ตอนที่ 676: แฝงตัว
เผ่าเทพเทียนเหมยตั้งอยู่ที่ตอนเหนือของทวีปพานหยุน ซึ่งอยู่ในพื้นที่ที่หนาวเย็น แต่หากจัดอันดับตามพื้นที่ที่หนาวเย็นที่สุด เกรงว่ามันคงจะไม่ถูกจัดอยู่แม้แต่สิบอันดับแรก หากเป็นไปตามที่อี้เทียนหยุนวางแผนไว้ก่อนหน้า อาณาเขตเขาเทียนเหมยนี้คงถูกเขามองข้ามไป
หากเอ่ยถึงกายาน้ำแข็งศักดิ์สิทธิ์แล้ว หุบเขาเทียนเหมยนี้ แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่พื้นที่ฝึกตนที่เหมาะสม พูดให้ถูกคือไม่ใช่พื้นที่ฝึกตนที่ดีที่สุด พื้นที่ฝึกตนที่ดีที่สุด แน่นอนว่าต้องหนาวเย็นยิ่งกว่านี้ ซึ่งหุบเขาเทียนเหมยนี้ไม่ได้อยู่ในเงื่อนไขที่ดี แม้แต่สิบอันดับแรกก็ไม่ติด
ยังไงก็ตาม หากวัดกันที่พรสวรรค์ พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องใช้ทรัพยากรของตนเพื่อรับสมัครอีกฝ่าย เมื่อเป็นอย่างนี้ คนส่วนใหญ่คงไม่มีคุณสมบัติที่จะสมัครเป็นศิษย์
“นี่คือหุบเขาเทียนเหมยอย่างงั้นเหรอ?”
หลังจากอี้เทียนหยุนบินมาได้สักพัก เขาก็มาถึงยังหุบเขาเทียนเหมย พูดได้ว่าหุบเขาเทียนเหมยนี้ อยู่ห่างจากแท่นบูชาเทพเติ้งเทียนค่อนข้างไกล แม้ว่าเขาจะมีความเร็วที่น่าทึ่ง แต่ก็ต้องเวลาบินเป็นอาทิตย์กว่าที่จะมาถึงที่นี่ หากว่าเปลี่ยนเป็นคนอื่น อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาบินมาหลายเดือน ถึงจะมาถึงที่นี่
แต่นี่ก็สมแล้วกับตระกูลที่ปลีกตัวออกจากโลก ยิ่งกว่านั้น จากสภาพแวดล้อม ก็เหมือนว่าจะอยู่ห่างไกลโลกเช่นกัน รอบๆ นี้ต่างก็เต็มไปด้วยป่าเขาลำเนาไพร ที่อยู่อาศัยแม้สักแห่งก็ไม่มีปรากฏให้เห็น เมื่อกวาดตามอง ก็ไม่เห็นแม้แต่ชาวบ้านสักคน
ที่นี่เต็มไปด้วยผืนป่าที่แผ่ขยายออกไป ไม่น่าใช่ที่ที่คนจะอาศัยอยู่จริงๆ กระทั่งสัตว์อสูรก็ไม่มีสักตัว อย่างมากก็เป็นแค่สิ่งมีชีวิตเล็กๆ ส่วนที่เป็นอันตรายล้วนไม่มี
แต่ยังไงก็ตาม ที่นี่ก็ได้ปกคลุมไปด้วยหมอกที่หนาแน่น แม้จะไม่ได้ปกคลุมทั้งหมด แต่ตรงยอดเขากลับเต็มไปด้วยหมอก
จากที่กวาดตามอง ที่นี่จะไปมีภูเขาหิมะที่ไหน เรียกได้ว่าเป็นพื้นที่ที่เขียวชอุ่มตลอดปีจะถูกกว่า ไม่มีส่วนไหนที่คล้ายจะเป็นสถานที่ที่เย็นจัดเลยสักนิด เหมือนกับเป็นป่าดงดิบอย่างไงอย่างงั้น!
