ตอนที่ 689: ไม่ยอมแยกจาก
หลังจากที่อี้เทียนหยุนและชิเสวี่ยอวิ๋นจากไป เผ่าเทพเทียนเหมยก็พากันเบาใจได้ในที่สุด แต่ในใจก็ยังคงรู้สึกซับซ้อนอยู่ดี เผ่าเทพเทียนเหมยที่ตั้งใจจะออกไปผงาดในโลกอีกครั้ง ตอนนี้อย่าว่าแต่ออกไปผงาดเลย แค่สามารถปกป้องตัวเองได้ก็ดีแค่ไหนแล้ว
ระดับผู้อาวุโสตายไปหลายคน แถมตำหนักที่สำคัญที่สุดก็ต้องมาถูกทำลาย รวมถึงมหาค่ายกลเทพเทียนเหมยด้วย ทั้งหมดต่างก็ถูกทำลายในพริบตา ทำให้ขวัญกำลังใจของผู้คนลดลงจนน่าใจหาย
“ไม่คิดเลยว่าแค่ข้าปิดด่าน ก็เกิดเรื่องนี้ขึ้นแล้ว….”
เหมยเหวินชูถอนหายใจอย่างลึกล้ำ พร้อมกับมองไปที่บริเวณนี้ด้วยความสับสน ขณะที่ในใจรู้สึกหดหู่ วางแผนว่าอีกไม่นานจะออกไปผงาดในโลก แต่ไม่คิดจริงๆ ว่าจะไปตอแยผู้เชี่ยวชาญที่ร้ายกาจเข้า เพียงแค่โบกมือเบาๆ ก็สามารถบดขยี้พวกเขาจนสิ้นซากได้แล้ว
หรือพวกเขาจะยอมแพ้ดี? แน่นอนว่าเรื่องนี้พวกเขาย่อมไม่เต็มใจเด็ดขาด เพียงแค่มองดูผู้คนที่อยู่รอบๆ ก็สัมผัสได้ การที่ต้องมาถูกจัดการอย่างโหดร้ายเช่นนี้ ไม่ว่าฝ่ายไหนจะถูกหรือผิด พวกเขาก็ยากที่จะกล้ำกลืนความแค้นนี้ลงไปได้อยู่ดี แต่ต่อให้จะไม่สามารถกล้ำกลืนความแค้นนี้ลงไปได้ แต่พวกเขาจะไปทำอะไรได้ ทำได้เพียงฝืนกลืนมันลงคอไปเท่านั้น
เผ่าเทพเทียนเหมยไม่ได้รุ่งเรืองและทรงอำนาจเหมือนแต่ก่อน พวกเขาล้วนแต่ตกต่ำลงเรียบร้อยแล้ว
“ดูเหมือนว่าคงต้องจัดการเรื่องในเผ่าใหม่ซะแล้ว คงเพราะเคยชินกับความโอหังมานาน จึงไม่รู้ว่าเหนือคนยังมีคน เหนือฟ้ายังมีฟ้าอยู่?”
เหมยเหวินชูหันกับไปมองผู้คน ก่อนที่จะพูดอย่างเย็นชาว่า “จากวันนี้ไป เผ่าเทพเทียนเหมยจะทำการปิดตัวเป็นเวลา 100 ปี จะไม่มีใครลงจากเขาไปได้แม้แต่คนเดียว! ตอนนี้ให้ทุกคนยอมแพ้และจัดการซ่อมแซมตำหนัก และมหาค่ายกลของที่นี่ซะ!”
