ตอนที่ 671: โชคชะตา
“เผ่าเทพเทียนเหมย?”
อี้เทียนหยุนอ่านข้อมูลของตระกูลลับนี้ กล้าบอกว่าตัวเองเป็นเผ่าเทพ นับว่ากล้าหาญไม่น้อยเลย ยังไงก็ตาม ในช่วงที่รุ่งโรจน์ที่สุด ในเผ่าได้ปรากฏ 3 เซียนขึ้น นั่นคือมีระดับระดับราชาเซียน 3 คน(เป็นว่าตอนที่แล้วแปลผิดนะครับที่บอกว่าเป็นเผ่าของ 1 ใน 3 ราชาศักดิ์สิทธิ์)
นี่ก็เทียบได้กับแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนหมิงที่มีราชาเซียนอยู่ทั้งหมด 3 คน เพียงพอที่จะอวดดีต่อหน้าขุมอำนาจแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ได้ แต่ว่าหลังจากสงครามโลกสวรรค์ เผ่าเทพเทียนเหมยก็ได้รับการสูญเสียอย่างหนัก ราชาเซียนร่วงหล่นลงจากฟ้า 2 คน ส่วนศิษย์หัวกะทิก็ตายไปนับไม่ถ้วน ทันใดนั้นก็ทำให้เผ่าเทพเทียนเหมยต้องตกต่ำลง
แต่ดีที่ขุมกำลังภายในไม่ย่ำแย่ พร้อมกับเข้าไปหลบในระยะของภูเขาเทียนเหมย ซึ่งถือว่าเป็นที่ที่ปลอดภัยถึงขีดสุด ในช่วงที่รุ่งโรจน์ที่สุด พวกเขามีราชาเซียนปกครองถึง 3 คน ดังนั้นหากคิดจะทำลายให้ราบ เป็นเรื่องที่ยากมาก
หากว่าอีกฝ่ายไม่มีอะไร ก็คงไม่เข้าร่วมสงครามในอดีต จะดีจะร้ายก็ย่อมมีขุมกำลังที่น่าทึ่งอยู่บ้าง ใครจะรู้ว่าพวกเขายังมีสมบัติที่ร้ายกาจอย่างอื่นอยู่ไหม หรือไม่ก็พลังที่ร้ายอาจอื่นๆ
นอกจากว่าเผ่าเทพเทียนเหมยจะมีสมบัติที่น่าตะลึงถึงขีดสุด ตัวอย่างเช่นของที่สามารถทำให้เป็นราชาศักดิ์สิทธิ์ได้อะไรอย่างนั้น หากเป็นอย่างนั้น แน่นอนว่าพวกเขาจะต้องออกมาผงาดอย่างแน่นอน
“ช่างซ่อนตัวกันได้มิดชิดจริงๆ ไม่แปลกที่ข้าจะถามใครก็ไม่สามารถถามได้ ยากที่จะหาเผ่าเทพเทียนเหมยนี้จริงๆ นี่เป็นเพราะว่าตกต่ำมาหลายร้อยปี อีกทั้งยังแยกตัวออกไปอีก ไม่แปลกที่ไม่มีข้อมูล…..”
อี้เทียนหยุนขมวดคิ้ว ภูเขาเทียนเหมยนี้ไม่ได้อยู่ในพื้นที่หนาวเย็นถึงขีดสุดที่เขารู้มา พ่อค้าแผงลอยนั้นรู้สถานที่พอคร่าวๆ เท่านั้น และเขาก็ไม่รู้จักภูเขาเทียนเหมยนี้ด้วย
เพราะว่าเขาเทียนเหมยนี้ไม่ใช่ว่าใครก็สามารถไปได้ หากไม่สามารถข้ามผ่านค่ายกลพิศวงที่ด้านนอกเข้าไปได้ ก็ไม่มีทางที่จะเห็นแม้แต่หน้าตาที่แท้จริงของเขาลูกนั้น ต่อให้เป็นภูเขาหิมะ ก็ไม่สามารถมองเห็นจากระยะไกล จะเห็นก็เพียงแต่หมอกสีขาวที่ไกลสุดลูกหูลูกตา
เมื่อเป็นอย่างนี้ มันจึงค่อยๆ เลือนหายไป เมื่อไม่มีใครเข้าไปใกล้ แล้วใครจะไปจำที่นั่นได้ล่ะ?
