คืนวันหนึ่งหลังจากที่ผ่านไปแล้วสองสามวัน เจี่ยนถงบอกเสิ่นซิวจิ่นว่าอยากไปบ้านของตระกูลเจี่ยน
“สองสามวันนี้ผมจะต้องออกไปทำงานนอกสถานที่ รอผมกลับมาแล้วผมค่อยพาคุณไป?”
“ให้พี่เมิ่งไปกับฉันก็ได้ อยู่แต่บ้านเบื่อจนจะไม่สบายแล้ว ฉันไม่มีที่อื่นให้ไป ในเมื่อพ่อกับแม่……คุณเจี่ยนกับคุณหญิงเจี่ยนตั้งใจที่จะชดเชยความผิดผลาดจริงๆ” เธอหลับตาลง จัดกระเป๋าให้เขาออกไปทำงานนอกสถานที่พรุ่งนี้พร้อมกับพูดอย่างช้าๆ “……ยังไงก็มีพี่เมิ่งไปกับฉัน ฉันก็แค่จะไปกินอาหารกลางวันสักมื้อหนึ่ง”
เธอพูดแบบนี้ เสิ่นซิวจิ่นเหลือบมองไปที่เธอ สายตาของเขาอ่อนโยนขึ้นไม่น้อย “อืม งั้นผมโทรหาซูเมิ่ง พรุ่งนี้ให้เธอไปกับคุณ”
……
คืนที่ไร้ความฝัน
วันรุ่งขึ้น เสิ่นซิวจิ่นออกไปทำงาน ครั้งนี้เขาจะไปประเทศอังกฤษสองสามวัน ก่อนออกไปยังสั่งให้คนของตัวเองดูแลเจี่ยนถงให้ดี
ยืนอยู่ที่ประตู เจี่ยนถงโบกมือให้เขา “รีบไปรีบกลับ”
ทั้งสองคนราวกับคู่สามีภรรยา ถ้าคนที่ไม่รู้ก็คงคิดไม่ถึงว่าระหว่างพวกเขาจะมีความสัมพันธ์ที่ยุ่งเหยิงขนาดนี้
สายตาของเสิ่นซิวจิ่นอ่อนโยนขึ้นเรื่อยๆ เขาขึ้นรถไป ลมหนาวในฤดูหนาวก็พัดเอาความอบอุ่นในใจของเขาไปไม่ได้
จนกระทั่งรถของเสิ่นซิวจิ่นขับออกไปจนลับสายตา ซูเมิ่งยื่นมือออกไปจับเจี่ยนถง “ไปกันเถอะ ไม่ต้องเสแสร้งแล้ว”
เจี่ยนถงตกใจเล็กน้อย “เธอรู้ได้ยังไงว่าฉันกำลังเสแสร้ง?”
ซูเมิ่งยิ้มและเหลือบไปมองเธอ “ฉันยังจำครั้งแรกที่เราเจอกันได้ ฉันถามเธอว่าทำไมเธอถึงยอมมาเป็นคนทำความสะอาดที่ตงหวง เธอจำคำตอบของเธอได้ไหม?”
แน่นอน……จำได้
“ฉันบอกว่า ถ้าขายตัวได้ฉันก็เต็มใจจะกางขาต้อนรับ ก่อนมาฉันก็ดูตัวเองมาแล้ว ไม่มีต้นทุนที่จะขายตัว งั้นก็ขายแรงงาน ทำเรื่องที่ตัวเองทำได้ให้ดี”
หลังจากพูดจบ เธอก็เงียบ
ซูเมิ่งยิ้มและตบไหล่ของเจี่ยนถงเบาๆ “ในสายตาของเธอ เอาอกเอาใจเสิ่นซิวจิ่นกับเป็นคนทำความสะอาด ที่จริงแล้วก็เหมือนกันใช่ไหม…… ในสายตาของเธอทั้งสองอย่างนี้ก็เป็นแค่การค้าขาย เป็นแค่ธุรกิจ”
ซูเมิ่งขยับเข้ามาข้างหูของเจี่ยนถง: “ถ้าพูดถึงความโหดเหี้ยม เธอเป็นคนโหดเหี้ยมจริงๆ แต่ฉัน รวมถึงคนอื่นๆ ไม่มีสิทธิ์ที่จะตัดสินเธอ เพราะคนคนหนึ่งถูกบังคับให้ไม่กล้ามีความรู้สึก ไม่กล้าอ่อนไหว จำเป็นที่จะต้องโหดเหี้ยม ความลำบากที่เคยเจอมา มีเพียงคนที่เคยเจอเท่านั้นที่รู้ คนที่ไม่เคยเจอจะมีสิทธิ์ไปตัดสินเธอได้ยังไง”
เธอพูดพร้อมกับตบไหล่เจี่ยนถงที่ตกใจอยู่เบาๆ “เอาล่ะ เราออกเดินทางได้แล้ว”