ส่วนชื่อหุบเขาเทียนเหมยอะไรนั่น ต้นเหมยสักต้นเขายังไม่เห็น มีแต่ต้นไม้อื่นๆ
แต่นี่ก็เป็นแค่สายตาของคนทั่วไปเท่านั้น ส่วนอี้เทียนหยุนนั้นสามารถมองทะลุหมอกวงกตสีขาวนี้ได้อย่างสมบูรณ์ สามารถมองเห็นสิ่งที่ถูกปกปิดเอาไว้อย่างชัดแจ้ง หากลบภาพลวงตาออกไป ภาพที่แท้จริงก็จะปรากฏขึ้น
“หือ กำลังรับศิษย์อย่างงั้นเหรอ?” อี้เทียนหยุนมองเห็นเด็กหนุ่มเด็กสาวจำนวนมากอยู่ในนั้น เหมือนกับกำลังเตรียมตัวเข้ารับการตรวจสอบอยู่เลย
แม้จะเป็นตระกูลลับ ก็ใช่ว่าจะไม่รับคนใหม่เข้ามาเลย ยังไงก็ต้องมีการรับเลือดใหม่เข้ามาเสริม ชิเสวี่ยอวิ๋นเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด ถึงกับลงไปค้นหาผู้มีพรสวรรค์ถึงในโลกมนุษย์เลยทีเดียว
พวกเขาไม่ได้ตั้งใจที่จะตัดขาดจากโลก แต่เป็นเพราะว่ามีพลังที่อ่อนแอเกินไป จึงทำได้เพียงเลือกที่จะซ่อนตัวเท่านั้น ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงได้พากันไปเกิดใหม่นานแล้ว ไม่มีขุมอำนาจไหนหรอกที่จะชอบหลบซ่อนตัว โดยเฉพาะเผ่าเทพเทียนเหมยที่ตอนแรกรุ่งโรจน์ซะจนไม่มีใครกล้าเสียมารยาท
ตอนนี้ที่เลือกหนีห่างจากโลก ก็เพราะว่าต้องการโอกาสในการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
“รับสมัครคนอย่างนี้ ก็สวยสิ…..”
อี้เทียนหยุนวางแผนว่าจะแอบลอบเข้าไปอย่างลับๆ แต่ตอนนี้เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังรับศิษย์ ทำไมเขาไม่ใช้โอกาสนี้แฝงตัวเข้าไปล่ะ แบบนี้จะทำให้เขาได้เห็นอะไรหลายอย่างขึ้น
ตัวอย่างเช่นสามารถมองเห็นแก่นแท้ของขุมอำนาจทั้งหมดได้อย่างชัดเจน รู้ว่าพวกเขาทำการดูแลคนที่เข้ามาใหม่ยังไง รวมถึงข้อมูลอื่นๆ แบบนี้จะได้รู้ว่าชิเสวี่ยอวิ๋นถูกปฏิบัติด้วยดีไหม
จากนั้น ร่างของเขาก็เป็นกระพริบวาบ ก่อนที่จะไปปรากฏรวมกับกลุ่มเด็กหนุ่มสาวพวกนั้น โดยที่ไม่มีสนใจว่ามีคนเพิ่มขึ้นมาหรือไม่ กลุ่มหนุ่มสาวพวกนี้มีจำนวนค่อนข้างมาก อย่างน้อยก็มากกว่า 50 คน ที่พวกเขาพามา
ดูแล้วคนพวกนี้ไม่เหมือนว่ามีพื้นหลังใหญ่โตอะไร ดูจากการแต่งตัวก็ค่อนข้างธรรมดา ส่วนอายุก็ราวๆ 16-17 ปี ไม่มากแต่ก็ไม่น้อยเกินไป ส่วนพลังก็อยู่ที่ประมาณระดับปรับแต่งกายา ตามทฤษฎีแล้วถือว่าค่อนข้างน่าผิดหวัง แต่เผ่าเทพเทียนเหมยก็ยังรับเข้ามา นี่ช่างน่าประหลาดใจจริงๆ
“เดินตามมาดีๆ ระวังหลงทางล่ะ!” หัวหน้าที่นำทางตะโกนออกมา พร้อมกับพูดอย่างจริงจังว่า “หากว่าหลุดจากขบวนไป พวกเจ้าจะต้องหลงอยู่ในนี้ และก็จะไม่มีใครไปตามพวกเจ้ากลับมาด้วย!”
ผู้นำทางคนนี้ดูแล้วเป็นแค่ผู้เยาว์ธรรมดา พลังก็ถือว่าดีอยู่ อยู่ในระดับหลอมรวมขั้นที่ 5 ที่ 6 มีคุณสมบัติพอที่จะเป็นหัวหน้านำทางพวกเขา ยังไงก็ตาม เขาก็เป็นแค่ผู้นำทางเท่านั้น เพราะดูจากสีหน้าที่ไม่พอใจของเขา ก็รู้ว่าคงไม่พอใจที่ต้องมาทำเรื่องนี้เท่าไหร่
และด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่รู้ว่ามีคนเพิ่มขึ้นมาคนหนึ่ง กระทั่งว่ามีทั้งหมดกี่คนก็ยังไม่รู้
“หืม ทำไมเมื่อกี้ข้าถึงไม่เคยเห็นเจ้าล่ะ?”
