สีหน้าของซูเมิ่งก็ซับซ้อนเหมือนกัน เธอแค่เบื่อหน่ายงานเลี้ยงอย่างนี้ จึงได้ไปหาที่หลบเงียบๆ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้ยินและเห็นความลับที่น่าทึ่งขนาดนี้ เพราะความเห็นแก่ตัว……เธอไม่ได้วิ่งออกมาปกป้องเจี่ยนถงทันที ก็เพราะช็อกกับสิ่งที่พูดออกมาจากปากของเว่ยซือซานเกี่ยวกับฐานะและอดีตของเจี่ยนถงที่ ซูเมิ่งลังเล ไม่ได้วิ่งออกมาให้ทันท่วงที
ซูเมิ่งย่อตัวเก็บเช็คบนพื้นขึ้นมา แล้วยื่นมาที่ตรงหน้าของคาย์อัน “ฉันรู้จักคุณ คาย์อัน” เธอหัวเราะเบาๆทีหนึ่ง จากนั้นสายตาได้มองไปที่เช็คอีกครั้ง “เช็คห้าแสนใบนี้ อยู่ในค่ำคืนนั้น ก็คือทุกอย่างของเด็กโง่คนนั้น คือชีวิตของเธอ แต่ตอนนี้ สำหรับเด็กโง่คนนั้นแล้วไม่มีค่าอะไรเลย”
ซูเมิ่งพูดจบได้คลายนิ้วมือทั้งสองออก เช็คใบนั้นก็ได้ตกลงสู่พื้น เธอยกฝีเท้าแล้วได้เดินออกไปอย่างรีบเร่ง
คาย์อันตกใจ จึงได้ตะโกนเรียกอยู่ข้างหลังซูเมิ่ง “คุณรอก่อน! ทำไมคืนนั้น เช็คใบนี้คือทุกอย่างของเธอ แต่ตอนนี้กลับไม่มีค่าอะไรเลย? เงินห้าแสนนี้ก็ยังเป็นเงินห้าแสนนั้นอยู่ ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย!”
ซูเมิ่งหัวเราะเบาๆทีหนึ่ง ไม่ได้ตอบคำถามของคาย์อัน แต่นาทีที่ก้าวเท้าออกจากประตู กลับได้พูดคำพูดกับคาย์อันอย่างตอบไม่ประเด็น
“นาทีนี้ฉันมั่นใจ เธอไม่ได้ให้ร้ายและฆ่าคน เด็กโง่คนนั้นไม่ไปทำเรื่องต่ำช้าอย่างงั้นหรอก!”
ซูเมิ่งพอพูดจบ ก็ได้ก้าวฝีเท้าให้ไวขึ้น……ถ้าเด็กโง่คนนั้นให้ร้ายและฆ่าคนล่ะก็ ก็ไม่ย่ำแย่ถึงขั้นนี้แล้ว แต่เมื่อครู่ตัวเองเกือบจะหลงเชื่อซะแล้ว——ก็มันมีแรงโน้มน้าวซะขนาดนั้น
ถ้าเจี่ยนถงไม่ได้ทำ ทำไมต้องติดคุก?
ถ้าเจี่ยนถงไม่ได้พูด ทำไมแม้แต่พ่อแม่บรรเกิดเกล้าของเธอก็ยังไม่นับเธอเป็นลูกเลย?
ถ้าเจี่ยนถงไม่ได้ทำ แล้วเสิ่นซิวจิ่นจะลงมือกับเธอได้อย่างไร?
คุณดู……แนวความคิดสากลอย่างนี้ บนโลกใบนี้คอยฉายซ้ำๆอยู่ทุกวัน ไม่ใช่แค่เรื่องของเจี่ยนถงเท่านั้น
คดีดังของบางประเทศกล่าวไว้ว่า ถ้าคุณไม่ได้ชนคน ทำไมต้องไปพยุงผู้ประสบภัยคนนั้นด้วย?
ทำเอาซะตอนนี้ใครๆก็ไม่กล้าทำเรื่องดีแล้ว
ซูเมิ่งวิ่งออกไปตาม……เวลานี้ จะปล่อยให้เด็กโง่คนนั้นอยู่คนเดียวไม่ได้
แต่เธอวิ่งตามออกไป หายังไงก็หาคนไม่เจอ……ไม่น่าหนิ ขาของเด็กโง่คนนั้นไม่สะดวก ทำไมแค่ระยะเวลาสั้นๆก็วิ่งจนหาไม่เจอแล้วล่ะ?
แต่ เด็กโง่คนนั้นได้หายตัวไปจริงๆ!
ซูเมิ่งพูดอีกว่า หรือเธอจะกลับไปที่หอพักแล้ว?
