ตอนที่ 747: แบกรับเสียงก่นด่า
ขณะที่อี้เทียนหยุนเล่าเรื่องราวคร่าวๆ ให้พวกเธอฟัง ก็ได้ทำให้พวกเธอพากันตกตะลึง ไม่คิดว่าจะมีเรื่องแบบนี้ด้วย นี่เป็นวิกฤตของสามโลก ที่ไม่มีใครจะสามารถโทษได้!
“ฝ่าบาท ระ เรื่องนี้ควรจะป่าวประกาศให้พันธมิตรรู้หรือไม่พะยะค่ะ!” หลังจากที่บรรพชนเผ่าภูตได้ฟัง ก็ค่อยๆ ได้สติคืนมาอย่างช้าๆ พร้อมกับพูดออกมาด้วยความตกใจ
คนอื่นๆ ก็พากันพยักหน้า คิดว่าสถานการณ์ที่อันตรายเช่นนี้ เป็นไปไม่ได้ที่พวกเธอจะแบกไว้เพียงลำพัง
“ท่านคิดว่าพอพวกเราประกาศออกไปให้พวกเขาฟังในตอนนี้ บอกว่าที่นี่กำลังเผชิญกับวิกฤต เพื่อที่จะรับมือกับปีศาจร้าย ดังนั้นจึงจำต้องร่วมมือกัน ท่านคิดว่าจะมีสักกี่คนที่จะเชื่อกัน?” อี้เทียนหยุนพูดอย่างไม่ใส่ใจ
ผู้คนพากันตกใจ ที่พวกเธอเชื่อในคำพูดของอี้เทียนหยุน หลักใหญ่ใจความเพราะว่าอี้เทียนหยุนคือผู้นำของพวกเธอ หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นมาพูดคำนี้ ความหมายของมันจะต้องต่างออกไปอย่างแน่นอน คนอื่นจะต้องคิดว่าเป็นคำพูดเหลวไหล หรือไม่ก็เป็นคำพูดที่หวังจะสร้างความหวาดกลัวให้กับผู้คน ต้องการที่จะหลอกคนอื่น
เรื่องนี้ผ่านมานานมากแล้ว คนที่รู้จึงมีเพียงส่วนน้อย อีกทั้งเรื่องนี้ยังผ่านมาเป็นหมื่นปี จะมีสักกี่คนกัน ที่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ถึงหมื่นปี? อย่างมากก็เป็นบันทึกที่เก็บเอาไว้ ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่มีแค่บางคนเท่านั้นที่รู้
ยังไงก็ตาม มีขุมอำนาจที่ร้ายกาจสักกี่แห่งกันที่มีประวัติมานับหมื่นปี? สถานการณ์ของขุมอำนาจต่างๆ ในโลกมนุษย์นั้นเปลี่ยนแปลงเร็วมาก และที่สำคัญคือการจำกัดขึ้นในโลก ทำให้ผู้เชี่ยวชาญระดับราชาวิญญาณช่วงท้ายทั้งหลายพากันออกไปจากที่นี่ เพื่อตามหาสถานที่ทะลวงระดับขึ้นไป
และเมื่อขาดผู้เชี่ยวชาญพวกนี้คอยบัญชาการ มรดกของพวกเขาจึงยากที่จะรักษาไว้ ทำให้ถูกโจมตีได้อย่างง่ายดาย พร้อมกับถูกขุมอำนาจใหม่ขึ้นมาแทนที่
อย่างเช่นวังเทียนจี๋เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด วังเทียนจี๋นั้นมีราชาวิญญาณเซวียนเทียนอยู่ แต่หลังจากที่ราชาวิญญาณเซวียนเทียนตาย ก็ได้ทำให้วังเทียนจี๋ตกต่ำลงอย่างรวดเร็ว แต่ว่าที่โลกสวรรค์และโลกใต้พิภพนั้นต่างกัน ผู้เชี่ยวชาญของพวกเขาไม่ได้ทิ้งสำนักไป ตราบเท่าที่ไม่ถูกสังหารไป พวกเขาก็สามารถรักษาและทำให้แดนศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขารุ่งเรืองขึ้นไปได้!
