บทที่ 20 คำพูดร้ายๆของฉินมู่มู่
ประธานจูก้มหน้าด้วยความกระตือรือร้นและรีบตอบตกลงทันทีโดยไม่สนใจเจี่ยนถง “ได้สิ แล้วแต่เธอเลย” ในขณะที่พูดมือของเขาก็ลูบไล้บนต้นขาเจินเจิน
“อ่ะ อย่าเอาไปพูดล่ะว่าฉันไร้น้ำใจ” ประธานจูหยิบธนบัตรออกมาจากกระเป๋าทำงานสีดำ ดูแล้วคาดว่าน่าจะเป็นเงินราวๆห้าหมื่นหยวน “เพลงละหนึ่งพัน เธอร้องได้สิบเพลงก็ได้หนึ่งหมื่น ร้องได้ยี่สิบเพลงก็ได้สองหมื่น และถ้าร้องได้ถึงห้าสิบเพลงก็เอาไปทั้งโต๊ะนี่เลย” ห้าสิบเพลงอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลากว่าสามชั่วโมง
“เอ๊ะ ประธานจู ทำไมให้เธอเยอะจังเลยคะ”
“ที่รัก ฉันให้เธอได้มากกว่านี้อีก” ในขณะที่พูดเขาก็ยิ้มด้วยรอยยิ้มที่เขาคิดว่ามีเสน่ห์ที่สุด “ที่รัก ไม่ต้องรีบ รอก่อนสิ พี่ชายยังมีของมีค่าที่สุดและดีที่สุดในตัวพี่ชายให้เธอ”
“อัยหยา ประธานจู คุณนี่จริงๆเลย” เธอพูดพลางบิดก้นลงจากตักประธานจู จากนั้นก็ไปกดเลือกเพลง “เจี่ยนถง อย่ามาพูดล่ะว่าฉันไม่ช่วยเธอ ฉันช่วยเธอกดไปแล้วตั้งห้าสิบเพลง” เธอพูดไปด้วยในขณะที่นิ้วของเธอคลิกเลือกเพลงอย่างคล่องแคล่วและชำนาญ
หลังจากเลือกเพลงเสร็จเรียบร้อยก็เดินกลับไปนั่งตรงหน้าประธานจูอีกครั้ง
เจี่ยนถงหยิบไมโครโฟนขึ้นมาเงียบๆ…เมื่อเพลงแรกอย่างเพลง เริ่มขึ้นมา เจี่ยนถงก็นิ่งไปสักพัก เพลงที่สองเป็นเพลง ส่วนเพลงที่สามคือเพลง…ต่อจากนั้นเจี่ยนถงก็ไม่แปลกใจอีกต่อไปว่าทำไมเจินเจินถึงเลือกเพลงให้เธอ
อีกฝ่ายอยากฆ่าเธอให้ตายในวันนี้
ถ้าเส้นเสียงของเธอไม่แย่ไปเสียก่อน เธอก็ถือว่าร้องเพลงได้ดีมาก แต่ตอนนี้เหลือเพียงเสียงแหบเหมือนฆ้องแตก พอเสียงอันหยาบกระด้างของเธอร้องดังขึ้น ประธานจูก็ถึงกับขมวดคิ้ว เจินเจินจึงยื่นที่อุดหูให้เขา
ส่วนตัวเองก็ดูเจี่ยนถงร้องเพลงอย่างกระหยิ่มใจ
เพลงแล้วเพลงเล่าร้องออกมาจากปากของเจี่ยนถงโดยไม่มีใครฟัง ประธานจูกอดเจินเจินไว้ในขณะที่เขากำลังดูหนัง ส่วนเจินเจินเองก็เล่นเกมผ่านโทรศัพท์มือถือของเธอ
ไม่มีใครสั่งให้เจี่ยนถงหยุด ผ่านไปเพลงแล้วเพลงเล่าเจี่ยนถงก็แทบออกเสียงไม่ได้
เธอพยายามพยุงขาที่เจ็บและร้องเพลงเสียงสูงด้วยน้ำเสียงที่แทบไม่ได้ยิน แม้จะใช้ไมโครโฟนก็ตาม
“เอาล่ะ พอได้แล้ว” จู่ๆประธานจูก็ลุกขึ้นพลางดึงที่อุดหูออก เขาขมวดคิ้วมองไปเจี่ยนถง “เธอหยิบเงินที่อยู่บนโต๊ะไปเถอะ”
ทันใดนั้นเจินเจินก็ลุกขึ้น “ประธานจู แต่เธอยังร้องไม่หมดเลยนะคะ”
“พอเถอะๆที่รัก ฉันกับเธอก็ไม่ได้อยากฟังเสียงร้องแย่ๆแบบนี้ ตอนนี้ผู้หญิงคนนี้ร้องแทบจะเป็นใบ้อยู่ แล้ว ช่วงเวลาที่มีค่าแบบนี้คืนนี้ฉันจะเป็นเจ้าบ่าวให้เธอเอง”
เจินเจินไม่พอใจ แต่เธอก็ไม่โง่พอที่จะทำลายบ่อเงินบ่อทองของตัวเอง สักพักเธอหลุบหน้าลงอย่างอายๆและพูดอย่างกระเง้ากระงอด “ประธานจู บ้าที่สุด!”