มาถึงหอพักของเจี่ยนถงอย่างเร่งรีบ เธอได้ใช้กุญแจสำรองเปิดประตู ด้านในไม่มีคน เธอก็พูดอีกว่า เด็กโง่คนนั้นอาจจะอยู่ระหว่างเดินทางอยู่ ซูเมิ่งก็ได้รออยู่ในหอพักของเจี่ยนถงไป40นาที แต่รอยังไงก็ไม่เห็นเธอกลับมา
ตอนนี้เธอก็กลัวว่าเจี่ยนถงจะยังอยู่ในงานเลี้ยงไม่ได้ออกมาอีก พอคิดแบบนี้ก็ได้ลงจากตึกอย่างเร่งรีบและขับรถไปที่งานเลี้ยงอีก พอถามบริกรทั้งหมดต่างก็บอกว่าไม่เห็นเจี่ยนถงเลย จากนั้นเธอก็ได้หาทุกที่ที่สามารถหาได้อีกรอบหนึ่ง
เธอพูดอยู่ในใจอีกว่าหลังจากที่เธอออกมาจากหอพักของเจี่ยนถง เจี่ยนถงก็ได้กลับบ้านไปแล้ว?
พอคิดแบบนี้เธอก็รีบโทรหาผู้จัดการสวี่อีก ให้ผู้จัดการสวี่ไปดูที่หอพักของเจี่ยนถงว่าเธอกลับมาหรือยัง ไม่นานผู้จัดการสวี่ก็ได้โทรมาหาบอกเธอว่าในห้องของเจี่ยนถงไม่มีคนอยู่
ซูเมิ่งก็คิดอีกว่า ถ้าเกิดเจี่ยนถงยังอยู่ที่ตงหวงล่ะ เธอได้รีบโทรหาผู้จัดการสวี่อีก คำตอบที่ได้ไม่ค่อยสู้ดีนัก
ซูเมิ่งดูนาฬิกาแว๊บหนึ่ง ตอนนี้ได้ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงครึ่งแล้ว
ทันใดนั้นเธอรู้สึกวิตกกังวล!
เด็กโง่คนนั้นคงไม่ใช่เกิดเรื่องอะไรขึ้นมั้ง……เพราะเพิ่งผ่านเรื่องพวกนั้นมา ขอแค่เป็นคนก็คงยากที่จะยอมรับได้ทั้งนั้นแหละ ถ้าเกิดเด็กโง่คนนั้นคิดสั้นขึ้นมาล่ะ?
สีหน้าของซูเมิ่งลังเล สุดท้ายเธอได้กัดฟันไว้อย่างโหด พร้อมล้วงมือถือออกมา “ประธานเสิ่นคะ เจี่ยนถงหายตัวไปค่ะ!”
หนังตาของผู้ชายที่อยู่ในสายกระตุก แต่สีหน้ากลับสงบเยือกเย็น “พูดให้ชัดเจน”
ซูเมิ่งก็ไม่รู้ว่าตนเองทำถูกหรือเปล่า……แต่ว่า หลังจากที่เกิดเรื่องเมื่อครู่ขึ้น เธอไม่เคยเห็นรอยยิ้มที่ค่อยๆเพิ่มมากขึ้นจากใบหน้าของเด็กโง่คนนั้นเลย แต่ตอนนี้ คนที่ทำให้ใบหน้าของเด็กโง่คนนั้นมีรอยยิ้มเพิ่มขึ้น ได้เป็นคนจ้วงแทงเด็กโง่คนนั้นเอง!
ถ้าเซียวเหิงจ้วงแทงเจี่ยนถงแผลหนึ่ง งั้นพ่อแม่และพี่ชายของเจี่ยนถง ก็คือคนที่จ้วงแทงเจี่ยนถงแผลที่สอง!
ไม่เจ็บจริงเหรอ?
ไม่แคร์จริงเหรอ?
ถ้าไม่เจ็บ ไม่แคร์ คนที่ขัดสนเงินขนาดนั้น คนที่ปกติแทบจะใช้เงินอย่างประหยัดสุดๆ จะมองข้ามเงินกล่องนั้นแล้วเดินขากะเผลกไปแบบนี้เฉยเลยได้อย่างไร?
ถ้าไม่แคร์จริงๆ ตามนิสัยหัวดื้อยิ่งกว่าวัวอย่างเด็กโง่คนนั้นแล้ว จะปฏิเสธเรื่องที่ตนเองให้ร้ายเซี่ยเวยเหมิงต่อหน้าผู้คนมากมาย และถามเซียวเหิงว่าเชื่อเธอหรือเปล่าทำไม?
นาทีนี้ซูเมิ่งนึกแล้วจู่ๆก็รู้สึกสะเทือนใจ……เด็กโง่คนนั้น ปกติปากของเธอก็เหมือนหอยแมลงภู่ แงะก็แงะไม่ออก แต่ภายใต้สถานการณ์แบบนี้กลับถามเซียวเหิงว่าเชื่อเธอหรือเปล่า
เด็กโง่คนนั้นคงใช้เรี่ยวแรงที่มีทั้งหมด ถึงได้ถามเซียวเหิงว่า“เชื่อฉันหรือเปล่า”แบบนี้ออกมา
แต่นาทีนี้ เธอหาเด็กโง่คนนั้นไม่เจอ ทั้งๆที่ขาไม่สะดวก เดินได้ไม่ไกล แต่ตนเองหาจนทั่วก็ไม่เจอเงาของเด็กโง่คนนั้นเลย……ซูเมิ่งอกสั่นขวัญหาย กลัวเด็กโง่คนนั้นจะเกิดเรื่องขึ้นมาจริงๆ
เธอไม่กล้าปิดบังคนที่อยู่ในสาย จึงได้รายงานเรื่องที่เห็นไปอย่างละเอียดยิบ
แววตาของผู้ชายที่อยู่ในสายมีความกังวลแว๊บผ่าน “ฟึบ” เขาลุกขึ้นมา “คุณไปหาดูอีกที ผมจะไปเดี๋ยวนี้!”
