ตอนที่ 724: ไม่มีราชาศักดิ์สิทธิ์, งั้นข้าจะเป็นราชาศักดิ์สิทธิ์เอง!
อี้ซิงเฉินก็ได้รับการช่วยเหลือจนฟื้นขึ้นมาได้สำเร็จ แสดงให้เห็นว่ามาตรฐานในการกลั่นโอสถของอี้เทียนหยุนอยู่ในระดับชั้นยอดอย่างแน่นอน ประสิทธิ์ภาพของโอสถที่เขาปรุงออกมานั้น น่าทึ่งอย่างมาก จากคนที่ไม่มีสีเลือดแม้แต่น้อย จนแม้แต่ผมเผ้ายังหงอกขาวอย่างอี้ซิงเฉิน ก็ได้ฟื้นกลับคืนมาเป็นปกติ อีกทั้งตอนนี้เลือดฉีของเขายังอุดมสมบูรณ์ พร้อมกับผมที่กลับมาดำเงา ดูรวมๆ แล้วไม่ต่างจากเด็กหนุ่มอายุ 20 แต่อย่างใด
สมุนไพรชั้นยอดสามชนิดที่เป็นขั้นสุด แต่ละชิ้นเทียบได้กับอุปกรณ์ระดับเทวะครึ่งชิ้น แล้วประสิทธิภาพจะด้อยได้ยังไงกัน? ไม่เพียงแต่จะรักษาเขาจนฟื้นคืนมาเท่านั้น แต่ยังช่วยเสริมเลือดฉีให้กับเขาอย่างมาก แม้จะไม่สามารถดูดกลืนเลือดฉีจำนวนมากได้หมด แต่ก็สามารถเก็บตุนไว้ได้
และหลังจากนี้ก็ยังสามารถดูดกลืนได้ต่อเนื่อง เมื่อถึงตอนนั้น ไม่เพียงแต่จะไม่น่าผิดหวังเท่านั้น แต่กระทั่งว่ายังแข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อนอีกด้วย! แต่หากคิดจะฟื้นระดับฝึกตนกลับคืนมาจนสมบูรณ์ ก็จำเป็นต้องใช้เวลาอยู่บ้าง
จำศีลมาหลายปี มันไม่ง่ายนักที่จะฟื้นกลับมาเหมือนเดิม โดยเฉพาะพลังที่น่าสะพรึงของพิษกระหายเลือดนี้ ทำให้อาการที่ถูกพิษกัดกร่อนค่อนข้างร้ายแรง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องใช้เวลานานเพื่อที่จะฟื้นกลับคืนมา
ยังไงก็ตาม ด้วยความช่วยเหลือของยาถอนพิษที่น่าทึ่ง ทำให้การฟื้นคืนสู่ช่วงเวลาสูงสุดนั้นไม่นานนัก อย่างมากก็ไม่เกินปี
จากนั้น สัวไค่เฟิงก็เริ่มจัดการทุกอย่างในทันที จัดให้พวกเขาอาศัยอยู่ที่นี่ พร้อมกับอุปกรณ์อำนวยความสะดวกอย่างครบครัน แม้ว่าหลายคนจะไม่พอใจ แต่ก็ทำได้เพียงทำสีหน้าไม่พอใจใส่อี้เทียนหยุนเท่านั้น ไม่มีใครกล้าลงมือกับเขา ดังนั้นเขาจึงอาศัยอยู่ที่นี่ได้โดยไม่มีปัญหาอะไร
พวกเขาทั้งหมดนี้ได้รับการดูแลอย่างเฉพาะเจาะจงเป็นพิเศษ เห็นได้ชัดว่าเขาสังหารผู้อาวุโสสองคนไป แต่กลับได้รับการดูแลเช่นนี้ พูดไปก็ไม่มีใครเชื่อ แต่เรื่องจริงคือจัดการสังหารกับกบฏสองคน ดังนั้นการได้รับการดูแลอย่างนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลก
หากผู้อาวุโสใหญ่และผู้อาวุโสสามไม่ได้ทำอะไร แต่กลับมาถูกอี้เทียนหยุนสังหาร สัวไค่เฟิงจะต้องเชิญอี้เทียนหยุนออกไปอย่างแน่นอน ไม่มีทางที่จะมาต้อนรับขับสู้เขาอย่างดีเช่นนี้ เพราะการทำเช่นนี้ก็ไม่ต่างอะไรไปจากคนโง่คนหนึ่ง
แต่ไม่ว่าจะยังไง เรื่องทั้งหมดก็ถือว่าจบลงแล้ว
หลังจากพักผ่อนสองสามวัน สัวไค่เฟิงก็ได้ให้พวกเขามาพบที่วิหารหลัก ในช่วงหลายวันมานี้ อี้ซิงเฉินก็ได้รู้เรื่องราวทั้งหมด ขณะที่โกรธแค้นต่อความชั่วร้ายของผู้อาวุโสทั้งสอง ก็ยังทอดถอนใจต่อความแข็งแกร่งของลูกชายของตน ที่เหนือกว่าเขาไปแล้ว
หากเรื่องในวันนั้นไม่เกิดขึ้น โชคชะตาของเขาเองก็จะต้องพุ่งทะยานอย่างแน่นอน
“ท่านประมุข!”