ในเบื้องหน้านี้ พวกเขาทำได้เพียงกล้ำกลืนความเจ็บปวดเท่านั้น
“ท่านประมุข พวกเราจะไม่ล้างแค้นอย่างงั้นเหรอ?” ผู้จัดการคนหนึ่งถามขึ้น ก่อนหน้านี้เขาอยากจะเข้าไปสังหารด้วยความโกรธเป็นอย่างมาก แต่ว่าประมุขไม่อนุญาตให้ใครหน้าไหนลงมือ ทำได้เพียงยืนดูอยู่ใกล้ๆ เท่านั้น
มีบางคนที่ต่อให้ตาย ก็ไม่อยากยืนดูอยู่เฉยๆ โดยที่ไม่ทำอะไร
“ล้างแค้น เจ้าคิดว่าข้าไม่อยากอย่างงั้นเหรอ?” เหมยเหวินชูหันไปมองเขา “ท่านบรรพชนบอกว่า ท่านสัมผัสได้ถึงพลังที่น่ากลัวอย่างมากจากคนผู้นี้ กลัวว่าแค่กระบี่เดียวก็จัดการกับพวกเราได้แล้ว”
“กระ กระบี่เดียวเนี่ยนะ แม้แต่ท่านบรรพชนที่เป็นถึงสุดยอดผู้เชี่ยวชาญที่รอดชีวิตมาจากสงครามโลกสวรรค์ก็ด้วยอย่างงั้นเหรอ…..” ผู้คนพากันตกใจ ก่อนหน้านี้ทุกคนรู้สึกเหมือนไม่ได้รับความเป็นธรรม แต่หลังจากได้ฟังคำนี้ ก็เหมือนกับว่าสมองถูกน้ำเย็นราดใส่ ชาไปทั้งตัว
“ก็เพราะว่ารอดชีวิตมาจากสงครามโลกสวรรค์นี่ล่ะ ถึงได้สัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายร้ายกาจอย่างแท้จริง เกรงว่าอีกฝ่ายคงเป็นถึงระดับราชาเซียนขั้นท้ายแล้ว การที่จะจัดการกับพวกเรา ย่อมเป็นเรื่องง่ายอย่างมาก” เหมยเหวินชูส่ายหัวแล้วพูดต่อว่า “ลูกผู้ชายที่แท้จริงย่อมปรับตัวตามสถานการณ์ได้ ตอนนี้ข้าพบเพียงว่า มีคนโง่ในเผ่าของเรามากเกินไป ไม่อย่างนั้น ทำไมเรื่องถึงได้กลายเป็นแบบนี้?”
“พวกเจ้าเห็นอุปกรณ์ระดับศักดิ์สิทธิ์ห้าชิ้นนั่นไหม พวกมันถูกโยนมาให้พวกเราราวกับขยะ ต่อให้เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ทั่วๆ ไป ก็ไม่มีทางที่จะทำอย่างนี้ได้ ทรัพยากรที่พวกเราใช้ฝึกเธอ ยังน้อยกว่าอุปกรณ์ระดับศักดิ์สิทธิ์สองชิ้นด้วยซ้ำ แต่อีกฝ่ายกลับทิ้งให้พวกเราถึงห้าชิ้น!” เหมยเหวินชูพูดด้วยความรู้สึกเสียใจ “หากว่าสามารถเป็นเพื่อนกับอีกฝ่ายได้ ก็เท่ากับว่าพวกเราจะได้ผู้ช่วยที่ทรงพลังอย่างมากเพิ่มขึ้นมา!”
“น่ารังเกียจ น่ารังเกียจยิ่งนัก…. แต่ว่าทั้งหมดนี้ก็ได้จบลงแล้ว พูดไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร หากว่าเจ้าไม่เต็มไป ก็ให้รีบไปฝึกฝน รอจนวันที่เจ้ามีพลังแข็งแกร่งกว่าเขา จนสามารถจัดการกับเขาได้ เมื่อนั้น ข้าก็จะชื่นชมเจ้าเป็นอย่างมาก!”
“แต่ถ้าหากเจ้าไม่มีระดับเช่นนั้นแล้วล่ะก็ เมื่อเจอเขา ให้รีบหลีกห่างจากเขาให้ไกล! สำหรับเรื่องนี้ ข้าไม่อยากเจอมันเป็นครั้งที่สอง แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวก็เกินพอ!”