“เรียกประธานจูทำไม เรียกพี่ชายสิ พี่ชายจะพาเธอเข้าห้องหอเอง” ในขณะที่เขาพูด เจินเจินก็เรียก “พี่ชาย”ด้วยน้ำเสียงออดอ้อน จากนั้นทั้งสองก็ออกจากห้องไป
ตอนเดินผ่านร่างเจี่ยนถง เจินเจินก็ชะงักเท้าเล็กน้อย “แม้แต่เสียงแหบหยาบกระด้างยังกลายเป็นเสียงไพเราะน่าฟังได้ เธอต้องขอบใจฉันนะที่ฉันให้เธอร้องเพลง เสียงของเธอถึงได้เปลี่ยนเป็นน่าฟังขึ้นมาได้”
เจี่ยนถงเงียบไม่ตอบโต้ รอทั้งสองเดินออกไป ขาของเธอก็ไม่สามารถยืนหยัดได้อีก…เธอทรุดตัวลงกับพื้น
เจี่ยนถงนั่งอยู่กับพื้นพลางนวดเข่าและกล้ามเนื้ออยู่ครู่หนึ่ง ความเจ็บปวดที่ขาและเท้าก็ค่อยๆคลายลง เธอยืนขึ้นและยื่นมือสั่นๆออกไปเก็บเงินที่อยู่บนโต๊ะ จากนั้นก็เดินออกไปจากห้อง
……
“พี่เมิ่ง รบกวนคุณช่วยนำเงินก้อนนี้ไปเก็บไว้ในบัตรให้หน่อยสิคะ”
“เงินนี่มาจากไหน?” สายตาซูเมิ่งเฉียบคม เนื่องจากเธอไม่ได้จัดตารางงานให้เจี่ยนถง! “แล้วนี่เสียงของเธอเป็นอะไร?”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แค่ไม่ได้ร้องเพลงมานาน เมื่อกี้มีเพื่อนร่วมงานในแผนกเดียวกันช่วยฉันน่ะ เธอให้ฉันร้องเพลงให้เศรษฐีคนหนึ่งฟังแล้วก็ได้เงินนี้มา” ซูเมิ่งเป็นคนฉลาด เธอฟังออกว่าเจี่ยนถงไม่อยากพูดอะไรมากไปกว่านี้ จึงพยักหน้าโดยไม่ถามเซ้าซี้ “อืม” เธอรับเงินก้อนนั้นมาจากเจี่ยนถงและยื่นน้ำอุ่นส่งให้เธอ “ดื่มซะสิ”
ซูเมิ่งมองเจี่ยนถงเหมือนวัวดื่มน้ำ ความเยือกเย็นในเเววตาเข้มขึ้น…ความกระหายเป็นเช่นนี้นี่เอง แต่ไม่ใช่ว่าการร้องเพลงเสียงเบาๆแบบเจี่ยนถงจะเข้าใจได้
“พี่เมิ่ง…ฉันขอตัวไปทานข้าวนะคะ” ทุกวันที่ตงหวงจะมีอาหารสำหรับพนักงาน เจี่ยนถงเห็นว่าใกล้ถึงเวลาแล้วก็ขอตัวกับซูเมิ่งออกไปทานข้าว
หลังจากเลิกงานเสร็จ เธอก็เดินทางกลับหอพักพนักงานหมู่บ้านหนานวาน
ฉินมู่มู่ที่เป็นเพื่อนร่วมห้องกลับมาถึงห้องก่อนเธอ ตอนที่เจี่ยนถงเข้ามาในห้อง ฉินมู่มู่ก็ลุกขึ้นทันที “พี่……เจี่ยนถง”
เจี่ยนถงพยักหน้า เธอเดินอ้อมไปที่ห้องนั่งเล่นและเดินเข้าไปในห้องนอน
“พี่เจี่ยนถง…นั่นใช่เรื่องจริงหรือไม่?” จู่ๆฉินมู่มู่ก็พูดออกมา
เจี่ยนถงหันกลับไปมองฉินมู่มู่อย่างไม่เข้าใจ