+
ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้อาณาจักรเล็กๆ ที่ไม่ได้สืบทอดมรดกอะไรพวกนี้ตกต่ำลง จึงเป็นไปไม่ได้เลยว่าพวกเขาจะรู้เรื่องการรุกรานของปีศาจร้าย แต่กับแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นต่างกัน พวกเขาจะต้องมีระดับบรรพชนหลายคนรู้เรื่องนี้อย่างแน่นอน ต่อให้จะไม่เห็นมาด้วยตาของตน แต่ก็ต้องมีบันทึกเอาไว้ กระทั่งว่าอาจจะมีคำสั่งเอาไว้ว่าห้ามต่อต้านหรือรุกรานแดนศักดิ์สิทธิ์เฟิงเทียนก็เป็นได้
แต่กับโลกมนุษย์นั้นไม่มี หากไปบอกกับพวกเขาว่าจะมีปีศาจร้ายออกมาโจมตี พวกเขาจะรู้สึกเหมือนกับมาหลอกพวกเขาเหมือนเป็นไอ้งั่ง กระทั่งอาณาจักรที่แข็งแกร่งที่สุดยังถูกพวกเขาจัดการ แล้วยังจะมาสร้างเรื่องแปลกๆ อย่างเรื่องปีศาจร้ายอะไรนี่ คงจะหาข้ออ้างเพื่อรวบรวมพวกเขาเข้าเป็นพันธมิตร และทำเหมือนกับพวกเขาเป็นคนโง่น่ะสิ
พวกเธอที่พากันคิดได้ถึงข้อนี้ก็พากันเงียบไป รู้ว่าต่อให้พูดไปก็ไม่มีใครเชื่อจริงๆ
“อืม เพราะไม่มีใครเชื่อ ข้าก็เลยจำต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมากพวกนั้นเพื่อเป็นข้ออ้างในการใช้ประโยชน์ จำต้องให้ผลประโยชน์กับพวกเขาเพื่อที่จะทำให้พวกเขาสาบานว่าจะเข้าร่วมด้วย เพราะหลังจากที่ก่อตั้งพันธมิตรแล้วเสร็จ เรื่องหลังจากนี้ก็ง่ายแล้ว” อี้เทียนหยุนพูดอย่างไม่ใส่ใจ
ผู้คนพากันพยักหน้า รู้ว่าต้องทำยังไง ทางที่ดีคือทำเหมือนกับการเจรจาทั่วๆ ไป ส่วนเรื่องปีศาจร้ายอะไรพวกนี้ เอาไว้ถึงเวลาที่เหมาะแล้วค่อยว่ากัน
“เทียนหยุน ข้าก็อยากจะช่วยเหมือนกัน มีเรื่องอะไรให้ข้าทำบ้าง?” ชิเสวี่ยอวิ๋นพูดออกมา
อี้เทียนหยุนยิ้มแล้วมองไปที่เธอพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ข้าบอกเหรอว่าจะไม่ให้ท่านทำอะไรน่ะ? ท่านเป็นจักรพรรดินี จึงมีเรื่องอีกมากให้ท่านต้องจัดการ ไม่อย่างนั้นแล้วข้าจะไปพาท่านกลับมาทำไม?”
