“เมื่อกี้คุณบอกว่า คุณหนูเจี่ยนละเมอเป็นชื่อผมเหรอ?” ถ้าหากฟังไม่ผิดละก็ “อะลู่” คงจะหมายถึงเขาใช่ไหม?สีหน้าลู่เชนดูแปลกใจ……แฮ่กแฮ่กแฮ่ก ตัวเองคงจะมีเสน่ห์มากเกินไป?เพราะจากวันนั้นที่เซียวเหิงพาเจี่ยนถงมารับการแต่งตั้ง เขากับเจี่ยนถง ก็ได้เจอกันเพียงแค่ครั้งเดียว
“เสิ่นซิวจิ่น เธอละเมอว่า ‘อะลู่’ จริงเหรอ?” มันดูน่าแปลกใจมาก ลู่เชนทำท่าเหมือนจะตาย
เขายังพูดไม่จบ คนที่โทรมาอีกด้านก็ตัดสายไปแล้ว
“ฮะโหล?ฮะโหล?เสิ่นซิวจิ่น คุณยังไม่ตอบผม!”
สายฝั่งนั้น เสิ่นซิวจิ่นตัดไปแล้ว
ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้ยินเธอละเมอเรียกชื่อ ‘อะลู่’ สองคำออกมาแล้ว ถ้าหากไม่ใช่ลู่เชน……แล้วจะเป็นใคร?
เขากำมือแน่น แล้วค่อยๆ เคาะลงบนโต๊ะทำงาน จู่ๆ ก็หยุดลง แล้วรีบโทรหาเสิ่นยี “นายไปตรวจสอบดู ในคุกมีคนที่ชื่อ ‘อะลู่’ หรือเปล่า”
เห็นได้ชัดมากกว่า เสิ่นซิวจิ่นแม้ว่าจะไม่สามารถมั่นใจว่าในสามปีก่อนนั้นจะมีคนที่ชื่อ ‘อะลู่’ อยู่ข้างกายเจี่ยนถงหรือไม่ แต่ว่าหลังจากสามปีที่เธอกลับมา เวลาละเมอก็จะมีแต่ชื่อนี้ อย่างงั้นเบาะแสที่สามารถสืบหาได้ก็คงอยู่ที่คุก——คุกที่เธออยู่มาสามปี!
เขาหันหลัง แล้วกลับเข้าไปในห้องทำงานอีกครั้ง
ผู้หญิงที่หลับบนโซฟานั้น หลับลึกมา ไม่มีทีท่าว่าจะตื่นเลย
เขาจึงนั่งลงด้านหลังโต๊ะทำงาน เลขาจึงเข้ามา “ประธาน……” ”
เลขาพึ่งจะพูดขึ้น ก็พลันมองเห็นเขายกมือขึ้นมาที่ปาก เพื่อบอกให้เบาๆ แล้วส่งสายตาไปที่โซฟา เลขาคนนั้นมองตามสายตาของเขาไปทันที แล้วเห็นผู้หญิงนอนอยู่บนโซฟา ในตอนนั้นเธอจึงรีบพยักหน้าเพื่อบอกว่ารับทราบ
เธอไม่พูดอะไร แล้วเดินเข้ามาห้องทำงาน แต่เสียงของรองเท้าส้นสูงนั้นไม่สามารถทำให้เบาได้ เธอจึงถูกเขาส่งสายตาต่อว่าอีกครั้ง เลขาผู้น่าสงสารหัวใจเต้นตึกตักตึกตักอย่างกังวล แล้วพยายามรีบเขย่งเท้าเดินอย่างเร็ว
ดูแล้ว เรื่องแบบนี้ คงจะมีเพียงผู้หญิงเท่านั้นที่รู้ ใส่ส้นสูงเจ็ด แปดนิ้ว แล้วก็ต้องเขย่งเท้าเดิน เรื่องนี้ถือว่าเป็นสุดยอดสิบเรื่องเลยก็ว่าได้!
