวกเขาก็ทำได้เพียงมองดูอี้เทียนหยุนนำกลุ่มคนขึ้นไปอย่างหมดหนทาง สำหรับก่อนหน้านี้ พวกเขาก็แค่รู้สึกชื่นชมเท่านั้น
แต่ต่อให้จะมีความชื่นชมยังไง พวกเขาก็ถือตัวว่าตัวเองเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ แม้จะไม่ใช่แดนศักดิ์สิทธิ์ที่ร้ายกาจมาก แต่ก็ไม่ยอมลดตัวลงไปสานสัมพันธ์ จำเป็นต้องไว้ตัวบ้าง ตัวอย่างเช่น สิบอันดับแรก หรือ ห้าอันดับแรก พวกเขาจึงไม่ยอมลดตัวลงไปสานสัมพันธ์ก่อน
แม้ว่าพลังของอี้เทียนหยุนจะแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่เพียงพอที่พวกเขาจะลดตนลงไป
“นี่มันอะไรกัน เขามีความสัมพันธ์กับวิหารเทพเติ้งเทียนอย่างงั้นเหรอ….. หรือว่าจะเป็นทายาทของราชาศักดิ์สิทธิ์?” ในสมองพวกเขาพลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้น กลัวว่าคงมีเพียงสิ่งนี้เท่านั้น ไม่อย่างนั้นใครมันจะขึ้นไปได้?
แต่กว่าที่พวกเขาจะรู้ตัว ทุกอย่างก็ได้สายเกินไปแล้ว อี้เทียนหยุนได้พาคนขึ้นไปสังเกตการณ์สถานการณ์ด้านในแล้ว แต่พวกเขากลับไปไม่ได้ ทำได้เพียงยืนรอโง่ๆ อยู่ตรงนี้!
ในตอนนี้พวกเขาพากันรู้สึกเสียใจยิ่ง หากว่าเป็นทายาทของราชาศักดิ์สิทธิ์จริง งั้นก็ต้องมีคุณสมบัติที่ยิ่งใหญ่ จะต้องได้สืบทอดหลายสิ่งมาอย่างแน่นอน แล้วอย่างนี้ไม่ให้พวกเขาสนใจได้เหรอ?
“จบแล้ว หากพวกนายท่านรู้เรื่องนี้เข้า ข้าจะต้องตายอย่างแน่นอน!”
“เป็นไปได้เหรอ ที่เด็กคนนั้นจะเป็นทายาทของราชาศักดิ์สิทธิ์?”
“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ หากไม่ใช่ แล้วทำไมเขาถึงสามารถควบคุมค่ายกลป้องกันได้ตามใจกันล่ะ?”
ในใจพวกเขารู้สึกเสียใจจนลำไส้บิดเขียว หากก่อนหน้านี้พวกเขายอมลดตัวลงไปหน่อย ก็คงไม่ถูกห้ามให้ขึ้นจนต้องรออยู่ตรงนี้อย่างนี้ แต่เรื่องขึ้นไปได้หรือไม่นั้นไม่สำคัญ ที่สำคัญคือสามารถเป็นสหายกับทายาทของราชาศักดิ์สิทธิ์ต่างหาก นี่จึงจะเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด!
ใครบ้างจะไม่น้ำลายไหลเมื่อเห็นแท่นบูชาเทพเทียนหมิงนี้ น้ำลายไหลต่อมรดก แต่ว่าก็ไม่มีโอกาส มาตอนนี้กลับมีโอกาสก็พลาดไป แล้วใครจะไม่เสียใจ?
แต่แม้จะเป็นอย่างนี้ ก็มีหลายคนที่ในใจมีความคิดชั่วร้ายอยู่….. แต่เมื่อนึกถึงตอนที่อี้เทียนหยุนทำการสยบผู้เชี่ยวชาญระดับราชาวิญญาณหลายคนเมื่อก่อนหน้าอย่างง่ายดาย ก็อดรู้สึกขนลุกขึ้นมาไม่ได้ ทำให้มีหลายขุมอำนาจต่างก็ยอมเก็บความคิดนี้กลับคืนไป
สิ่งสำคัญคือในฐานะทายาทของราชาศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีอะไรรับประกันว่าอีกฝ่ายจะไม่มีพลังอื่น
“ที่เขาสามารถทำให้ผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายคุกเข่าลงเมื่อกี้นี้ หรือจะเป็นเพราะว่าที่นี่เป็นอาณาเขตของเขา?”