เหมยเหวินชูสลดใจอย่างมาก แต่ที่เขาพูดก็มีเหตุผล ลูกผู้ชายที่แท้จริง ย่อมปรับได้ทุกสถานการณ์ หากไม่ยอมอ่อนข้อให้อีกฝ่ายแล้วล่ะก็ ทั้งเผ่าคงถึงคราวแตกดับ เมื่อเป็นอย่างนั้น จะเลือกตายอย่างมีศักดิ์ศรี หรือมีชีวิตอยู่อย่างสามัญ?
เรื่องที่นี่ย่อมไม่มีทางแพร่ออกไป ดังนั้นจึงไม่ได้ส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของเผ่าเทพเทียนเหมย
ขณะที่ที่นี่ได้เริ่มทำการซ่อมแซมตำหนักอย่างรวดเร็ว อี้เทียนหยุนก็พาชิเสวี่ยอวิ๋นบินลงมายังบริเวณกระท่อมเล็กๆ ในหุบเขาเทียนเหมย ผู้คนที่อยู่ที่นี่ต่างก็มองอี้เทียนหยุนบินลงมาด้วยท่าทางโง่งม
“ฟีนิกซ์…..”
พวกเขาพากันตกใจ และที่ทำให้พวกเขาตกใจที่สุดก็คือ อี้เทียนหยุนเป็นคนขี่ฟีนิกซ์ลงมา ไม่ใช่ว่าอี้เทียนหยุนมาทำงานรับใช้เหมือนกันกับพวกเขาอย่างงั้นเหรอ แล้วทำไมอยู่ๆ ถึงได้ขี่ฟีนิกซ์มาได้กัน?
“น้องอี้ นี่มันเรื่องอะไรกัน?” เสียวหวู่วิ่งออกมาจากกระท่อม ทางตำหนักด้านนั้นเกิดเรื่อง พวกเขาย่อมออกมาดูเป็นธรรมดา แต่ว่าไม่กล้าเข้าไปใกล้
“เรื่องอะไรอย่างงั้นเหรอ ข้าก็มาพาเจ้าไปจากที่นี่ยังไงล่ะ” อี้เทียนหยุนพูดด้วยรอยยิ้มบางๆ “หรืออีกอย่างก็คือ เจ้าเต็มใจจะติดตามข้าไหม? ข้าสามารถมอบโชคชะตาให้กับเจ้าได้ แต่ว่าเจ้าก็ต้องทำงานให้กับข้าด้วย”
เสียวหวู่เอามือเกาหัว พร้อมกับพูดออกมาอย่างซื่อๆ ว่า “หากข้าเป็นลูกน้องของเจ้า ข้าจะสามารถกลับไปเยี่ยมบ้านได้ไหม และจะมีเงินกลับไปให้ที่บ้านหรือเปล่า?”
เสียวหวู่ที่พูดอย่างนี้ออกมา ทำให้คนอื่นๆ ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือว่าร้องไห้ดี มันมีเรื่องอื่นที่ให้ต้องคิดมากกว่านี้อยู่ไม่ใช่หรือไง
“ไม่มีปัญหา ตราบเท่าที่เจ้าทำงานให้ข้าอย่างสุดใจ อย่าว่าแต่ส่งเงินให้ทางบ้านเลย ให้รับครอบครัวเจ้ามาอยู่ด้วยก็ยังได้” อี้เทียนหยุนรู้สึกขัน
“ตกลง ข้าจะติดตามเจ้า ตราบเท่าที่น้องอี้เอ่ยปาก ข้าก็จะทำตาม ข้าคนนี้มีดีแต่กำลังเท่านั้น เรื่องอื่นไม่สามารถ” เสียวหวู่พูดอย่างร่าเริง
“วางใจเถอะ อีกไม่นานเจ้าก็จะเหนือกว่าคนอื่นๆ แล้ว” อี้เทียนหยุนชี้นิ้วออกไป พร้อมกับส่งวิชายุทธ์เข้าสู่สมองของเขา “จำไว้ให้ดี ตั้งใจฝึกฝน แล้วเจ้าจะกลายเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญอย่างแน่นอน!”