ไม่มีคำพูดที่มากกว่า พอวางสายทิ้งผู้ชายก็ได้หยิบกุญแจ แล้วเดินไปที่คลังรถยนต์อย่างเร่งรีบ
อยู่หน้าประตู เขาได้เรียกเสิ่นยีกับเสิ่นเอ้อ “ปลุกพวกเขาตื่นให้หมด ไปกับฉันหมดเลย”
น้ำเสียงออกคำสั่งที่เย็นชา ทำให้เสิ่นยีกับเสิ่นเอ้อต่างตกใจไปตามๆกัน ทั้งสองสบตากัน นี่คือเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้น?
ไม่กล้าฝ่าฝืนคำสั่ง เสิ่นยีรีบไปขับรถ ส่วนเสิ่นเอ้อก็ได้ไปปลุกคนที่เหลือ
“ไม่ต้องให้นายขับรถ นายไปพร้อมกับพวกเสิ่นเอ้อเลย”
ผู้ชายปฏิเสธอย่างเด็ดขาด ไม่ให้เสิ่นอีคอยติดตามด้วย
เขาได้บอกที่อยู่ให้กับเสิ่นยี จากนั้นตนเองได้เหยียบคันเร่งและถอยรถออกจากคลังรถยนต์ พวงมาลัยหมุนอย่างรวดเร็ว อยู่ในค่ำคืนที่เงียบสงัดนี้ เสียงที่ดังสนั่นแสบแก้วหูมากเป็นพิเศษ
เสิ่นยีม่านตาหดกะทันหัน รวมตัวกับเสิ่นเอ้อและคนอื่นๆที่มาอย่างเร่งรีบ “เกรงว่าคืนนี้คงไม่ได้นอนแล้ว ขับคนละคันกันเถอะ”
ดูท่าคือเกิดเรื่องใหญ่แล้ว คนเยอะรถเยอะ สะดวกกับการขับรถกันคนละคันและเคลื่อนไหวคนเดียว
เสิ่นยีไม่มีความคิดเห็น บอดี้การ์ดหกคนที่ผ่านการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีต่างก็ได้ขึ้นรถเบนซ์ไปคนละคน รถทั้งขบวนขับออกจากคฤหาสน์ อลังการไม่เบาเลย
ความเคลื่อนไหวใหญ่โตขนาดนี้ ย่อมกระทบการพักผ่อนของพ่อบ้านอยู่แล้ว พ่อบ้านมองออกไปทางหน้าต่าง แววตามีความสงสัยโผล่ขึ้นมา
คิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาได้โทรหาเสิ่นยีอีก “มีเรื่องอะไรเหรอ?”
“มีเรื่องเร่งด่วนครับ” เสิ่นยีพูดแค่ดำเดียวก็ได้วางสายทิ้ง“เรื่องเร่งด่วน”งั้นก็แสดงว่าเสิ่นยีก็ไม่รู้ว่าเรื่องอะไร งั้นน่าจะเป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกะทันหัน
“เอี๊ยด”เสียงหนึ่ง เสียงเบรคที่เร่งรีบ กับเสียงล้อรถยนต์เสียดสีกับพื้นอย่างรวดเร็ว ซูเมิ่งมองไป หน้าประตูมีรถจอดอยู่คันหนึ่ง เธอรีบวิ่งไปอย่างไว
ผู้ชายที่อยู่ในรถลงจากรถอย่างไว “หาเจอรึยัง?” ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชาสุดๆ
“ยังค่ะ ฉันผิดเองที่มัวแต่ไปพูดจาไร้สาระกับคาย์อัน ไม่งั้นก็ไม่ทำให้เจี่ยนถงวิ่งหายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้วค่ะ” ซูเมิ่งร้อนรนใจจริงๆ เลยไม่แคร์ว่าเหมาะสมหรือเปล่า “ประธานเสิ่นว่าเด็กโง่คนนั้น ผ่านการถูกทิ่มแทงใจติดกันสองแผล จะคิดไม่ตกแล้วฆ่าตัวตายหรือเปล่าคะ?”
ใต้แสงไฟข้างถนนที่มืดสลัว ผู้ชายรู้สึก“ตกใจ” รู้สึกใจหายในชั่วขณะ แววตามีความตื่นเต้นแว๊บผ่าน ใบหน้าหล่อเหลากลับยิ่งเย็นชา ไม่เผยให้เห็นความรู้สึกเลยสักนิด “หุบปาก เธอไม่อ่อนแอขนาดนี้หรอก”