“เป็นไปได้! เพราะที่นี่ถูกเขาควบคุม ดังนั้นจึงสามารถใช้พลังของที่นี่เข้าสะกดทุกสิ่งได้ หากว่าเป็นข้างนอก กลัวว่าคงไม่ถึงคราวของเขา”
“หากว่าข่าวนี้แพร่ออกไป กลัวว่าอีกฝ่ายคงกลายเป็นแกะอ้วน ยากที่จะรับประกันว่าจะไม่มีขุมอำนาจบางแห่งแอบลงมือลับหลังกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ…..”
หลายคนนึกไปถึงแรงกดดันก่อนหน้านี้ คิดว่ามีส่วนที่มาจากแท่นบูชาเทพเติ้งเทียนอย่างมาก อี้เทียนหยุนเด็กขนาดนั้น เป็นไปได้ยังไงที่จะมีพลังที่ท้าทายสวรรค์ขนาดนั้น เป็นไปได้เหรอที่เขาจะทำอย่างนั้นได้โดยไม่พึ่งพลังจากภายนอก?
ทันใดนั้น ก็มีบางคนแสดงสีหน้าดูถูกออกมา
สิ่งที่พวกเขาคุยกันที่นี่ เมื่ออี้เทียนหยุนได้ยินก็พลันเผยรอยยิ้มบางๆ ออกมา ไม่คิดเลยว่าจะมีบางคนคิดแผนการร้ายกับเขา? ยังไงก็ตาม เขาก็รู้สึกดีใจ เขาแค่ต้องการเปิดเผยฐานะเพื่อที่จะได้ทำอะไรต่างๆ ได้ง่ายขึ้น แต่ใครจะรู้ว่าจะมีบางคนมีแผนการร้ายกับเขา
ยังไงก็ตาม เขาก็ไม่รังเกียจที่ต้องทำลายขุมอำนาจใหญ่ ภายใต้พลังที่เป็นที่สุดของเขา เขาจะได้ฉวยโอกาสสะสมค่าความคลั่งและค่าประสบการณ์ไปในตัวด้วยเลย
หากว่าเขาเดินดุ่มๆ เข้าไปจัดการอีกฝ่าย ไม่เพียงแต่จะไม่ได้อะไรเท่านั้น ยังจะถูกหักค่าประสบการณ์และค่าอื่นๆ อีก เอาจริงๆ แล้ว เขาไม่สามารถฆ่าคนได้ตามใจ
เหล่าตัวแทนทั้งหลายที่ตามหลังอี้เทียนหยุนมาก็ตกใจจนพากันพูดอะไรไม่ออก ในหัวพวกเขาก็พากันคิดถึงเรื่องนี้เช่นกัน เดาว่าอี้เทียนหยุนน่าจะเป็นทายาทของราชาศักดิ์สิทธิ์ช่วงเทียน หรือไม่ก็เป็นผู้สืบทอด!
ในตอนนี้เว่ยเฟยโจวก็รู้แล้วว่าโชคชะตาดีๆ ที่อี้เทียนหยุนพูดคืออะไร ทำไมเขาถึงจับตามาที่เหอหรงคุน ที่แท้ก็เพราะที่นี่เป็นของเขา แล้วอย่างนี้เขาจะไม่สามารถควบคุมมันได้ยังไง?
อยากให้ขึ้นมาก็สามารถขึ้นมาได้ แต่หากไม่ต้องการแล้วล่ะก็ ต่างก็ถูกดีดกระเด็นกลับไปหมดทุกคน!