เมื่อพวกเขามาถึง ก็เห็นสัวไค่เฟิงยืนถือไม้เท้าเดินอยู่ เมื่อมองแผ่นหลังนี้ พวกเขาก็ได้แต่พากันถอนหายใจ สัวไค่เฟิงคงทนได้อีกไม่นาน ซึ่งนี่แหละที่เป็นปัญหา เป็นปัญหาที่สาหัสอย่างแท้จริง
“พวกเจ้ามาแล้ว”
สัวไค่เฟิงหันกลับมา พร้อมกังจ้องมาที่พวกเขา ก่อนที่จะพูดด้วยรอยยิ้มบางๆ ว่า “ครั้งนี้ที่ข้าเรียกพวกเจ้ามานั้น เชื่อว่าในใจพวกเจ้าคงพอจะรู้บ้างแล้ว เป้าหมายจริงๆ ก็ง่ายมาก นั่นก็คือให้พวกเจ้ากลับคืนสู่แดนศักดิ์สิทธิ์เฟิงเทียน! แม้ว่าพวกเราจะทำเรื่องผิดพลาดไปมาก แต่นี่ก็เป็นกฎที่ฝังแน่นมาเป็นเวลาหลายปี ดังนั้นจึงจำเป็นต้องยอมรับมันเท่านั้น”
“หลังจากนี้ข้าคิดว่าจะยกทุกอย่างให้เจ้า จากนี้ไป แดนศักดิ์สิทธิ์เฟิงเทียนจะต้องเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่! และแดนศักดิ์สิทธิ์เฟิงเทียนต่อจากนี้ไป ก็จะขึ้นอยู่กับเจ้า”
“ท่านประมุข ท่านกำลังหมายความว่าอะไร?” อี้หยวนหลงพูดด้วยความตกใจ
“ตำแหน่งประมุขนี้ ข้าวางแผนว่าจะส่งต่อมันให้กับเจ้า หรือจะพูดให้ถูกคือ ข้าตั้งใจจะยกตำแหน่งประมุขให้กับเจ้าแต่แรกแล้ว แม้ผู้อาวุโสใหญ่และผู้อาวุโสสามจะดี แต่ตั้งแต่แรก ข้าก็เห็นถึงความมักใหญ่ใฝ่สูงของพวกเขา เมื่อเทียบกับเจ้า ความมักใหญ่ใฝ่สูงกลับไม่มี แต่ก็เป็นคนที่หัวดื้ออย่างมาก บางครั้งจำต้องมีความทะเยอทะยานบ้างถึงจะดี”
สัวไค่เฟิงพูดด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้ความปรารถนาที่แข็งแกร่งที่สุดของข้าคือทำให้เจ้ากลับมา ปฏิเสธไม่ได้ว่าข้าต้องการพึ่งพลังของเทียนหยุน เขาสามารถเติมเต็มส่วนที่ขาดจากผู้อาวุโสทั้งสองได้ อย่าได้เห็นว่าแดนศักดิ์สิทธิ์เฟิงเทียนนั้น แต่ความจริงแล้วมันไดตกต่ำลงกว่าแต่ก่อนมาก หากว่ามีศัตรูที่แข็งแกร่งมากบุกมา เป็นไปได้ว่าพวกเราอาจจะถูกขุดรากถอนโคนเลยทีเดียว”
สัวไค่เฟิงพูดออกมาตรงๆ โดยไม่มีการอ้อมค้อม ไม่คิดจะวางแผนหรือเล่นตลกอะไร เขารู้ว่าเวลาของตนเหลือไม่มากแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้น มีแต่ต้องรักษาอัจฉริยะที่แท้จริงเอาไว้ ไม่อย่างนั้น ทุกอย่างก็จะไร้ความหมาย
“ท่านประมุข เรื่องนี้ข้าได้บอกไปแล้วว่าต้องรอดูความเห็นของพ่อข้าก่อน” อี้เทียนหยุนโยนเรื่องนี้ให้กับอี้ซิงเฉิน อยากจะฟังว่าเขาจะตอบว่ายังไง
อี้ซิงเฉินเผชิญหน้ากับเรื่องนี้ด้วยความเงียบ จากนั้นก็พยักหน้าแล้วพูดว่า “ข้ารู้ว่าหากกลับมา จะต้องมีหลายคนที่ขับไล่เรา แต่ข้าก็คิดที่จะกลับมาพร้อมกับหลิงเหออยู่ดี ข้าเป็นหนี้ที่นี่มากเกินไป และจำเป็นต้องชดใช้…. แม้ว่าจะมีการต่อต้านจำนวนมาก แต่ข้าก็เชื่อว่าผลลัพธ์จะทำให้คนพวกนั้นมองข้าใหม่!”