“เรื่องพวกนั้นไม่ใช่เรื่องจริงใช่ไหม?” ฉินมู่มู่ถาม “พี่เจี่ยนถง ทุกคนต่างก็บอกว่าเพราะเงิน เพราะเงิน…พี่ถึงกับต้องลงไปคลานสี่ขาแล้วขอความเมตตา พี่บอกฉันมาสิว่ามันเป็นเรื่องโกหกใช่ไหม?” ฉินมู่มู่อารมณ์พุ่งพรวด
เหมือนมีค้อนขนาดใหญ่กระแทกมาที่หัวใจเจี่ยนถง ร่างกายเธอสั่นเล็กน้อย พอหลังจากที่ทรงตัวได้ เธอก็หันไปมองฉินมู่มู่ “เป็นเรื่องจริง”
“สิ่งที่พวกเขาพูดเป็นเรื่องจริง!” ฉินมู่มู่เบิกตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ เธอพูดออกมาว่า “พี่เจี่ยนถง ฉันไม่คิดมาก่อนเลยว่าพี่จะเป็นคนแบบนี้ พี่ถึงขนาดขายตัวเพื่อเงิน”
“พี่เจี่ยนถง พี่ขายตัวเพื่อเงินได้ยังไง! พี่เป็นคนแบบนี้ได้ยังไง ตอนที่พวกเขาพูดถึงพี่ ฉันยังเถียงแทนพี่อยู่เลย แต่พี่กลับทำเรื่องไร้ยางอายแบบนี้ได้ยังไง!” ฉินมู่มู่ตะคอกเสียงดังและชี้หน้าเจี่ยนถงด้วยความโกรธ “ฉันมองพี่ผิดไปจริงๆ!”
เจี่ยนถงยืนอยู่หน้าประตูห้องนอนและยอมให้ฉินมู่มู่ชี้หน้าด่าตัวเองอย่างมืดฟ้ามัวดิน เธอมองเด็กนักศึกษาที่อยู่ตรงหน้าด้วยความสงบและยิ้มอย่างเย็นชา
“เธอยิ้มทำไม?” ฉินมู่มู่ไม่อยากจะเชื่อ “เธอยิ้มออกมาได้ยังไง? เจี่ยนถง เธอทำทุกอย่างได้เพื่อเงินสินะ?” ฉินมู่มู่ตะคอกใส่หน้าเจี่ยนถง “เงินสำคัญขนาดเลยเหรอ?”
น้ำเสียงของฉินมู่มู่เปลี่ยนเป็นเกรี้ยวกราด แต่สีหน้าและแววตาของเจี่ยนถงยังเงียบสงบเหมือนสระน้ำนิ่ง สายตาของเธอจับจ้องไปทางเด็กผู้หญิงที่อยู่ในอารมณ์คุกรุ่นที่อยู่ตรงหน้า “ถ้าเงินไม่สำคัญแล้วเธอมาทำอะไรที่ตงหวงล่ะ?” เธอถามช้าๆโดยไม่มีความตื่นเต้นใดในน้ำเสียงนั้น เธอเพียงแค่พูดถึงความเป็นจริง
“ฉัน!” ฉินมู่มู่หน้าถอดสี “นั่นมันไม่เหมือนกัน! ฉันมาตงหวงก็เพื่อมาเป็นพนักงานเสิร์ฟ เธอก็รู้เกี่ยวกับสภาพความเป็นอยู่ของครอบครัวฉันนี่ ฉันแค่อยากได้ค่าเล่าเรียนและค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันก็แค่นั้น” ในขณะที่ฉินมู่มู่กำลังพูดก็มองตาเจี่ยนถงเหมือนมองสิ่งสกปรก “ฉันไม่ได้เหมือนเธอเสียหน่อย ที่ยอมทำได้ทุกอย่างเพื่อเงินโดยไม่มีข้อจำกัดแม้แต่น้อย!”
เจี่ยนถงกลับมายิ้มอีกครั้ง ฉินมู่มู่บอกว่าเธอไร้ข้อจำกัด อันที่จริงข้อจำกัดของเธอก็คือ—ไม่ดื่มเหล้าแม้แต่หยดเดียว และอีกข้อจำกัดของเธอก็คือ—มีชีวิตอยู่ต่อไป
————