ตอนที่ 694: ไม่มีคนชื่อนี้
การที่ราชาศักดิ์สิทธิ์เฟิงเทียนคือบรรพบุรุษของเขานั้น เรื่องนี้ไม่ได้สำคัญอะไร เพราะว่าเขาไม่ได้คิดอะไรอยู่แล้ว บางทีคนอื่นอาจจะภูมิใจ แต่ว่าเขากลับไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย
เขาไม่ได้เกิดที่นี่ ฉะนั้นจะให้เอาความเคารพมาจากไหน ยิ่งกว่านั้น ระดับของเขาในตอนนี้ยังน่าทึ่งอีกด้วย การที่จะเข้าสู่ระดับราชาศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่ใช่เรื่องยาก เรื่องที่จะเหนือกว่าราชาศักดิ์สิทธิ์เฟิงเทียนจึงไม่ได้มีความกดดันแม้แต่น้อย
ดังนั้น มรดกของราชาศักดิ์สิทธิ์เฟิงเทียนจึงไม่ได้มีความหมายอะไรมากมายกับเขานัก ไม่ไม่ว่ายังไง ในใจของเขาก็ยังคงรู้สึกชื่นชมเขาอยู่ เหตุผลสำคัญเป็นเพราะว่าราชาศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามได้ทำการเสียสละที่ยิ่งใหญ่มาก หากไม่ใช่เพราะพวกเขา น่ากลัวว่าทั้งสามโลกคงตกเป็นของปีศาจจากนอกโลกไปเรียบร้อยแล้ว
และเมื่อเดินเข้าไปใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ตัวเมืองก็ยิ่งมีขนาดใหญ่ขึ้นทุกที และเมื่อพวกเขาเดินไปยืนต่อหน้าประตูเมือง ก็รู้สึกเหมือนว่าตัวเองตัวเล็กจ้อย นี่เป็นประตูเมืองที่ใหญ่ที่สุดที่อี้เทียนหยุนเคยเห็น มันดูยิ่งใหญ่และหรูหราเป็นอย่างมาก
แม้แต่แท่นบูชาเทพเติ้งเทียนเอง ก็ยังห่างจากประตูเมืองเทียนเฟิงนี้อยู่ขั้นหนึ่ง พูดได้ว่า เมืองเฟิงเทียนแห่งนี้ เทียบได้กับอุปกรณ์ระดับเทวะที่ดีที่สุด เพียงแค่ประตูนี้อย่างเดียวก็ยากที่จะตีแตกได้แล้ว ตราบเท่าที่ปิดมันลง เชื่อว่าต่อให้เป็นระดับราชาเซียน 7-8 คน ก็ไม่มีทางที่จะทำลายมันได้
นอกจากว่าจะทำลายค่ายกลของที่นี่ หรือว่าโจมตีอย่างบ้าคลั่งเป็นเวลานาน อย่างนั้นถึงจะสามารถทำลายที่นี่ได้
และที่บนประตูเมือง มีป้ายขนาดใหญ่ที่สลักตัวอักษรคำว่า “เฟิงเทียน” สองตัวอยู่! ซึ่งดูเหมือนว่าเมืองแห่งนี้จะสามารถผนึกโลกนี้เอาไว้ได้ และป้องกันมันฉายแสงลงมายังพื้นโลก
ไม่มีใครสามารถมองขึ้นไปยังป้ายนั้นได้โดยตรง เพราะเพียงแค่มองขึ้นไป ก็จำต้องก้มหัวลงอย่างรวดเร็ว ไม่กล้ามองต่อ
มีเพียงแค่อี้เทียนหยุนคนเดียวเท่านั้นที่สามารถมองตรงไปยังป้ายนี้ได้ ซึ่งทำให้คนที่เห็นต่างก็พากันตกใจ ไม่คิดว่าจะมีคนสามารถมองตรงไปยังป้ายนั้นได้เป็นเวลานาน หากว่าเป็นคนอื่นฝืนมองไปยังป้ายนั้นแล้วล่ะก็ เกรงว่าตาคงบอดไปเรียบร้อยแล้ว