……
ประตูใหญ่ของบ้านตระกูลเจี่ยนอยู่ห่างออกไปเพียงห้าสิบเมตร เจี่ยนถงและซูเมิ่งนั่งอยู่ด้านหลังรถ คนขับรถคือเสิ่นเอ้อ
ตอนที่เสิ่นซิวจิ่นออกไป เขาพาเสิ่นยีและคนอื่นๆไปด้วย เหลือแค่เสิ่นเอ้อไว้ให้เจี่ยนถง
นิสัยของเสิ่นเอ้อกับเสิ่นยีไม่เหมือนกัน อย่างน้อยตอนที่พวกเขาอยู่ด้วยกัน เจี่ยนถงอาจจะไม่ค่อยรู้สึกถึงความไม่เป็นมิตรของเสิ่นเอ้อ เพราะแบบนี้ พวกเขาคงจะผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย
“ไม่ต้องเครียด” มืออุ่นๆวางมาที่หลังมือของเธอ เจี่ยนถงถึงได้มีสติกลับมา คิดไม่ถึงว่าเธอจะเครียดเพราะกลับไป“บ้านที่ตัวเองเคยอยู่มานานกว่ายี่สิบปี”
เธอพยักหน้าด้วยสีหน้าที่แข็งทื่อ “ไม่เป็นไร”
รถแล่นเข้าไปที่ประตูใหญ่ของบ้านตระกูลเจี่ยนและหยุดที่ลานกว้างหน้าประตู
“มีฉันอยู่” ก่อนจะลงจากรถ ซูเมิ่งจับมือของเจี่ยนถงไว้แน่น ราวกับว่าจะส่งความกล้าหาญของเธอจากมือที่จับกันอยู่ของทั้งสองคนไปให้เจี่ยนถง เธอมองเจี่ยนถงอย่างจริงจัง จากนั้นก็ผลักประตูลงจากรถ
และในขณะเดียวกัน เสิ่นเอ้อก็ลงมาจากรถ กำลังจะเปิดประตูให้เจี่ยนถง แต่ประตูกลับถูกผลักออกมาจากด้านใน
“ทำไมไม่เข้าไป?” ซูเมิ่งถาม
เจี่ยนถงเงยหน้าขึ้นมองตึกอันคุ้นเคยที่อยู่ตรงหน้า ราวกับตอนนั้นตอนที่เธอถูกจับ เธอมองดูมันอย่างจริงจัง
แต่อย่างไรก็ตาม ไม่รอให้คนในบ้านออกมา เธอก็ยิ้มมุมปากอย่างเยาะเย้ย…. เธอจะเชื่อคำพูดที่แสนหวานของคนที่เป็นพ่อแทนๆอย่างเจี่ยนเจิ้นตงได้ยังไง?
แต่เธอก็ต้องยอมรับอย่างอ่อนแอ เพราะประโยคที่ว่า “พ่อผิดไปแล้ว” เธอรู้ว่ามันไม่ใช่ความจริง แต่เธอกลับน้ำตาไหล เธอหวังลึกๆในใจว่าประโยคที่ว่า “พ่อผิดไปแล้ว” มันจะออกมาจากใจจริง
ถอนหายใจ “เข้าไปกันเถอะ”
พวกเธอเดินเข้าไปในบ้านตระกูลเจี่ยน คุณหญิงเจี่ยนเดินเข้ามาจับมือเจี่ยนถงด้วยความชอบใจ หาที่ที่ไม่มีคนอยู่ บอกว่าแม่ลูกมีเรื่องอะไรจะคุยกัน
“คุณซูคือ……” ซูเมิ่งเดินตามเจี่ยนถงมาที่ห้อง คุณหญิงเจี่ยนมองซูเมิ่งด้วยความลำบากใจ จากนั้นก็หันมามองเจี่ยนถง ความหมายก็คือ ไม่สะดวกที่จะให้ซูเมิ่งตามมาที่นี่
เจี่ยนถงกะพริบตา “พี่เมิ่ง ฉับกับคุณหญิงเจี่ยนไม่ได้เจอกันนาน มีเรื่องคุยกันนิดหน่อย”
ซู่เมิ่งติดตามเสิ่นซิวจิ่นมาตลอด พูดไม่ได้ว่าไปมาหมดแล้วทุกที่แต่เธอก็เห็นอะไรมาแล้วมากมาย สายตาของเธอเป็นประกายขึ้นมาจากนั้นก็ออกจากห้องอย่างเงียบๆ “เช้านี้ท้องเสีย ขอยืมห้องน้ำบ้านของคุณหญิงเจี่ยนสักหน่อย ไม่ทราบว่าไปทางไหนคะ?”
