ตอนที่ 749: อสูรทะเล
“เอ้า ฮึบ…..”
เมื่ออี้เทียนหยุนถูกดึงขึ้นเรือ เขาก็เห็นผู้ฝึกตนสี่คน ซึ่งแต่ละคนก็มีระดับที่ไม่สูงเท่าไหร่ เป็นเพียงผู้ฝึกตนระดับหลอมรวมเท่านั้น และผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือชายที่ตะโกนว่าให้ไปช่วยคน ซึ่งมีพลังอยู่ที่ระดับก่อแกนวิญญาณขั้นที่ 1
ซึ่งดูเหมือนว่าเพิ่งจะเลื่อนระดับขึ้นมาได้ไม่นาน และกำลังทำให้ระดับพลังมั่นคง ผู้ฝึกตนระดับนี้สำหรับที่นี่ถือว่าไม่ได้มีมากนัก การจะเห็นผู้เชี่ยวชาญระดับราชาวิญญาณเดินอยู่ทุกที่ เรื่องนี้ย่อมไม่มีทางเป็นไปได้ แม้แต่ระดับวิญญาณเที่ยงแท้เองยังยากที่จะเห็น
สำหรับผู้เชี่ยวชาญระดับวิญญาณเที่ยงแท้แล้ว ถือเป็นระดับของมหาจักรพรรดิในโลกมนุษย์ หรืออย่างแย่ก็เป็นถึงระดับแม่ทัพใหญ่ เป็นไปไม่ได้ที่จะมาล่าสัตว์อสูรในสถานที่แบบนี้ นอกเสียจากพวกผู้ฝึกตนพเนจรที่มีระดับต่ำ ผู้ฝึกตนทั่วๆ ไปไม่มีใครมาที่นี่กัน
แม้จะไม่กล้าบอกว่าผู้ฝึกตนทั้งหมดในเกาะโหมวหยุนเป็นผู้ฝึกตนพเนจร แต่อย่างน้อยส่วนใหญ่ก็เป็นเช่นกัน และระดับของพวกเขาก็อยู่ที่ประมาณระดับหลอมรวม ซึ่งระดับนี้ถือว่าสามารถใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ได้อย่างมั่นคง โดยที่ไม่ต้องกลัวสัตว์อสูรหน้าไหน
และจากการวิเคราะห์ในขั้นสุดท้ายแล้ว พวกเขามาที่นี่ก็เพื่อล่าสัตว์อสูรไปให้เจ้านาย ชิ้นส่วนของสัตว์อสูรและแก่นพลังของพวกมัน ถือว่าเป็นวัตถุดิบที่ค่อนข้างล้ำค่าสำหรับการกลั่นโอสถ สามารถพูดได้ว่าอี้เทียนหยุนนั้น มีพลังที่จะปกครองที่นี่ได้อย่างสมบูรณ์ และแน่นอนว่าในโลกสวรรค์และโลกใต้พิภพ เขาก็เป็นระดับเจ้าปกครองสูงสุดเช่นกัน
ตราบเท่าที่ไม่เป็นราชาศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ไม่กล้าบอกว่าตนไร้เทียมทาน แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่กลัวผู้เชี่ยวชาญระดับราชาเซียนหน้าไหนทั้งนั้น!