“หากว่าข้ามัวแต่ไปหาในพื้นที่ที่เย็นสุดขีด กลัวว่าคงได้แต่เสียเวลาเปล่าแล้ว……” อี้เทียนหยุนคิดอย่างตลก เมื่อถึงตอนนั้น เวลาที่เสียไปหลายปี ก็ต้องกลายเป็นสูญเปล่าไป
แน่นอนว่าเขาย่อมไม่โง่อย่างนั้น อย่างแรกเขาคงออกล่าสัตว์อสูรหรืออะไรสักอย่าง พร้อมกับสะสมค่าความคลั่งเพื่อซื้อวิญญาณชี้ทางมา แบบนี้ก็จะทำให้เขาสามารถหาเจอได้ง่ายๆ ค่าความคลั่ง 3 ล้านไม่ได้มากมายนัก อย่างมากก็เสียเวลาแค่ไม่กี่เดือนก็สามารถเก็บได้ครบแล้ว ดังนั้นมันจึงไม่ได้เป็นปัญหาแต่อย่างใด
จะให้งมโข่งค้นหาอยู่หลายปี เขาไม่โง่อย่างนั้น มาตอนนี้เมื่อมีข้อมูลที่แม่นยำอยู่ในมือ ก็คงได้เวลาที่ต้องไปแล้ว
“ข้อมูลของแดนศักดิ์สิทธิ์จั่วชิวของเจ้า ทำให้ข้าพอใจจริงๆ….” อี้เทียนหยุนค่อนข้างพอใจกับข้อมูลนี้ กระทั่งมีข้อมูลก่อนหน้านี้ของเผ่าเทพเทียนเหมยประกอบ พูดได้ว่าข้อมูลที่เขียนอยู่บนกระดาษแผ่นนี้ ทำให้เขารู้สึกถึงความรับผิดชอบของอีกฝ่าย ซึ่งทำให้เขาพอใจจริงๆ
นอกจากข้อมูลนี้แล้ว รูปสัญลักษณ์ของเผ่าเทพเทียนเหมยข้างบนนั้น ก็ไม่ได้ต่างจากที่อี้เทียนหยุนให้ดูแม้แต่น้อย
“แน่นอนอยู่แล้ว คำสั่งของนายน้อย แดนศักดิ์สิทธิ์จั่วชิวของพวกเราย่อมให้คำตอบที่พอใจต่อท่านอย่างแน่นอน ไม่มีทางหลอกเด็ดขาด” ตัวแทนของแดนศักดิ์สิทธิ์จั่วชิวมีรอยยิ้มบนใบหน้า เขาเชื่อว่าไม่มีใครที่จะมีข้อมูลมากกว่านี้แล้ว
“ดี ดีมาก” อี้เทียนหยุนพยักหน้าอย่างพอใจ “เจ้าเข้ามา”
ตัวแทนของแดนศักดิ์สิทธิ์จั่วชิวเดินเข้าไปในทันที จากนั้นอี้เทียนหยุนก็หยิบแผ่นหยกส่งให้เขา
“เจ้าเอาไปดู นี่คือรางวัลตามที่ตกลงไว้ และอย่าได้บอกข้าว่าไม่พอใจ เทียบกับข้อมูลที่ได้มาแล้ว รางวัลนี้ถือว่าคุ้มมาก” อี้เทียนหยุนพูดอย่างไม่ใส่ใจ
ตัวแทนแดนศักดิ์สิทธิ์จั่วชิวทำการยืนยันด้วยความตื่นเต้น ใส่พลังวิญญาณเข้าไปในแผ่นหยกแผ่นนั้น ทำให้รู้ถึงข้อมูลที่อยู่ด้านในในทันที
หลังจากนั้นสักพัก ตัวแทนของแดนศักดิ์สิทธิ์จั่วชิวก็แสดงอาการตื่นเต้น ทำการโค้งคำนับให้เขาอย่างต่อเนื่อง “ขอบคุณนายน้อย ของคุณนายน้อย! นี่พวกเราพอใจมาก พอใจมากที่สุดเลย!”