“จะมีก็แต่สถานการณ์ของเทียนหยุนที่ค่อนข้างซับซ้อน ตัวเขามีขุมอำนาจอยู่ในโลกมนุษย์ เรื่องนี้ยากที่จะปล่อยไป ข้าเป็นพ่อที่ไม่ได้ทำหน้าที่สมกับเป็นพ่อ จึงไม่สามารถที่จะบังคับให้เขาอยู่หรือไปได้ เรื่องนี้จำต้องให้เขาเป็นคนเรื่องเอง”
อี้ซิงเฉินมองไปยังอี้เทียนหยุน ปล่อยเรื่องนี้ให้เขาเป็นคนตัดสินใจ เหตุผลนั้นก็ง่ายมาก ไม่ใช่เพราะอี้ซิงเฉินปัดความรับผิดชอบ แต่เป็นเพราะว่าตัวเขาคิดว่าตัวเองทำหน้าที่ของพ่อได้ไม่เพียงพอ จึงไม่สามารถตัดสินแทนอี้เทียนหยุนได้
ตอนนี้ สายตาของทุกคนต่างก็มารวมกันที่ตัวเขาอีกครั้ง อยากจะฟังคำตอบจากปากเขา
“ข้าเกรงว่าคงจะอยู่ที่นี่ไม่ได้ แต่หากว่าแดนศักดิ์สิทธิ์เฟิงเทียนมีเรื่องลำบากล่ะก็ ข้าจะช่วยอย่างแน่นอน!” อี้เทียนหยุนไม่เลือกที่จะอยู่ที่นี่ แต่เลือกที่บอกออกไปว่าจะช่วยแทน ถึงยังไงพ่อแม่และปู่ของเขาก็อยู่ที่นี่ แน่นอนว่าเขาคงจะทิ้งไปแบบไม่ดูดำดูดีได้
ในสายตาของสัวไค่เฟิงเผยประกายแห่งความผิดหวังขึ้นหลายส่วน แต่เมื่อได้ยินว่าจะช่วย ก็ทำให้เขารู้สึกยินดีขึ้นมาบ้าง เขาไม่สามารถที่จะออกคำสั่งอะไรได้ หากตอนแรกไม่ขับไล่การแต่งงานกับคนนอก ป่านนี้อี้เทียนหยุนคงจะเป็นคนของที่นี่แล้ว
“ยิ่งกว่านั้น ข้ายังมีเรื่องสำคัญยิ่งกว่า เรื่องนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นเรื่องของพวกเราเท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องของสามโลกด้วย!”
จากนั้น เขาก็ทำการบอกเล่าเรื่องราวอย่างคร่าวๆ บอกถึงเรื่องราชาศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามผนึกปีศาจร้ายเอาไว้ และเมื่อหลังจากที่ทุกคนได้ฟัง ก็พากันตกใจขนานใหญ่ ไม่คิดว่าจะมีเรื่องแบบนี้ด้วย!