“ขอบคุณมาก” อี้เทียนหยุนยิ้มขอบคุณ เขาไม่ได้คิดจะจัดการอีกฝ่าย แต่รู้สึกขอบคุณจริงๆ
ในสถานการณ์เช่นนี้ การที่มีคนจิตใจดีเช่นนี้อยู่ ถือว่ามีไม่มากแล้วจริงๆ ถึงยังไงแล้ว ผู้ฝึกตนที่จิตใจดี ล้วนแต่มักจะถูกหลอก ทำให้ทั่วทั้งโลกต่างก็เมินเฉยต่อกัน
“ทำไมเจ้าถึงอยู่ในน้ำล่ะ หรือว่าเรือของเจ้าถูกโจมตีอย่างงั้นเหรอ?” หลินเฉียงมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า
ที่นี่ค่อนข้างไกลจากเกาะโหมวหยุน เรื่องบินได้หรือไม่คงไม่ต้องพูดถึง แต่สถานการณ์นี้สำหรับคนที่บินไม่ได้แล้ว ถือว่าเป็นพฤติกรรมที่รนหาที่ตายอย่างแท้จริง หากไม่มีเรือและคิดจะว่ายกลับไปยังเกาะโหมวหยุน พวกเขาคงจะถูกกัดกินจนแม้แต่กระดูกก็ไม่เหลือ
“ไม่ ข้าเพิ่งจะว่ายมาถึงที่นี่ และก็ถูกเจ้าช่วยไว้พอดี” อี้เทียนหยุนไม่ได้โกหก เขาเพิ่งจะว่ายมาถึงที่นี่จริงๆ และเรือของเขาก็ไม่ได้ถูกโจมตีด้วย
อีกสองคนที่เหลือใช้สายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยมองมาที่เขา ที่นี่อยู่ห่างจากเกาะไกลมาก ว่ายมาไกลถึงนี่ นี่เขาไม่กลัวตายเลยอย่างงั้นเหรอ?
“ลูกพี่ ไม่ว่าคนแบบไหนท่านก็ช่วย เจ้าเด็กนี่ดูแล้วไม่น่าไว้ใจเท่าไหร่ ที่พูดออกมาก็เหมือนว่าจะเป็นเรื่องโกหกด้วย บางที เจ้าเด็กนี่อาจจะไปหาเรื่องใครเข้าก็ได้ จึงได้ถูกโยนจากเรือ ข้าไม่เชื่อว่ามันจะว่ายจากเกาะโหมวหยุนจนมาถึงที่นี่ได้!”
“ใช่ มีความเป็นไปได้ว่ามันจะถูกเพื่อนร่วมทางทิ้งซะมากกว่า หรือไม่ก็คงไปทำเรื่องน่าอายอะไรสักอย่างเข้า!” สหายที่อยู่ข้างๆ พูดกระซิบเสียงเบา
แม้ว่าเสียงนี้จะเบามาก แต่อี้เทียนหยุนก็ได้ยินอย่างชัดเจน พร้อมกับเผยรอยยิ้มคลุมเครือออกมา แต่ก็เลือกที่นั่งเฉยๆ โดยที่ไม่พูดอะไรออกมา พวกเขาจะพากันคิดอย่างนี้ก็เป็นเรื่องปกติ ในน้ำเต็มไปด้วยสัตว์อสูรจำนวนมากที่อัดแน่นอยู่ข้างล่าง หากไม่ใช่ว่าระดับของเขาสูงพอ เกรงว่าคงจะถูกกินจนแม้แต่กระดูกก็ไม่เหลือ
เรือของพวกเขานั้นค่อนข้างพิเศษ มันสามารถหลบเลี่ยงการตรวจจับของสัตว์อสูรได้ ดังนั้นจึงสามารถแล่นในที่นี่ได้อย่างปลอดภัย หากเปลี่ยนเป็นเรือทั่วไปแล้วล่ะก็ ป่านนี้ถูกทำลายจนแหลกเป็นชิ้นๆ แล้ว
เมื่อสัตว์อสูรพวกนี้รู้สึกว่ามีคนบุกรุกเข้ามาในถิ่นของพวกมัน แน่นอนว่าพวกมันย่อมไม่มีทางให้ความเกรงใจอย่างแน่นอน
หลินเฉียงโบกมือใหญ่ๆ ของเขา แล้วพูดอย่างจริงจังว่า “เรื่องนี้จะเป็นยังไงก็ช่างเถอะ ถึงยังไงพวกเราก็จะกลับกันอยู่แล้ว ได้ช่วยชีวิตคนๆ หนึ่งไว้ ยังไงก็เป็นเรื่องดีอย่างแน่นอน”
“ลูกพี่ หรือท่านลืมเรื่องคราวก่อนไปแล้ว? คราวนั้นท่านช่วยเจ้าเด็กนั่นไว้ แต่ใครจะรู้ว่าเจ้าเด็กนั่นกลับขโมยสัตว์อสูรที่พวกเราล่ามาด้วยความยากลำบากไป มารดามันเถอะ หากว่าข้าเจอมันอีกล่ะก็ ข้าจะสับมันให้เป็นชิ้นๆ เลย!”