เพราะพลังที่ปล่อยออกมาจากป้ายนี้ เพียงพอที่จะแทงทะลุเข้าไปในตาของผู้คนจนบอดได้อย่างเพียงพอ แต่ถ้าหากสามารถมองดูคำบนป้ายนั้นได้อย่างชัดเจนแล้วล่ะก็ จะทำให้สามารถเข้าใจความลึกลับของมันได้เล็กน้อย
“สมแล้วที่เป็นราชาศักดิ์สิทธิ์เฟิงเทียน เพียงแค่ป้ายชื่อเมืองก็เป็นถึงอุปกรณ์ระดับเทวะ หากว่าใครคิดจะบุกเข้ามาที่นี่แล้วล่ะก็ เกรงว่าคงถูกป้ายชื่อเมืองนี้ปลดปล่อยพลังของราชาศักดิ์สิทธิ์ออกมาต่อต้านอย่างแน่นอน”
อี้เทียนหยุนดึงสายตากลับ จากนั้นก็สายหัว เพียงแค่ป้ายชื่อเมืองก็ยากที่จะตีหักได้แล้ว
“ป้ายชื่อเมืองนี้เป็นอุปกรณ์ระดับเทวะอย่างงั้นเหรอ?” ชิเสวี่ยอวิ๋นตกใจ เธอมองไม่เห็นผลลัพธ์อะไรจากมัน เหตุผลหลักเป็นเพราะว่าเธอไม่สามารถมองดูมันได้ถนัดนัก
“ใช่ ประตูเมืองนี้คืออุปกรณ์ระดับเทวะ ป้ายชื่อเมืองเองก็ด้วย กำแพงเมืองก็เป็นอุปกรณ์ระดับเทวะเช่นกัน เพียงแค่สามสิ่งตรงหน้านี้ ก็เป็นอุปกรณ์ระดับเทวะแล้ว แม้ว่าระดับของมันจะไม่สูงนัก แต่ว่าอย่างน้อยก็ยังเป็นระดับเทวะอยู่ดี”
อี้เทียนหยุนส่ายหัว ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่เมืองของตนจะประสบความสำเร็จถึงขั้นนี้ เขาต้องหลอมอุปกรณ์ระดับเทวะออกมาให้ได้ แต่ก็คงต้องใช้เวลาอีกนาน ตอนนี้เขาเป็นแค่อาจารย์หลอมศาสตรา ยังหากจากการหลอมอุปกรณ์ระดับเทวะนี้อีกไกล
“ปะ พวกเราเข้าไปกัน”
อี้เทียนหยุนพาชิเสวี่ยอวิ๋นเดินเข้าไป ยามก็ไม่ได้หยุดพวกเขา และก็ไม่มีค่าเข้าเมือง รวมถึงไม่มีการขับไล่อะไรด้วย พวกเขาสามารถเดินเข้าไปได้ตามสบาย นอกจากว่าจะเข้ามาสร้างปัญหาที่นี่ ไม่อย่างนั้นก็จะไม่ต้องรับโทษอะไรทั้งนั้น
หลังจากเข้ามา ฉากด้านในก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากเมืองทั่วๆ ไป บนถนนเต็มไปด้วยผู้คนที่พลุกพล่าน ที่นี่เปรียบได้กับเมืองหลวงระดับทั่วๆ ไป ที่มีร้านแลกเปลี่ยนศาสตราเวทย์ หรือว่าโอสถวิญญาณแปลกๆ หลากชนิด
และผู้ฝึกตนที่เดินขวักไขว่กันในนี้ก็ไม่ได้มีระดับต่ำ สามารถเห็นผู้เชี่ยวชาญระดับราชาวิญญาณได้ทั่วไป ซึ่งผู้เชี่ยวชาญพวกนี้ก็ไม่ได้เป็นคนของเมืองเฟิงเทียนทั้งหมด แต่เป็นผู้เชี่ยวชาญจากขุมอำนาจอื่นที่มาซื้อของให้กับสำนักและอีกมากมาย