ตัวแทนแดนศักดิ์สิทธิ์จั่วชิวราวกับไม่สามารถยืนตรงได้ เอาแต่ค้อมเอวให้อี้เทียนหยุนไม่หยุด เห็นได้ชัดว่าพอใจกับรางวัลในครั้งนี้มาก
“อืม งั้นก็ไปได้แล้ว” อี้เทียนหยุนโบกมือ “ไว้หากข้าไปพิสูจน์แล้ว พบว่าข้อมูลนี้โกหก งั้นก็อย่ามาโทษว่าข้าไม่เกรงใจละกัน!”
“ไม่โกหกอย่างแน่นอน ท่านเจ้าศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราถึงกับสั่งให้ข้านำท่านไปที่นั่นด้วยตัวเอง ช่วยนำทางให้ท่าน แบบนี้ย่อมไม่มีปัญหาเด็ดขาด!” ตัวแทนของแดนศักดิ์สิทธิ์จั่วชิวพูดด้วยรอยยิ้ม “แดนศักดิ์สิทธิ์จั่วชิวของเรานั้น มีความสัมพันธ์เล็กน้อยกับทางนั้นมานานแล้ว”
เขาไม่บอกว่าเป็นขุมอำนาจอะไร เขาไม่อยากให้คนอื่นรู้เรื่องนี้ นี่เป็นข่าวที่พวกเขาหามาอย่างยากลำบาก แล้วจะปล่อยให้คนอื่นรู้ได้ยังไง
“ที่แท้ก็พอรู้จักกัน ไม่แปลกที่เจ้าจะหาข้อมูลได้เร็วที่สุด” อี้เทียนหยุนยิ้ม นี่ไม่ผิดไปจากที่เขาคาด
ตราบเท่าที่ได้ข้อมูลที่แม่นยำมา เขาไม่เชื่อว่าแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายนั้น จะไม่มีใครรู้จักตระกูลลับนี้ ไม่ว่าจะเป็นตระกูลลับไหน ก็จำต้องปรากฏตัวอยู่ดี
ถึงยังไงนี่ก็เป็นตระกูล ไม่ใช่ตัวบุคคล! หากเป็นตัวบุคคล เป็นไปได้ว่าจะหายากยิ่งกว่านี้ แต่ยังไงตัวตระกูลก็ไม่สามารถซ่อนได้ แม้จะบอกว่าเป็นตระกูลลับ แต่ก็แค่การแยกตัวออกไปจากสังคม ไม่ว่ายังไงก็ไม่สามารถหนีไปจากทะเลสาบและแม่น้ำไปได้ เพียงแค่ตามหาตามสองแหล่งนี้ก็พอ
“ใช่ พวกเราใช้ความได้เปรียบเล็กน้อย…..” ตัวแทนแดนศักดิ์สิทธิ์จั่วชิวยิ้ม เขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ตอนเขากลับไปเพื่อสืบหาข้อมูล เขาก็พลันได้รับข้อมูลชิ้นนี้มา
ซึ่งเวลาส่วนใหญ่ที่เสียไปนั้น เสียไปกับการเดินทาง ส่วนเวลาหาข้อมูลกลับสั้นมาก
และในตอนนี้เอง สามอันดับแรกก็ได้ปรากฏออกมา สุดท้ายแล้วเหอหรงคุนก็พ่ายแพ้ ได้เพียงอันดับ 4 ไม่ได้รับรางวัลแต่อย่างใด
“สุดท้ายก็แพ้…..” เว่ยเฟยโจวคิดอย่างเสียดายเล็กน้อย แต่โดยรวมแล้วเขาก็พอใจมาก
“อาจารย์ ศิษย์แพ้แล้ว…..”