เวลาที่นานที่สุดคือหนึ่งร้อยปี จากนั้นก็จะต้องเผชิญกับหายนะที่เป็นจุดจบ แล้วอย่างนี้จะไม่ให้พวกเขาพากันตกใจได้ยังไง
“เรื่องนี้ข้าเคยเห็นในบันทึก นี่เป็นบันทึกที่บรรพชนเก็บเอาไว้ ในนั้นมีบันทึกของเรื่องนี้ด้วย พวกเขาพวกเขาได้พากันผนึกปีศาจร้ายไว้ในโลกมนุษย์ แต่ไม่ได้บอกว่าผลึกไว้ที่ไหน ไม่คิดว่าหลายปีขนาดนี้ปีศาจร้ายตนนั้นจะยังไม่ตายอีก!” สัวไค่เฟิงตกใจ พวกเขาต่างก็ตกใจไปตามๆ กัน
นั่นเพราะว่าพวกเขาต้องเผชิญหน้ากับระดับราชาศักดิ์สิทธิ์ หากว่าราชาศักดิ์สิทธิ์ไม่โผล่มา สามโลกของพวกเขาจะต้องประสบกับหายนะอันยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน หากไม่มีราชาศักดิ์สิทธิ์คนอื่นเข้าต้าน พวกเขาคงยากที่จะต้านไหว
“ใช่ ไม่เพียงแต่ยังไม่ตายเท่านั้น แต่ยังแข็งแกร่งขึ้นอีกด้วย” อี้เทียนหยุนพูดอย่างจริงจัง “ดังนั้น ข้าจึงต้องก่อตั้งขุมอำนาจที่แข็งแกร่ง หรือไม่ก็ร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญที่ทรงอำนาจจากแดนศักดิ์สิทธิ์อื่น เรื่องนี้ต้องให้ทั้งสามโลกร่วมมือกัน ไม่อย่างนั้น เมื่อถึงเวลาคงยากที่ต้านไหว!”
“ร้อยปี…..”
สัวไค่เฟิงครุ่นคิดและพูดออกมา “ถึงตอนนั้นข้าคงกลายเป็นฝุ่นไปแล้ว เมื่อถึงตอนที่ปีศาจร้ายปรากฏตัว เหล่าบรรพชนจะต้องพากันออกมาอย่างแน่นอน เพื่อจัดการกับปีศาจร้ายตนนี้!”
แดนศักดิ์สิทธิ์เฟิงเทียนมีบรรพชนอยู่ อีกทั้งยังมีระดับที่แข็งแกร่งกว่าเขาด้วย เพียงแต่พวกเขาเหล่านั้นต่างก็แก่กันเกินไป หากออกมาเมื่อไหร่ก็เท่ากับตาย ดังนั้นหากไม่ใช่ช่วงเป็นตายจริงๆ จะไม่ยอมออกมา เพราะออกมาก็เท่ากับต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย
“ด้วยขุมกำลังของพวกเราตอนนี้ หากคิดจะจัดการกับระดับราชาศักดิ์สิทธิ์จริงๆ ออกจะเต็มฝืนอย่างมาก…..” สัวไค่เฟิงส่ายหัว แค่คิดถึงคำว่าราชาศักดิ์สิทธิ์สองคำนี้ ก็ทำให้รู้สึกสั่นสะท้านแล้ว
นี่เป็นพลังอันเป็นที่สุด ต่อให้รวมตัวกันเข้าไปเป็นกองทัพ ก็มีแต่หนทางแตกดับเท่านั้นที่รออยู่
“ดังนั้น พวกเราจึงต้องได้รับความช่วยเหลือจากราชาศักดิ์สิทธิ์คนอื่น!” อี้เทียนหยุนพูดอย่างจริงจัง
“ราชาศักดิ์สิทธิ์….. นานแล้วที่ไม่ได้ยินคำนี้ เกรงว่าจะไม่มีน่ะสิ แต่ต่อให้มีก็คงตัดขาดจากโลก ข้าเกรงว่าในสามโลกนี้ จะไม่มีราชาศักดิ์สิทธิ์อยู่สักคน” สัวไค่เฟิงพูดพลางส่ายหัว
หากในสามโลกมีราชาศักดิ์สิทธิ์ ป่านนี้คงก่อตั้งอาณาจักรที่แข็งแกร่งที่สุดขึ้นมาแล้ว พร้อมกับความทะเยอทะยานที่จะรวมขุมอำนาจทั้งหมดเข้าด้วยกัน โดยเฉพาะหากราชาศักดิ์สิทธิ์ปรากฏขึ้น โลกจะต้องสั่นสะเทือนอย่างแน่นอน ต่อให้ไม่อยากจะรู้ก็คงยาก
“หากว่าไม่มีราชาศักดิ์สิทธิ์ งั้นข้าก็จะเป็นราชาศักดิ์สิทธิ์เอง!” อี้เทียนหยุนพูดด้วยสีหน้ามุ่งมั่นและมั่นใจ “หลังจากเข้าสู่ระดับราชาศักดิ์สิทธิ์ ข้าก็จะสังหารปีศาจร้ายตนนี้!”
หากไม่มีราชาศักดิ์สิทธิ์ เขาก็จะเป็นราชาศักดิ์สิทธิ์เอง เรื่องมันก็ง่ายๆ แบบนี้แหละ!