ประโยคนี้พูดออกมาด้วยเสียงค่อนข้างดัง ไม่ได้มีความคิดที่จะปกปิด เหมือนตั้งใจจะให้เป็นคำเตือนสำหรับอี้เทียนหยุน
“เอาล่ะ เอาล่ะ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเป็นเขานี่” หลินเฉียงพูดอย่างจริงจัง “ข้าเองก็เคยถูกช่วยมาก่อน หากว่าไม่มีคนช่วยข้าไว้ ป่านนี้ข้าเองก็คงตายไปแล้ว! ถึงยังไงการช่วยเหลือคนก็ไม่ใช่เรื่องผิด และก็ไม่ได้มีโอกาสบ่อยๆ ด้วย”
“น้องชายท่านนี้ ต้องขอโทษเจ้าด้วย ที่น้องชายสองคนของข้าอาจจะพูดอะไรไม่เข้าหู หวังว่าเจ้าอย่าได้ใส่ใจ” หลิงเฉียงพูดด้วยความรู้สึกผิด
“ไม่เป็นไร ข้าเข้าใจความรู้สึกพวกเขาดี” อี้เทียนหยุนส่งยิ้มไปให้ เรื่องแบบนี้เขาเห็นบ่อย ดังนั้นจึงไม่ได้ตกใจต่อสายตาแปลกๆ พวกนั้น
“เอาล่ะ หันหัวเรือได้ พวกเราต้องกลับกันแล้ว” หลินเฉียงบอกน้องชายของเขาให้หันหัวเรือ พร้อมกับแล่นกลับไปยังเกาะโหมวหยุน
แม้จะเป็นอย่างนั้น แต่สองคนนั้นก็ยังคงมองมาที่นี่ด้วยความระมัดระวัง ยังรู้สึกไม่วางใจ หากว่าอยู่ๆ ถูกลอบโจมตีขึ้นมา พวกเขาคงต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่แน่นอนว่าอี้เทียนหยุนย่อมไม่ลอบโจมตี กลับกัน เขากลับถามขึ้นมาแทน “พี่ใหญ่ท่านนี้ ไม่ทราบว่าเจ้ารู้เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเร็วๆ นี้ของที่นี่หรือเปล่า? ข้าเพิ่งมาที่นี่ได้ไม่นาน ดังนั้นจึงไม่ค่อยเจ้าใจเรื่องที่นี่นัก”
“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างงั้นเหรอ? แล้วเจ้าอยากจะรู้เรื่องอะไรล่ะ?” ขณะหลินเฉียงพายเรือไป ก็ได้พูดขึ้น “ข้าอาศัยอยู่ที่นี่มานาน ทั้งยังเป็นผู้ที่ร่วมสร้างเมืองโหมวหยุนขึ้นมา พูดได้ว่าเป็นรุ่นบุกเบิกก็ยังได้”
“อย่างนั้นเหรอ….” อี้เทียนหยุนตาเป็นประกาย ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเป็นรุ่นบุกเบิก ที่อาศัยอยู่ที่นี่ตั้งแต่ที่สร้างเมืองขึ้น “ไม่ทราบว่าที่นี่มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง อย่างเช่นว่าใต้น้ำได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างหรือเปล่า”
“การเปลี่ยนแปลงที่ใต้น้ำอย่างงั้นเหรอ?” หลินเฉียงพลันเอามือตบหน้าขาพร้อมกับร้องอุทานออกมา “เหมือนว่าประมาณปีที่แล้ว อยู่ๆ น้ำทะเลก็พลันเกิดคลื่นยักษ์ พวกเขาคิดว่าต้องเป็นพายุเข้าแน่ๆ แต่ใครจะคิดว่าจะเห็นวิหารแห่งหนึ่งใต้ทะเลกำลังเคลื่อนที่อยู่ข้างล่างอย่างช้าๆ! พร้อมกับเคลื่อนที่ไปยังฝั่งทางเหนือ ด้วยความเร็วที่ไม่เร็วแต่ก็ไม่ช้า เรื่องนั้นทำให้พวกเราตกใจจริงๆ!”