จากนั้น เขาก็เรียกสัตว์อสูรระดับผันแปรวิญญาณขึ้นมาแบกเขาบินไปยังแท่นบูชาเทพเติ้งเทียน พวกเขายังมีเรื่องให้ต้องทำ ย่อมไม่มีทางพาเสียวหวู่ไปด้วยเด็ดขาด
เขาไม่กังวลว่าเสียวหวู่จะทรยศ เพราะเสียวหวู่ไม่ได้เป็นคนแบบนั้น ยิ่งกว่านั้นเขายังเป็นคนที่ซื่อสัตย์มากด้วย ใครที่ดีกับเขา เขาก็จะดีกับคนนั้น มันก็เป็นเรื่องง่ายๆ
“แม้แต่โลกสวรรค์แห่งนี้ เจ้าก็ยังไม่ลืมที่จะรับลูกน้อง เจ้าคิดว่าเขามีพรสวรรค์สูงมากอย่างงั้นเหรอ?” ชิเสวี่ยอวิ๋นมองไม่เห็นถึงพรสวรรค์ของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย เห็นเพียงแต่กล้ามเนื้อที่อัดแน่นอยู่บนร่างอีกฝ่ายเท่านั้น
“มันแน่นอนอยู่แล้ว อีกหน่อยเดี๋ยวท่านก็รู้เอง” อี้เทียนหยุนกอดเธอพร้อมกับเผยรอยยิ้มบางๆ ออกมา พร้อมกับสั่งให้ฟีนิกซ์น้ำเงินบินไปขึ้นในอากาศ ออกไปจากดินแดนแห่งนี้
“หืม เจ้ากล้ามีความลับกับข้าอย่างงั้นเหรอ!” ชิเสวี่ยอวิ๋นแค่นเสียงออกมา พร้อมกับรู้สึกไม่ค่อยพอใจ แต่เมื่อดูสีหน้าของเธอ กลับไม่มีความไม่พอใจแต่อย่างใด
อี้เทียนหยุนที่กอดเธออยู่ ก้มลงไปมองหน้าเธอ หลังจากที่ทั้งสองมองตากัน เขาก็พูดด้วยรอยยิ้มบางๆ ว่า “ท่านน้า ท่านช่างงดงามจริงๆ”
“เจ้านี่มัน…..”
คำพูดยังไม่ทันจบ อี้เทียนหยุนก็ทำการจูบเธอ ทั้งยังเป็นการจูบแบบลึกล้ำ การลงมือที่กะทันหันเช่นนี้ ทำเอาชิเสวี่ยอวิ๋นตกใจจริงๆ แต่ว่าเธอก็ไม่ได้ดิ้นแต่อย่างใด กลับกัน ใบหน้าที่งดงามของเธอกลับเป็นสีแดงก่ำ ลามขึ้นไปถึงใบหู ดูคล้ายกับแอปเปิ้ลก็ไม่ปาน
“กี๊ด…..” ฟีนิกซ์น้ำเงินร้องออกมาด้วยท่าทางไม่พอใจอย่างมาก
อี้เทียนหยุนกระทืบเท้าลงไปที่มันเบาๆ ลงโทษมันที่ขัดบรรยากาศ แต่มือยังคงกอดเอวเธอแน่น ไม่คิดจะปล่อยมือ
บรรยากาศบนนี้ค่อนข้างหนาว แต่ท้องฟ้ากลับเต็มไปด้วยความอบอุ่นและงดงาม ราวกับฤดูใบไม้ผลิ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาทำตัวก้าวร้าวและเอาแต่ใจเช่นนี้ แต่ในจังหวะนี้ เขากลับคิดเพียงว่า อยากจะให้ชิเสวี่ยอวิ๋นอยู่ในอ้อมกอดของเขาอย่างนี้ ไม่ยอมแยกจาก