เด็กหนุ่มท่าทางแข็งแรงด้านข้างอี้เทียนหยุนเอามือเกาหัว พร้อมกับมองมาที่เขาด้วยความสงสัย
“อาจเป็นเพราะก่อนหน้านี้ข้าไปฉี่มาน่ะ เจ้าก็เลยไม่เคยเห็น” อี้เทียนหยุนหาข้ออ้างเพื่อกลบเรื่องที่แฝงตัวเข้ามา
“ก็ว่าอยู่ แต่ดีแล้วที่ไม่หลง ที่นี่อันตรายมาก” เด็กหนุ่มคนนั้นพูดด้วยรอยยิ้มซื่อๆ “หากเป็นข้า ป่านนี้คงหลงทางไปแล้ว”
อี้เทียนหยุนยิ้ม เด็กหนุ่มคนนี้น่าสนใจจริงๆ ดูแล้วเหมือนไม่มีแผนการอะไร
จากนั้นพวกเขาก็คุยกันไปตลอดทาง ทำให้อี้เทียนหยุนรู้ว่าที่เผ่าเทพเทียนเหมยรับสมัครนั้นก็คือข้ารับใช้!
ไม่แปลกที่ทุกคนต่างก็โตกันแล้ว ตามทฤษฎีแล้วถือว่าสายเกินไปที่จะฝึก ใครบ้างที่ไม่ฝึกมาตั้งแต่เด็ก ยกเว้นก็แต่ชิเสวี่ยอวิ๋น ที่ไม่จำเป็นต้องทำลายพื้นฐานของตน เพียงแค่ปรับปรุงวิชาให้เข้ากันเท่านั้น
ระดับของพวกเขาไม่ต่ำไม่สูง เป็นระดับปรับแต่งกายาที่ค่อนข้างธรรมดา แต่ที่สำคัญคือระดับของพวกเขาถือว่าเข้าเงื่อนไขพอดี แค่กวาดพื้น ส่งอาหาร งานพวกนี้แต่แรกก็ไม่ได้ต้องการระดับที่สูงอะไรอยู่แล้ว
ยังไงก็ตาม หากว่ามีระดับในช่วงท้าย แน่นอนว่าจำต้องถูกทำลายวิชาอย่างแน่นอน ดังนั้นมันจึงไม่สำคัญ พวกเขามาจากตระกูลเล็กๆ เหมือนๆ กัน แต่เพราะที่นี่มีพลังวิญญาณที่เข้มข้น ดังนั้นจึงทำให้แต่ละคนสามารถเข้าสู่ระดับปรับแต่งกายาได้ ซึ่งถือว่าเป็นผู้ฝึกตนอย่างเป็นทางการ
แต่หากคิดจะเพิ่มระดับให้สูงกว่านี้ ก็มีแต่ต้องเข้าร่วมกับขุมอำนาจบางแห่ง หรือเข้าเป็นข้ารับใช้ ถึงจะได้รับโอกาส ซึ่งสามารถทำให้เลื่อนระดับได้
เด็กหนุ่มที่อี้เทียนหยุนคุยด้วยนั้นชื่อว่าเสียวหวู่ ซึ่งเป็นชื่อที่ธรรมดามาก ทั้งยังมาจากตระกูลที่ธรรมดามากเช่นกัน ไม่อย่างนั้นคงไม่เข้ามาทำงานรับใช้ที่นี่
ยังไงก็ตาม บุคลิกของอีกฝ่ายก็เป็นคนซื่อๆ ดูแล้วไม่เหมือนคนมากแผนการ เหมาะที่จะคบหาด้วยอย่างมาก และนอกจากเสียวหวู่แล้ว เขาก็ได้ทำการคุยกับคนอื่นๆ เล็กน้อย ซึ่งคนอื่นๆ นั้น ก็มาจากตระกูลที่ธรรมดา ซึ่งเป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้
ที่พวกเขามาที่นี่ ก็เผื่อว่าจะมีโอกาสสักเล็กน้อย เพราะถึงยังไงข้ารับใช้ก็ไม่ได้เป็นกันเปล่าๆ อย่างน้อยก็ยังพอได้อะไรตอบแทนมาบ้าง อย่างเช่นวิชายุทธ์หรือว่าโอสถ
และที่พวกเขาต้องการก็เป็นแค่ของธรรมดา ไม่ได้คิดหวังของชั้นสูงอะไร ซึ่งนี่ก็ต่างกันไปในหมู่พวกเขา แต่โดยรวมแล้วพวกเขาก็ไม่ได้ต้องการวิชายุทธ์ที่มีระดับสูงอะไรนัก แค่ได้วิชายุทธ์ระดับมนุษย์มา แค่นั้นก็ถือว่ามากเกินพอสำหรับพวกเขา
“นี่เป็นเหมือนกับโลกฝึกตนเล็กๆ อีกโลกหนึ่ง…..”
อี้เทียนหยุนส่ายหัว ในโลกก็มีคนแบบนี้อยู่เช่นกัน แต่พวกเขาก็พากันทำเพื่ออนาคตข้างหน้า คิดว่าตัวเองจะสามารถก้าวหน้าขึ้นไปได้ ซึ่งบางทีการที่ระดับสูงก็ไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไหร่ แต่สำหรับพวกเขาแล้ว ถือเป็นเรื่องที่ต้องไล่ตามตลอดชีวิต