และแน่นอนว่าพวกนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขา แต่สิ่งสำคัญคือภูเขาห้าลูกตรงหน้าพวกเขาต่างหาก! เมื่อเข้ามา สิ่งที่อยู่ในเมืองไม่ใช่คฤหาสน์หรือพระราชวัง แต่ว่าเป็นภูเขาห้าลูก
ภูเขาทั้งห้าลูกนี้ตั้งตระหง่านอยู่ด้านหน้า แต่ว่าตรงตีนเขานั้นมีที่พักหลายหลังตั้งอยู่ ภูเขาทั้งห้าลูกนี้จึงจะเป็นวิหารหลักที่แท้จริงของเมืองเฟิงเทียน ในนั้นเทียบได้กับเมืองหลวงทั่วๆ ไปของเมืองอื่นๆ
มองจากที่นี่ เห็นแต่เพียงหมอกที่ล้อมรอบภูเขาพวกนั้นไว้ พร้อมกับมีการกักขังพลังวิญญาณไว้ด้านใน ไม่ให้ออกมา ภูเขาทั้งห้าลูกนี้สามารถเห็นได้เพียงรางๆ เท่านั้น ราวกับว่าภูเขาเป็นประเทศ และเมื่อดูดีๆ แล้ว จะพบว่าบนนั้นเต็มไปด้วยดอกไม้และสมุนไพรต่างๆ นานา ซึ่งเป็นจำนวนที่มากจนน่าตกใจ
ซึ่งในภูเขาแต่ละลูกก็จะมีตำหนักตั้งอยู่ด้านบน ซึ่งในตอนแรกที่ก่อตั้งแดนศักดิ์สิทธิ์เฟิงเทียน ก็ตั้งขึ้นที่ภูเขาทั้งห้าลูกนี้ แต่เนื่องด้วยการขยับขยายอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้กลายมาเป็นอย่างทุกวันนี้
แทนที่จะหลีกลี้หนีห่าง พวกเขากลับทำการขยายขุมอำนาจของตน ทำการก่อตั้งดินแดนขึ้นที่นี่ แต่ก็ไม่ได้ขยับขยายไปจากภูเขาทั้งห้าลูก ตั้งใจว่าจะสร้างให้เป็นขุมอำนาจเล็กๆ เท่านั้น
การจะทำให้ตนเองนั้นแข็งแกร่งมากขึ้น จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากทุกขุมกำลัง การที่คนมากก็จะยิ่งทำให้มีพลังมากไม่ได้เป็นคำพูดที่เหลวไหล ยิ่งคนหมู่มากทำการอุทิศตน ก็จะยิ่งทำให้ได้ทรัพยากรกลับมาเป็นจำนวนมาก ดังนั้นพวกเขาจึงจะสามารถแข็งแกร่งขึ้นได้
“ดูเหมือนว่าที่นั่นจึงจะเป็นที่อยู่ที่แท้จริงของพวกเขา” อี้เทียนหยุนชี้ไปยังเขาห้าลูกนั้น ดูแล้วน่าจะไม่สามารถเข้าไปได้ตามใจ จริงอยู่ที่ด้านนอกนี้สามารถเข้าออกได้ตามต้องการ แต่ก็เหมือนกับพระราชวังนั่นแหละ มันไม่ใช่ที่ที่ใครก็สามารถเข้าไปได้ หากไม่ได้รับคำเชิญ ก็อย่าหวังว่าจะเข้าไปได้แม้แต่ครึ่งก้าว
“ใช่ ในที่สุดก็จะได้เจอพี่สาวแล้ว…..” นัยน์ตาคู่งามของชิเสวี่ยอวิ๋นมากไปด้วยความตื่นเต้น
หลังจากพวกเขาเดินตรงไป ตรงหน้าก็มีกำแพงล้อมเอาไว้เหมือนกับกำแพงเมือง พร้อมกับมียามกลุ่มใหญ่คอยทำหน้าที่ป้องกันไว้ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นผู้เชี่ยวชาญระดับวิญญาณเที่ยงแท้ที่ทำการลาดตระเวน พร้อมกับตรวจตราสถานการณ์รอบๆ ป้องกันคนลอบเข้าไปอย่างเข้มงวด
“พวกเจ้าทั้งคู่มีเรื่องอะไร?”
