ตอนที่ 726: หนึ่งประโยคที่สร้างความสะเทือนใจ
คำประกาศของสัวไค่เฟิงทำให้พวกเขาพากันตกใจ แม้จะมีการคาดเดาเอาไว้ก่อนแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่คิดว่าจะให้เป็นผู้อาวุโสจริงๆ เมื่อถึงเวลานั้น พวกเขาคงจะไม่อยู่ที่นี่จริงๆ ใช่ไหม?
อี้เทียนหยุนก็ตกใจเช่นกัน คิดไม่ถึงว่าสัวไค่เฟิงจะใจกล้าอย่างแท้จริง ถึงกับประกาศให้อี้หยวนหลงขึ้นเป็นประมุขทั้งอย่างนี้ แบบนี้มันจะไม่มีปัญหาอะไรจริงๆ อย่างงั้นเหรอ แล้วยังจะให้เขาและอี้ซิงเฉินเป็นผู้อาวุโสอะไรนั่นอีก
จริงอยู่ที่อี้ซิงเฉินเป็นคนของที่นี่ แต่ตามทฤษฎีแล้วถือว่าเขาได้ทรยศที่แห่งนี้ไปเรียบร้อยแล้ว แม้ว่าจะกลับคืนมาแล้วก็ตาม การจะให้ขึ้นเป็นผู้อาวุโสใหญ่ในทันทีเลย นี่ก็ไม่ต่างอะไรไปจากการละเล่นของเด็ก
“ท่านประมุข เรื่องนี้ทำไม่ได้! การให้ผู้อาวุโสใหญ่ขึ้นเป็นประมุขนั้น เรื่องนี้พวกเราไม่มีปัญหา แต่ทำไมอี้ซิงเฉินและลูกชายของเขาถึงได้เป็นผู้อาวุโสด้วย? พวกเขาไม่มีคุณูปการอะไรแม้แต่น้อย ชื่อเสียงแม้สักนิดก็ไม่มี การขึ้นเป็นผู้อาวุโสทั้งอย่างนี้ จะต้องก่อให้เกิดความวุ่นวายอย่างแน่นอน!”
ผู้อาวุโสห้ามีสีหน้าหดหู่ คำพูดของเขาก็ใช่ว่าจะไร้เหตุผล การที่เป็นเช่นนี้ จะต้องเป็นการตัดสินใจของสัวไค่เฟิงอย่างแน่นอน รู้สึกเหมือนกับว่าสายตาของเขาเริ่มฝ้าฟาง สมองทำงานไม่ปรกติ ดังนั้นจึงได้ทำการตัดสินใจที่ไม่สนอะไรแบบนี้
ซึ่งเรื่องนี้ก็ไม่ผิดไปจากที่อี้เทียนหยุนคาด จะต้องมีบางคนมีปัญหากับเรื่องนี้อย่างแน่นอน ถึงยังไงนี่ก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
อี้ซิงเฉินก็พยักหน้าเช่นกัน คิดว่าเรื่องนี้ทำไม่ได้ เขาที่เพิ่งกลับมา ควรที่จะค่อยๆ สะสมชื่อเสียงและบารมีทีละน้อย แบบนี้ถึงจะเป็นการพิสูจน์ตัวเองที่ดีที่สุด ไม่อย่างนั้น หากไร้ซึ่งชื่อเสียงและบารมี คงยากที่จะมีคนทำตามคำสั่งของเขา
เมื่อถึงตอนนั้น ต่อให้เขาพูดอะไรไป ก็จะไม่มีใครฟัง ต่อให้ได้ตำแหน่งไปก็ไม่มีประโยชน์ เมื่อไม่มีใครทำตามที่เขาสั่ง ก็ไม่ต่างกับไม่มีตำแหน่งตรงไหน
“ก่อนหน้านี้ซิงเฉินถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้อาวุโสนานแล้ว เรื่องนี้หลายคนต่างก็ยอมรับกันตั้งแต่แรก แต่เพราะว่าสถานการณ์เปลี่ยนไป ทำให้ทุกคนพากันขับไล่เขาออกไปจากที่นี่ จึงได้ทำให้เกิดปัญหานี้ขึ้น!”
สัวไค่เฟิงพูดอย่างเย็นชา “หากไม่ใช่เพราะผู้อาวุโสใหญ่และผู้อาวุโสสามสร้างสถานการณ์ขับไล่พวกเขาออกไป พวกเขาจะมีสภาพอย่างนี้ไหม? ตามจริง พวกเขาสามารถนั่งในตำแหน่งของตัวเองได้อย่างมั่นคง แต่พวกเขาก็เลือกที่จะปฏิเสธมัน พร้อมกับพาผู้คนหลายคนเข้าต่อต้าน! ตอนนี้เจ้าลองเบิ่งตาดู ว่าลูกชายของพวกเขามีชีวิตเกิดมาเป็นยังไง!”