ยากมากกว่าจะเดินมาถึงหน้าห้อง แล้วเอาเอกสารวางที่โต๊ะ พร้อมกับกดเสียงให้เบาแล้วพูดขึ้น “ประธานเสิ่น เอกสารนี้ต้องเซนต์ค่ะ”
เลขาเห็นเจ้านายเซนต์ลงไปเรียบร้อย อย่างสบายใจ แต่เธอกลับรู้สึกขมขื่น เพราะดูเขาเซนต์ชื่อแสนจะง่าย แต่การที่เธอเอาเอกสารเข้ามา แล้วต้องเอาออกไปอีกนั้น……แทบจะเอาชีวิตไม่รอดเลย
แต่ว่า เป็นครั้งแรกเลยที่เห็นเจ้านายที่หน้าตาเย็นชามาตลอด ดูกังวลและเป็นห่วงคนคนหนึ่ง แล้วก็ทำให้รู้สึกสงสัย จึงหันไปเหลือบมองตรงโซฟา……เอ่อ ผิดหวังแล้ว
ผู้หญิงธรรมดาเอง……
มองไปมองมาก็เริ่มมีความรู้สึกอยากรู้อยากเห็น จึงจ้องมองอย่างละเอียด ดูแล้ว ยิ่งมองนานก็ยิ่งเหมือน
ขณะนั้น เธออดไม่ได้จึงถามขึ้น “ประธานเสิ่น ผู้หญิงคนนี้……คล้ายกับคุณหนูเจี่ยนในสมัยก่อนเลย”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเธอตกใจจนเผลอพูดดังไปหรือว่าเป็นเพราะแอร์ที่เย็นมาก ผู้หญิงที่หลับบนโซฟา จึงได้ลืมตาขึ้น ตอนที่ลืมตาศีรษะก็ยังอยู่ในท่าผิดปกติ
เธอกะพริบตาไปมา แล้วมองภาพด้านหน้า พร้อมกับหันไปมองรอบๆ พอสายตาไปสะดุดเข้ากับเสิ่นซิวจิ่นตรงโต๊ะทำงาน จังหวะนั้นเธอก็ตื่นทันที
“มา มานี่ เจี่ยนถง” เขาเรียกเธอที่พึ่งตื่นไปหาเขาที่โต๊ะ
ดูจากท่ากวักมือเรียกแล้ว เจี่ยนถงอึ้งทันที เลขาเองก็อึ้งไปเหมือนกัน……เอ่อ……
“คุณ……คุณหนูเจี่ยนเหรอ?” เลขาพูดขึ้นอย่างตกใจ
เจี่ยนถงสัมผัสได้ถึงสายตาที่ไม่อยากเชื่อของเลขา ตัวเธอแข็งทื่อทันที
“คุณคือ……เจี่ยนถง?” ดูเหมือนเลขาจะยังไม่เชื่อ พร้อมกับเดินตรงไปที่โซฟา
สีหน้าเจี่ยนถงซีดขึ้นมาอีกครั้ง การโดนคนจับจ้องแบบนี้ และยิ่งเป็นสายตาที่มองแบบไม่อยากเชื่อ ทำให้เธอไม่สามารถรับตัวเองได้
สายตาแบบนี้ เหมือนกับเป็นการตอกย้ำเธอ ว่าในสามปีนั้นผ่านความทรมานพวกนั้นมา เธอต้องการอยู่แบบการเคารพรักกัน เธอเองก็อยากอยู่แบบมั่นใจและน่าเกรงขาม……
“เลขาตู้” เธอพูดออกมาด้วยเสียงประหม่าและใบหน้าขาวซีด “ไม่เจอกันนานเลย”
ขนาดการทักทาย ยังฟังดูไม่มีชีวิตชีวาเลย
เลขาตู้แทบไม่อยากเชื่อเลยว่า ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าตัวเองเป็นเจี่ยนถงคนที่ดูน่าเกรงขามคนนั้นจริงๆ !