ขณะที่อี้เทียนหยุนและชิเสวี่ยอวิ๋นเพิ่งจะเข้าไปใกล้ ก็พลันถูกยามจ้องมาที่พวกเขาในทันที ทั้งยังเป็นสายตาที่มากไปด้วยความระมัดระวัง
“พวกเรามาหาอี้ซิงเฉิน ไม่ทราบว่าเขาอยู่ที่นี่หรือเปล่า?” ชิเสวี่ยอวิ๋นเดินเข้าไปถาม
อี้ซิงเฉินคือพ่อของอี้เทียนหยุนในชีวิตนี้
“อี้ซิงเฉินเหรอ? ไม่เคยได้ยินมาก่อน!” ยามพูดพลางส่ายหัว
“ไม่เคยได้ยิน?” ชิเสวี่ยอวิ๋นตกใจ จากนั้นก็ถามเพิ่มว่า “งั้นเจียวหลิงเหอล่ะ?”
เจียวหลิงเหอคือชื่อของแม่อี้เทียนหยุน ในเมื่อไม่รู้จักชื่อพ่อ งั้นชื่อแม่ล่ะ?
“เจียวหลิงเหอ? นี่ก็ไม่เคยได้ยินเหมือนกัน ถามแล้วก็รีบไปซะ หากไม่มีฎีกาหลวง หรือป้ายคำสั่ง ห้ามเข้ามาใกล้ที่นี่มั่วๆ เด็ดขาด!” ยามคนนั้นโบกมือไล่พวกเขาอย่างรำคาญ บอกให้พวกเขารีบออกไปจากที่นี่
ถามมาสองชื่อมีแต่ชื่อที่พวกเขาไม่รู้จัก แล้วอย่างนี้จะไม่ให้พวกเขามีอารมณ์ได้เหรอ? นี่เหมือนกับเข้ามากวน หรือไม่ก็มาหาผิดคนมากกว่า
“อะไรกัน ไม่เคยได้ยินเลยอย่างงั้นเหรอ…..”
ชิเสวี่ยอวิ๋นตกใจ เธอมาด้วยอารมณ์ที่คาดหวัง แต่ว่าฝั่งตรงข้ามกลับไม่รู้จัก พวกเขาไม่คิดว่ายามพวกนี้จะโกหก เพราะพวกเขาไม่จำเป็นต้องโกหกพวกเขา แต่เป็นเพราะพวกเขาไม่รู้จักชื่อพวกนี้จริงๆ
“เจ้าไม่เคยได้ยินจริงๆ เหรอ ไม่ใช่ว่าอี้ซิงเฉินเป็นอัจฉริยะอันดับ 1 ของแดนศักดิ์สิทธิ์เฟิงเทียนพวกเจ้าหรือไง!” ชิเสวี่ยอวิ๋นถามอย่างกังวล
“อัจฉริยะอันดับ 1? พูดเป็นเล่น อัจฉริยะอันดับ 1 ของแดนศักดิ์สิทธิ์เฟิงเทียนเราชื่อว่า อี้เฟยหลง ไม่ใช่อี้ซิงเฉิน” ยามพูดด้วยท่าทีหน้านิ่วคิ้วขมวด “ข้าว่าเจ้ามาหาผิดที่แล้วล่ะ นี่คือเมืองหลวงของแดนศักดิ์สิทธิ์เฟิงเทียน ไม่ใช่ขุมอำนาจเล็กๆ ปีนี้มีคนเข้ามาถามหาคนแซ่อี้กันเยอะมาก หากว่ายังวุ่นวายอีก อย่ามาโทษหากพวกเราไม่เกรงใจ!”
พวกเขามีหน้าที่ป้องกันที่นี่ จึงพากันไม่กล้าหละหลวม ดังนั้นเมื่อถามหาแต่คนที่พวกเขาไม่รู้จัก ก็จำเป็นต้องไล่คนผู้นั้นออกไป