คุณหญิงเจี่ยนก็นึกขึ้นได้และรีบตอบกลับไปว่า “คุณซูเดินลงไปข้างล่าง สุดทางเดินก็คือห้องน้ำ”
สายตาของทั้งสองคนประจบกัน ทั้งสองคนก็ล้วนแต่รู้เจตนาของกันและกัน
คุณหญิงเจี่ยนจงใจให้ซูเมิ่งออกไป แน่นอนว่าเธอต้องมีอะไรบางอย่างจะพูดกับเจี่ยนถง แต่ซูเมิ่งกลับบอกว่าปวดท้องขอไปเข้าห้องน้ำ…… นี่ก็แสดงว่าเธอยอมแพ้แล้ว
ปิดประตู แยกคนสามคนที่อยู่ด้านหน้าและด้านหลังประตูออก
ซูเมิ่งเดินออกไปสองก้าว แล้วยังหันหน้าไปมองประตูที่ปิดอยู่อย่างครุ่นคิด ในสายตาของเธอมีความลังเล จู่ๆนิ้วเท้าของเธอก็หมุนไปทิศทางเก้าสิบองศา เธอกำลังจะเดินเข้าไปเคาะประตูอีกครั้ง
แต่ ผ่านไปพักหนึ่งเธอก็หยุดนิ่ง!
กัดฟันและหันนิ้วเท้าออกมาเก้าสิบองศา ขยับเท้าแล้วเดินไปทางบันได
เสียงรองเท้าส้นสูงกระทบกับพื้น มันช่างคมชัด……และหนักแน่น
ทุกย่างก้าวที่เดินออกไป เธอบีบมือของตัวเองแน่นขึ้นเรื่อยๆ…… เธอรู้ดีว่า เธอซูเมิ่ง เป็นคนของเสิ่นซิวจิ่น และจุดประสงค์ที่เสิ่นซิวจิ่นให้เธอมาอยู่กับผู้หญิงโง่คนนี้ก็คือให้คอยจำตาดูเธอเอาไว้
ถ้าเธอเย็นชาและมีสติสัมปชัญญะมากพอ ตอนนี้เวลานี้ เธอควรจะเข้าไปเคาะประตูแล้วลากเจี่ยนถงออกมา ไม่ปล่อยให้เธอได้ใกล้ชิดกับคุณหญิงเจี่ยน
แต่…… สุดท้ายแล้วซูเมิ่งก็เลือดเย็นไม่พอ เธอมักจะคิดที่จะช่วยผู้หญิงโง่คนนั้น…… ซูเมิ่งไม่รู้ว่าคุณหญิงเจี่ยนกับเจี่ยนถงพูดอะไรกันในห้องเล็กๆห้องนั้น แต่เธอรู้จักนิสัยของผู้หญิงโง่คนนั้นเป็นอย่างดี——เจี่ยนถงมาที่บ้านของตระกูลเจี่ยน เธอมีเป้าหมาย
“คุณนายล่ะ?” เสิ่นเอ้อเห็นว่าซูเมิ่งเดินลงมาคนเดียว สายตาของเขาเป็นประกายขึ้นมา เขาถามว่า “ทำไมคุณลงมาคนเดียว?คุณชายบอกให้คุณอยู่กับคุณนายตลอดเวลาไม่ใช่เหรอ?”
“ฉันปวดท้อง” ซูเมิ่งหยิบบุหรี่ออกมาแล้วเหลือบไปมองเสิ่นเอ้อ ท่าทางแบบนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับ“ปวดท้อง”เลยสักนิด เธอถอนหายใจ ซูเมิ่งลืมตาขึ้นและยิ้มมุมปาก
“คุณรู้จักเธอ รู้จักเธอนานกว่าฉันอีกใช่ไหม?เสิ่นเอ้อ……ถ้าคุณไม่วางใจ ก็ขึ้นไปเคาะประตูเองสิ”
เธอพูดพร้อมกับเดินผ่านเสิ่นเอ้อไป เดินตรงไปทางห้องน้ำ
เสิ่นเอ้อยืนอยู่ที่เดิม ใบหน้าที่แน่วแน่ สายตาของเขาสั่นไหว ในที่สุดเขาก็หันหลังเดินตามซูเมิ่งไป “คุณรีบหน่อย สบายท้องแล้วก็รีบไปอยู่กับคุณนาย”
ซูเมิ่งที่เดินเข้าห้องน้ำไปแล้วยิ้มออกมา……เธอดูไม่ผิด เมื่อเทียบกับเสิ่นยี เสิ่นเอ้อไม่ได้เป็นศัตรูกับเจี่ยนถง และบางครั้งสายตาที่เขามองเธอ เขามักจะสงสารเจี่ยนถงอยู่เสมอ
ในห้องเล็กๆชั้นบน หลังจากที่ปิดประตูแล้วมันก็ยังคงเงียบสงบ เมื่อประตูเปิดออกอีกครั้ง ผู้หญิงคนหนึ่งก็เดินออกมา สีหน้าของเธอดูไม่ดี เธอพยุงราวประตู รูปร่างที่ผอมบางก็สั่นคลอนอย่างควบคุมไม่อยู่