“คุณเป็นอะไร……” ทำไมถึงเปลี่ยนไป……เลขาตู้อยากถามแบบนี้ จู่ๆ ก็คิดได้ว่าดูไม่เหมาะสม จึงไม่ได้พูดออกไป จังหวะนั้นก็รู้สึกประหม่าจึงพูดขึ้น “คุณหนูเจี่ยน ฉันขอตัวออกไปทำงานก่อนนะ”
เธอพูดพลางเดินออกไปจากห้องทำงานของประธานทันที
ไม่รู้ว่าตอนไหน ที่เสิ่นซิวจิ่นยืนขึ้น พร้อมกับเดินมาทางนี้ แล้วยกแขนขึ้นเพื่อดูเวลา “ไปกันเถอะ ได้เวลาแล้ว ลงไปกินข้าวข้างล่างกัน”
พอนึกได้ว่าต้องไปเจอกับสายตาของกลุ่มคนพวกนั้นที่มองมา เจี่ยนถงก็แทบไม่อยากออกไปจากห้องทำงานเลย พลันก้มหน้าลงแล้วพูดด้วยน้ำเสียงสั่น “ฉันไม่หิว”
เสิ่นซิวจิ่นหยักคิ้วข้างหนึ่ง “ฉันหิว”
“ฉัน……ไม่อยากกิน ฉัน……ไม่สบาย กินไม่ลง ไม่อยากกิน”
เสิ่นซิวจิ่นมองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าเธออยากจะหลบ จึงพูดขึ้นด้วยสีหน้าธรรมดา “อ๋อ ไม่สบายสินะ ได้ เดี๋ยวฉันส่งเธอไปโรงพยาบาล”
เขาพูดพลางหยิบโทรศัพท์ออกมา แล้วโทรออก “ไป๋ยู่สิง ตอนนี้อยู่โรงพยาบาลไหม?”
เขากำลังถาม อยู่ดีๆ ผู้หญิงที่อยู่ตรงโซฟาก็ยื่นมือออกมา เพื่อดึงแขนเสื้อเขา เขาดูตกใจเล็กน้อย คิดไม่ถึงเลยว่าพอโทรหาไป๋ยู่สิงจะยั่วโมโหเธอได้ จู่ๆ ตัวเองก็โน้มไปด้านหน้า เขารู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จึงรีบเอามืออีกข้างดันที่โซฟาไว้ทันที
“ฮะโหล?ฮะโหลฮะโหล?” เสียงโทรศัพท์อีกด้านยังคงดังอยู่ ไป๋ยู่สิงทำหน้างง “ฉันทำงานอยู่ เสิ่นซิวจิ่น?ยังอยู่ไหม?”
“อืม อย่างนี้ อีกสักพัก……” เขากำลังจะพูด มือเล็กๆ มือหนึ่งก็ยื่นออกมา แล้วปิดปากเขาเอาไว้
เขาทำสายตาแปลกใจ แล้วเลื่อนมามองที่ใบหน้าเธอ ดังนั้น เขามองเธอด้วยสายตาไม่ใช่ล้อเล่น อีกมือก็ถือโทรศัพท์ มืออีกข้างก็ชี้ลงไปด้านล่าง เพื่อเป็นการถามเธอแบบไม่พูดว่าจะไปโรงพยาบาลหรือจะลงไปกินข้าว
สำหรับเธอแล้ว ไม่อยากไปทั้งสองอย่าง
“เรา……เราสั่งเดลิเวอรี่ก็ได้” เธอเดินถอยหลังไป แล้วพูดขึ้นพร้อมส่งสายตาขอร้อง……ว่าไม่อยากลงไปเจอสายตาพวกคนเหล่านั้นจริงๆ เดิมทีเธอก็ใช้ชีวิตอยู่ในที่มืดๆ ทำไมถึงต้องบีบบังคับเธอให้ออกมาในที่แจ้งด้วย?
เขาหยักคิ้ว ดูไม่มีความเห็นอะไร และในสายโทรศัพท์ ไป๋ยู่สิงกำลังเรียกเขา “เสิ่นซิวจิ่น!แกอยู่กับเจี่ยนถงเหรอ?แกอยู่กับเจี่ยนถงใช่ไหม!……พูดสิ!”
ไป๋ยู่สิงถามแบบร้อนใจ ปลายสายจึงใช้มือกด แล้วเสียงก็หายไปทันที
“ตู้ดตู้ดตู้ด——” ไป๋ยู่สิงมองโทรศัพท์อย่างตกตะลึง แล้วสบถออกมา “ว้าว!”
เสิ่นซิวจิ่นมองผู้หญิงที่อยู่ข้างล่าง โดยไม่ละสายตา แล้วมองมาที่มือของเธอที่ปิดปากเขาไว้ เจี่ยนถงจึงมองไปตามสายตาของเขา แล้วนึกได้ ว่ามือตัวเองยังปิดปากเขาอยู่ จึงรีบเอามือออกทันที
ทันใดนั้น!
มือของเธอก็ถูกกุมเอาไว้ เจี่ยนถงหันตาม ก็เห็นเขาจับมือเธอไว้ พร้อมกับก้มหน้าลงมา แล้วจูบที่มือเธอเบาๆ
ขณะนั้น ฝ่ามือของเธอเหมือนถูกไฟเผา!