ที่เขาพูดนี้แน่นอนว่าเป็นเรื่องโกหก แต่การที่เธอกลับมาย่อมมีเรื่องให้ทำเป็นธรรมดา เพราะถึงยังไงอยู่โลกสวรรค์เขาก็ไม่วางใจเท่ากับอยู่ที่นี่
“ไม่มีปัญหา ข้ารับประกันว่าสามารถช่วยเจ้าจัดการทุกอย่างได้อย่างแน่นอน” ชิเสวี่ยอวิ๋นเผยรอยยิ้มขึ้นมา จากนั้นก็รีบไปแจกแจงงานที่เร่งด่วนทันที
พวกเธอกลุ่มหนึ่งเริ่มพากันออกไปจัดการกับอาณาจักรที่อยู่ใกล้ๆ ก่อน ที่นี่มีอาณาจักรอยู่มากมาย ดังนั้นการก่อตั้งพันธมิตรนี้จึงมีงานให้ต้องทำมากมาย ยังไงก็ตาม อี้เทียนหยุนก็รู้อยู่แล้ว แม้เรื่องนี้จะเป็นเรื่องพิเศษ แต่ก็ไม่ได้หนักมากแต่อย่างใด
ตอนนี้ชื่อเสียงของอาณาจักรเทียนหยุนขจรขจายออกไปแล้ว การก่อตั้งพันธมิตรอะไรนั่น และการนั่งตำแหน่งผู้นำพันธมิตร ล้วนไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหานั้นอยู่ที่การจะทำให้ขุมอำนาจส่วนใหญ่เต็มใจยอมเข้าร่วมกับพันธมิตรของเขาหรือเปล่าต่างหาก
แต่ว่าต้องขอบใจเรื่องที่เขาทำเมื่อก่อนหน้า ที่ได้จัดการสังหารอาณาจักรไปมากมาย แล้วอย่างนี้ใครกันจะกล้าปฏิเสธ? เพราะหากปฏิเสธก็เท่ากับตาย! อี้เทียนหยุนนั้นไม่กังวลว่าพวกเขาจะซื่อสัตย์หรือไม่ แต่เรื่องสำคัญตอนนี้คือต้องตั้งพันธมิตรขึ้นมาให้ได้ก่อน จากนั้นเวลาเกิดเรื่องเร่งด่วน จะได้ลงมือสะสางได้เลย
เพราะถ้าหากไม่ก่อตั้งพันธมิตร แล้วเกิดสถานการณ์วิกฤตขึ้น การที่เขาสั่งการอะไรไปแล้วไม่มีใครฟัง นั่นจะเป็นสถานการณ์ที่อึดอัดมาก
“ฝ่าบาท การที่พระองค์ยอมเสียสละอย่างเงียบๆ เช่นนี้ พวกเขาคงไม่รู้ว่าแท้จริงแล้ว พระองค์ทำไปเพราะความปลอดภัยของโลกมนุษย์ แม้พวกเขาจะยอมจำนน แต่ก็เป็นความหวาดกลัว ไม่ได้รู้เลยว่าทั้งหมดนี้ทำเพื่อความปลอดภัยของพวกเขา…..” จิ่วหลิงจวินที่ยังไม่ไปไหนแถมยังดูโตขึ้นมาก หน้าตาของเธอยังคงธรรมดาเช่นกาลก่อน แต่จิตเต๋าของเธอนั้นมั่นคงแล้ว
“ไม่เป็นไร คนที่ด่าข้ามีอยู่มากมาย พวกเขาจะคิดยังไงก็ไม่เกี่ยวกับข้า” อี้เทียนหยุนมองไปที่เธอและยิ้มบางๆ ออกมา “ข้าคิดแค่เพียงว่า เมื่อเวลาวิกฤตที่แท้จริงมาถึง อย่างน้อยก็ยังสามารถรวบรวมกำลังเข้าต้านทานศัตรูได้ ข้าไม่ร้องขออะไรมากมายจากพวกเขา ขอเพียงแค่เมื่อมีศัตรูโผล่มา ทุกคนจะร่วมแรงร่วมใจกัน ช่วยกันลดความเสียหายและการบาดเจ็บล้มตายจากการต่อสู้ลงได้บ้างก็พอแล้ว”
ความตั้งใจแต่เดิมของเขาก็เป็นอย่างนี้ ถึงยังไงการต้านทานกับศัตรู รวมกันย่อมดีกว่าสู้ตัวคนเดียวเป็นไหนๆ เขาไม่ได้ทำสิ่งนี้เพื่อให้คนมารู้สึกสำนึกในบุญคุณ ที่เขาขอให้ทุกคนมารวมกันเพื่อสู้กับศัตรู ก็เพื่อลดการบาดเจ็บล้มตาย ลดการสูญเสียของคนอาณาจักรเทียนหยุนของเขา