“หลายคนพากันออกไปตามหา แต่ก็ถูกสัตว์ทะเลฆ่า ตอนนั้นสัตว์ทะเลโผล่ออกมามากจริงๆ อัดกันแน่นเต็มทะเลไปหมด ในช่วงที่วิหารนั่นเคลื่อนที่ ช่างเป็นเรื่องที่น่ากลัวจริงๆ ใครจะคิดว่าใต้เกาะโหมวเทียนจะมีวิหารใหญ่ขนาดนั้นอยู่?”
“ในตอนนั้นไม่มีใครกล้าที่จะตามไปสักคน เพราะด้านล่างมีสัตว์อสูรมากเกินไป อีกทั้งรูปร่างยังคล้ายกับสัตว์ทะเลด้วย เหมือนจะเป็นสัตว์ทะเลครึ่งคน อีกทั้งปากยังสามารถพูดได้ด้วย จะไปเหมือนกับสัตว์อสูรที่โง่เง่าที่ไหนกัน”
หลินเฉียงส่ายหัว ขณะที่สายตาเผยความกลัวออกมาหลายส่วน เหมือนแค่นึกถึงก็รู้สึกกลัวแล้ว
“อสูรทะเล!”
อี้เทียนหยุนหรี่ตา ไม่คิดว่าคนที่ทำจะเป็นอสูรทะเลกลุ่มหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นอสูรทะเลที่มีสภาพครึ่งคนด้วย เขานั้นไม่เคยเห็นจากที่นี่จริงๆ โลกมนุษย์ค่อนข้างกว้าง และเขาก็ใช่ว่าจะเคยไปมาทุกที่ ดังนั้นการที่ไม่เคยเห็นอสูรทะเลพวกนี้จึงเป็นเรื่องธรรมดา
ยังไงก็ตาม ทะเลนี้ก็กว้างมากจริงๆ กระทั่งมองไปยังมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด ยากที่ใครจะคิดว่าทะเลนี้มีอาณาเขตกว้างใหญ่แค่ไหน
แต่ทันใดนั้นเขาก็พลันนึกถึงเรื่องสำคัญได้ อสูรทะเลพวกนั้นพากันเคลื่อนย้ายวิหารออกไป ไม่รู้ว่าจะเคลื่อนย้ายไปทำไม หรือคิดจะเคลื่อนย้ายวิหารนี้ไปเป็นวิหารของตน
“แล้วนอกจากนี้ยังมีเรื่องอะไรอีกไหม?” อี้เทียนหยุนถาม
“ถ้างั้นคงเป็นเรื่องที่หมอกของเกาะโหมวหยุนแห่งนี้ที่อยู่ๆ ก็หายไปนั่นล่ะ แต่ตั้งแต่ที่ข้ามา หมอกนั่นก็ได้หายไปแล้ว เหมือนกับไม่เคยมีมาก่อน” หลินเฉียงส่ายหัว ไม่ได้คิดถึงเรื่องอะไรอีก