ท่าทีที่ประมุขแสดงออกมาบดขยี้ข้ออ้างของทุกคนในทันที ทำเอาพวกเขาพากันตกตะลึง หากไม่ใช่เพราะผู้อาวุโสใหญ่และผู้อาวุโสสามวางแผนขับไล่พวกเขาออกไป อี้หยวนหลงก็จะต้องขึ้นเป็นประมุขอย่างแน่นอน และอี้ซิงเฉินก็จะกลายเป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งผู้อาวุโสเช่นกัน
ส่วนระดับของอี้เทียนหยุนนั้นยิ่งร้ายกาจยิ่งกว่า การจะขึ้นเป็นผู้อาวุโสยิ่งไม่มีปัญหาเช่นกัน ด้วยพลังอำนาจที่โดดเด่น มันไม่เป็นเรื่องยากเลยที่จะได้ตำแหน่งผู้อาวุโส แต่ต่อให้จะไม่มีพลังจริงๆ อย่างน้อยก็ยังกลายเป็นผู้อาวุโสได้
คนที่แข็งแกร่งคือผู้ที่ผู้คนพากันเคารพนับถือ นี่เป็นเรื่องที่ไม่มีใครสงสัย
อี้เทียนหยุนมองลึกเข้าไปในตาของเขา ไม่แปลกที่สัวไค่เฟิงจะพูดอย่างมั่นใจ ฟังดูแล้วเหมือนเรื่องนี้จะเป็นความจริง เอาตรงๆ แล้ว หากไม่เป็นเพราะความโง่ของบางคน เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง พวกเขาคงไม่เป็นแบบนี้
และเมื่อดูจากกฎตอนนี้แล้ว ก็ไม่ได้ขัดกับกฎอะไร
ในตอนนี้ผู้คนต่างก็มองหน้ากันด้วยสีหน้าสับสน ฟังแล้วก็เป็นอย่างนี้จริงๆ ในฐานะคนของแดนศักดิ์สิทธิ์เฟิงเทียน พวกเขาต้องมีหน้าที่รับผิดชอบต่อเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
“ต่อให้เป็นอย่างนี้ก็ไม่ได้!” ในตอนนี้เอง ได้มีชายหนุ่มคนหนึ่งออกหน้า พร้อมกับมองมาที่อี้เทียนหยุนอย่างเย็นชา แล้วพูดขึ้นว่า “แม้ระดับของเขาจะแข็งแกร่งมาก แต่การจะเข้ารับมรดก จำต้องมีโชคชะตาของสายเลือดที่ไม่แย่ ได้ยินว่าโชคชะตาของเขาได้รับการตรวจสอบมาก่อนแล้ว มันต่ำมากจนแทบจะไม่มีเลยด้วยซ้ำ”
“ด้วยระดับของเขา การจะขึ้นเป็นผู้อาวุโสย่อมไม่มีปัญหา แต่จะให้เข้ารับมรดกนั้น มันเหมาะสมแล้วอย่างงั้นเหรอ? หากสายเลือดที่เบาบางอย่างเขายังเข้ารับมรดกได้ แล้วทำไมข้าถึงเข้ารับมรดกด้วยไม่ได้กัน?”
คนที่ออกมาก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นอัจฉริยะอันดับ 1 ของแดนศักดิ์สิทธิ์เฟิงเทียนคนปัจจุบัน อี้เฟยหลง! มองดูจากท่าทางที่เดือดดาลและโอหังของเขา เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ใช่พวกของใครคนอื่น แต่เป็นพวกของผู้อาวุโสใหญ่และผู้อาวุโสสาม
อี้เทียนหยุนมองไปยังคนผู้นี้ ระดับของอี้เฟยหลงถือว่าดี ยังหนุ่มแต่ก็ประสบความสำเร็จถึงระดับวิญญาณเที่ยงแท้ขั้นที่ 6 ที่ 7 แต่เมื่อเทียบกับเขาแล้ว ยังถือว่าห่างกันไกล
“เพี๊ยะ!”
อี้เทียนหยุนโบกมือใส่อากาศ ทำการซัดอี้เฟยหลงจนปลิวกระเด็นไป พร้อมกับกลิ้งไปอีกหลายตลบ ก่อนที่จะมองไปยังเขาแล้วพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “ตอนนี้เจ้ารู้แล้วหรือยัง?”
หากไม่ใช่ว่าปู่ของเขาเตรียมจะขึ้นเป็นประมุขและยังมีเรื่องอื่นๆ อีกล่ะก็ ป่านนี้เขาคงตบเจ้าหมอนี่จนตายไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง อยากจะสู้แต่ก็สู้ไม่ได้ ไม่ใช่ว่าเขานั้นใจดีเกินไป แต่ตามทฤษฎีแล้วอีกฝ่ายเป็นคนของตน ดังนั้นจะลงมือแรงไปก็ไม่ได้
อี้เฟยหลงมีสีหน้ามึนงง แน่นอนเลยว่าหากเขาไม่พอใจอีกฝ่าย เขาก็จะลงมือในทันที แต่ฟังจากคำพูดของอี้เทียนหยุน ยิ่งทำให้เขางงขึ้นไปอีก รู้ จะให้เขารู้อะไร เขาไม่รู้อะไรทั้งนั้น!