ไม่อย่างนั้น เมื่อเวลามาถึง ทุกอย่างก็จะตกอยู่ในความสับสน การต่อสู้กับศัตรูก็อยู่ในความวุ่นวาย ทำให้ปีศาจร้ายสามารถเข่นฆ่าอยู่ที่โลกมนุษย์นี้ตามใจ เมื่อถึงตอนนั้น การสูญเสียจะต้องมากมายมหาศาลอย่างแน่นอน และเมื่อขุมอำนาจอื่นถูกกำจัดไป เมื่อถึงตอนนั้น มันก็จะส่งผลกระทบมาถึงที่นี่เช่นกัน
แล้วการร่วมมือกันต้านทานศัตรู ก็ดีกว่าต้องสู้ตัวคนเดียวอยู่แล้ว
“ได้ทำงานให้ฝ่าบาท ถือเป็นโชคดีทั้งชีวิตของเสี่ยวจิ่วคนนี้….” จิ่วหลิงจวินคุกเข่า พร้อมกับสายตาที่เต็มไปด้วยความเคารพและเลื่อมใส
“เอาล่ะ ไปทำงานของเจ้าเถอะ แต่ยังไงก็อย่าลืมเพิ่มพลังให้กับตนด้วยแล้วกัน เมื่อเวลานั้นมาถึง ข้าคงไม่สามารถปกป้องพวกเจ้าทุกคนได้…..” อี้เทียนหยุนส่ายหัว ยิ่งคิดถึงความทรงจำที่ราชาศักดิ์สิทธิ์เฟิงเทียนให้มา เขาก็ยิ่งรู้สึกกลัว
เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ ก็มีแต่ต้องแข็งแกร่งขึ้นไปเรื่อยๆ เท่านั้น!
หลังจากสั่งงานทุกอย่างเสร็จ เขาก็บินไปยังเกาะเทียนโหมวอย่างรวดเร็ว ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นที่ที่มีความทรงจำหลายอย่างกับเขา
“หากพวกเสียวหวู่ไม่ปิดด่านอยู่ล่ะก็ การพาพวกเขามาที่นี่คงจะช่วยอะไรได้เยอะเลย” อี้เทียนหยุนส่ายหัว ก่อนหน้าที่เขาจะกลับมา เขาได้ไปหาเสียวหวู่และพวกเหอหรงคุน พวกเขากำลังพากันปิดด่านอยู่ ซึ่งคงไม่สามารถออกมาในเวลาอันสั้น
และเมื่อเป็นอย่างนี้ เขาก็เลยพาแต่ชิเสวี่ยอวิ๋นกลับมาคนเดียว
อย่างรวดเร็ว เขาก็ได้มาถึงเกาะเทียนโหมว เพราะว่าก่อนหน้านี้เขาได้ทำลายมหาค่ายกลของที่นี่ไป ดังนั้นท้องฟ้าของที่นี่จึงไม่มีสัตว์อสูรอะไรอีก เป็นเพียงแค่เกาะธรรมดาเท่านั้น และเขาก็พบว่าเริ่มมีคนหาเกาะนี้พบแล้ว พร้อมกับกำลังสร้างเมืองเล็กๆ ขึ้น
การเปลี่ยนแปลงนี้ช่างน่าทึ่งจริงๆ ทำให้เขารู้สึกค่อนข้างประหลาดใจ ไม่คิดว่าเพียงแค่ไม่กี่ปี ที่นี่ก็แทบจะกลายเป็นเมืองแล้ว
“ดูเหมือนว่าตั้งแต่ที่ข้ากำจัดสัตว์อสูรออกไป หมอกอสูรของที่นี่ก็ได้หายไป ทำให้บางคนเข้าอาอยู่ที่นี่ ถึงยังไงที่นี่ก็เป็นที่ที่เหมาะสำหรับล่าและสังหารสัตว์อสูรที่ดีแห่งหนึ่ง……”
อี้เทียนหยุนสามารถเห็นผู้ฝึกตนจำนวนมากอยู่ในบริเวณนี้ ซึ่งพวกเขากำลังพากันล่าและสังหารสัตว์อสูรที่อยู่ในทะเล ของพวกนี้สามารถเอาไปขายเป็นเงินได้ ดังนั้นที่นี่จึงได้กลายเป็นเหมืองที่ไม่เล็กและก็ไม่ใหญ่จนเกินไป
แท่นบูชาเทพเติ้งเทียนนี้ จะอยู่ข้างล่างนี้หรือเปล่า?