“นายน้อยอี้ ของพวกนี้….” คำเรียกขานของเว่ยเฟยโจวที่มีต่ออี้เทียนหยุนเปลี่ยนไป พร้อมกับส่งของคุณภาพพวกนี้ออกไป
“ของพวกนี้เจ้าเก็บไว้เถอะ สำหรับข้าแล้วมันไร้ประโยชน์” อี้เทียนหยุนส่ายหัว พร้อมกับบอกเขาให้เก็บพวกมันไว้
“ขอบคุณนายน้อยมาก!” เว่ยเฟยโจวซึ้งใจ แสดงท่าทางเหมือนผู้น้อย รู้สึกเหมือนว่าตนกลายเป็นบ่าว
เขารู้สึกว่าตนเป็นข้ารับใช้ของอี้เทียนหยุนมากกว่าที่เป็นสหาย ในฐานะทายาทของราชาศักดิ์สิทธิ์ช่วงเทียนแล้ว กลัวว่าแม้แต่ข้ารับใช้เขายังไม่มีคุณสมบัติพอ
“คือว่า ท่านเป็นทายาทของราชาศักดิ์สิทธิ์ช่วงเทียนหรือว่าเป็นผู้สืบทอด” มีตัวแทนคนหนึ่งใจกล้าถามขึ้นมา
“จะเรียกว่าผู้สืบทอดก็ได้” อี้เทียนหยุนบอกความจริงออกไป
ไม่มีอะไรให้ต้องปิดบัง หากคิดจะเดินด้วยฐานะนี้ ก็ไม่มีความจำเป็นต้องปกปิด หากว่าคนอื่นคิดว่าฐานะของเจ้าต่ำเกินไป ก็จะไม่ให้เกียรติเจ้า
เหตุผลที่เขาทำอย่างนี้ก็ง่ายมาก เพื่อให้การตามหาชิเสวี่ยอวิ๋นง่ายขึ้น ไม่อย่างนั้น หากเขาเข้าไปถามแล้วจบที่การต่อสู้ แล้วอย่างนี้เขาจะไปหาคำตอบจากใคร?
หากว่าฆ่าคนโดยไม่ระวัง ก็อาจถูกหักค่าประสบการณ์ได้ ฝั่งตรงข้ามมีค่าความชั่วไม่สูง ฆ่าไปกลับเข้าเนื้อตัวเองแทน
“ผู้สืบทอด….” พวกเขาพากันตกใจ จากนั้นในสายตาก็ปรากฏความบ้าคลั่งออกมา ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีผู้สืบทอด มาตอนนี้เมื่อผู้สืบทอดปรากฏออกมา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาจะบ้าคลั่งขนาดไหน
อี้เทียนหยุนไม่พูดอะไรอีก พร้อมกับนำพวกเขาเดินเข้าไปข้างใน อย่างรวดเร็ว เขาก็เดินขึ้นมาถึงบันไดขึ้นสูงสุด เหอหรงคุนกับพวกกำลังพากันปีนหน้าผาอยู่ ถึงยังไงเมื่อพวกเขาถูกส่งมา ก็ต้องทำการทดสอบต่อ
เมื่อพวกเขาเห็นอี้เทียนหยุนและคนอื่นๆ ขึ้นมา ก็พากันตกใจ ไม่ใช่ว่าขึ้นมาไม่ได้หรอกเหรอ แล้วทำไมถึงมีคนขึ้นมาได้?
“พวกเราดูอยู่ตรงนี้แหละ ดูสิว่าจะมีกี่คนที่ขึ้นไปได้” อี้เทียนหยุนเผยรอยยิ้มคลุมเครือออกมา จากนั้นก็เรียกโต๊ะสุราออกมาอีกครั้ง พร้อมกับให้ผู้คนพากันนั่งจิบสุรา พร้อมกับดูพวกเขาทดสอบไป
แต่ละคนต่างก็มีความคิดต่างๆ แตกต่างกันไป
ตัวอี้เทียนหยุนนั่งจิบสุราอย่างช้าๆ เหมือนก่อนหน้า พวกเขาจะคิดอะไรนั้นไม่สำคัญ ที่สำคัญคือพวกเขาจะไปได้ถึงไหนต่างหาก!