“เจ้า เจ้ากล้าทำร้ายข้าอย่างงั้นเหรอ!” อี้เฟยหลงพูดอย่างดุร้าย “ข้ายังไม่ได้ทำอะไร แต่เจ้ากลับกล้าลงมืออย่างไร้ความปรานี นอกจากการกดขี่ผู้อื่นแล้ว เจ้ายังทำอะไรได้อีก!”
“เพี๊ยะ!”
อี้เทียนหยุนตบเข้าที่หน้าอีกฝ่ายอีกครั้ง ทำให้เขาปลิวกระเด็นไป พร้อมกับเลือดกบปาก ตอนนี้ตัวเขาถูกตบจนเซ่อไปแล้ว
“ไร้ปรานีอย่างงั้นเหรอ? เจ้าต้องการบอกให้ศัตรูของเจ้ามีเมตตาอย่างงั้นเหรอ? ในโลกใบนี้ ล้วนนับถือกันที่กำลัง! คิดว่าใครจะถกเหตุผลกับเจ้าอย่างงั้นเหรอ? ในโลกใบนี้ หมัดใครใหญ่กว่า นั่นถึงจะเป็นฝ่ายถูก! ชนะเป็นเจ้า แพ้เป็นโจร มีเพียงผู้ชนะเท่านั้นที่จะเป็นราชาที่แท้จริง!”
อี้เทียนหยุนพูดอย่างเย็นชา “ตอนนี้หมัดของข้าใหญ่กว่า และเพียงแค่จุดนี้จุดเดียว ใครที่มันหาเรื่องข้า ข้าก็จะฆ่ามันซะ! หากว่าใครใจดีกับข้า ข้าก็จะตอบแทนอีกฝ่ายด้วยดี นี่ก็เป็นเรื่องธรรมดา อย่าได้ยกข้ออ้างสวยหรูหรือเหตุผลอะไรขึ้นมาอีก ต่อให้เป็นเหตุผลที่ถูกต้อง แต่ก็อย่าลืมดูหมัดของอีกฝ่ายด้วย เข้าใจหรือยัง ไอ้โง่!”
“กลุ่มคนที่เอาแต่กล่าวอ้างว่าตนนั้นสูงส่ง แต่ไม่เคยเข้าสู่สนามรบที่แท้จริงเลยสักครั้ง พวกเจ้าเคยไปยังเขตอันตรายกันกี่ครั้งกัน? เคยเข้าสู่สงครามเป็นตายสักครั้งไหม? ดูจากลูกนกอย่างพวกเจ้า ข้าก็รู้แล้วว่าไม่เคย แต่ละคนต่างก็เป็นดั่งลูกนกที่ถูกเลี้ยงในกรง เอาแต่ฝึกอยู่ที่นี่ หากว่าศัตรูที่แท้จริงโจมตีมา คนที่จะตายเป็นคนแรกก็คือพวกเจ้า! ก็แค่ขยะกลุ่มหนึ่ง หากไม่ใช่ว่าในอนาคตที่นี่จะกลายเป็นของปู่ของข้า ป่านนี้ข้าคงทำลายที่นี่ทิ้งไปนานแล้ว เมื่อถึงตอนนั้น ข้าอยากจะรู้นักว่าเหตุผลที่พวกเจ้ากล่าวอ้างขึ้นมายังจะมีประโยชน์อะไรหรือเปล่า หรือว่าหมัดของข้าจะมีประโยชน์กว่า!”
“เหตุผลอะไรล้วนแต่ไร้สาระทั้งนั้น มีแต่พลังที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้นถึงจะเป็นเหตุผลที่แท้จริง เป็นสิ่งที่ทำให้ทุกคนยอมสยบ หากไม่มีพลังก็อย่าได้เสนอหน้าแย้งขึ้นมา! ในตอนแรก แดนศักดิ์สิทธิ์เฟิงเทียนไม่ได้สร้างขึ้นมาเพราะเหตุผล แต่เป็นเพราะสองหมัดที่ร้ายกาจของตน พวกเจ้าเข้าใจหรือเปล่า!”
คำพูดของเขาทำให้ศิษย์ทั้งหลายต่างก็พากันสั่นสะท้าน แดนศักดิ์สิทธิ์เฟิงเทียนว่ากันตามกฎ ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่มีปัญหากัน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เคยผ่านสนามเลือดเลยสักครั้ง อย่าว่าแต่เขตอันตราย ที่อันตรายแบบนั้น พวกเขาไม่กล้าไปหรอก อย่างมากก็แค่สังหารสัตว์อสูรที่อ่อนแอที่ด้านนอกเท่านั้น
หลังจากพวกเขาได้ฟัง แต่ละคนต่างก็ตกใจ อายุก็ไม่ต่างกัน แต่ทำไมกลิ่นอายถึงได้ต่างกันนัก เห็นได้ชัดเลยว่าอีกฝ่ายได้ผ่านเหตุการณ์ต่างๆ มากมาย
พวกเขาก็เปรียบเสมือนดอกไม้ในเรือนกระจก ที่ไม่สามารถต้านรับลมฝนได้