หลังจากเหอหรงคุนลงมา ก็มองไปที่อาจารย์ของตนด้วยสีหน้าผิดหวัง คิดว่าจะสามารถติด 1 ใน 3 ได้ซะอีก แต่ไม่คิดว่าจะแพ้อย่างนี้
“เจ้าทำได้ดีแล้ว ทั้งยังดีกว่าที่ข้าคาดเอาไว้มาก หากอาจารย์ให้วิชาที่ดีกว่านี้กับเจ้า ผลสุดท้ายจะต้องต่างออกไปอย่างแน่นอน!” เว่ยเฟยโจวรู้ว่าพวกเขานั้นขาดอะไร ไม่เพียงแต่อาวุธเท่านั้น แต่ยังขาดวิชาดีๆ ด้วย
ภายใต้สภาพนี้ ยังสามารถขึ้นไปติด 1 ใน 4 ได้ นี่ก็ถือว่าเกินความคาดหมายแล้ว
“พรสวรรค์ของเจ้านับว่าดี แต่ว่ายังมีสิ่งที่ขาดอยู่” อี้เทียนหยุนชี้นิ้วออกไป จากนั้นก็มีแสงสว่างยิงออกไปจากมือเขา พุ่งเข้าสู่สมองของเหอหรงคุน ก่อนที่จะซึมหายเข้าไปในสมองของเขา “วิชานี้ข้าให้เจ้า ตั้งใจฝึกให้ดี ต่อให้เจ้าจะได้อันดับ 1 ของที่ได้ยังด้อยกว่าวิชานี้นัก”
เหอหรงคุนหลับตาทำความเข้าใจในทันที ไม่มีกระทั่งโอกาสที่จะกล่าวขอบคุณ เพราะว่าในสมองของเขาตอนนี้มีความทรงจำอันหนึ่งผุดขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง ไม่ปล่อยให้เขาได้มีโอกาสขอบคุณ ทำได้เพียงหลับตา แล้วทำความเข้าใจกับมันเท่านั้น
“ขอบคุณนายน้อย!” เว่ยเฟยโจวคุกเข่า ขณะที่โขกคำนับอย่างแรง แล้วพูดว่า “ขอบคุณนายน้อยที่มอบความกรุณาให้กับศิษย์ของข้า การได้พบกับนายน้อย ถือว่าเป็นโชคชะตาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของข้าแล้ว!”
แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่านี่เป็นวิชาอะไร แต่รู้ว่าของที่อี้เทียนหยุนให้จะต้องน่าทึ่งอย่างแน่นอน ขนาดอุปกรณ์ระดับศักดิ์สิทธิ์ยังมอบให้ง่ายๆ แล้ววิชายุทธ์นี้จะน่าผิดหวังได้ยังไง?
“ลุกขึ้น” อี้เทียนหยุนพูดอย่างไม่ใส่ใจ “ข้าคิดว่าเขาเป็นสหายที่พรหมลิขิตกำหนดไว้ ดังนั้นจึงได้มอบโชคให้กับเขา เพราะงั้นก็จงใช้โชคครั้งนี้ให้ดีๆ ล่ะ”
คนอื่นๆ พากันมองด้วยความอิจฉา มันคงจะดี หากว่าสามารถได้รับการปฏิบัติเช่นนี้
“นายน้อย ผู้ต่ำต้อยคนนี้มีคำขอ อยากจะให้นายน้อยรับปาก!” เว่ยเฟยโจวไม่ลุกขึ้น ยังคงคุกเข่าต่อ