เช้าวันต่อมา
ที่โรงพยาบาล
“ประธานเจี่ยน ทางลูกชายของคุณไม่ได้จะต้องเปลี่ยนไต” หมออธิบายกับเจี่ยนเจิ้นตง
“สถานการณ์ของคุณเจี่ยนโม่ป๋าย ต้องการคนที่มีไขกระดูกเข้ากับเขาได้ เขาไม่ได้จะต้องเปลี่ยนไต”
เจี่ยนเจิ้นตงฟังแล้วมือสั่น
“งั้นคุณก็เลือกคนที่มีไขกระดูกเข้ากับลูกผมได้สิ”
เห็นได้ชัดว่ามีร่องรอยของความไม่อดทนในสายตาของแพทย์
“ประธานเจี่ยน คุณอาจจะยังไม่เข้าใจ ในจำนวนคนหลายพันคน หากจะหาคนที่ไขกระดูกเข้ากันได้นั้น จะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขเยอะมาก ซึ่งดีที่สุดคือในเครือญาติ ซึ่งสามารถเข้าคู่กันได้ง่ายที่สุด”
คุณหญิงเจี่ยนไม่ได้พูดตั้งแต่ต้นจนจบ และความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเจี่ยนเจิ้นตงก็อาจจะก่อตัวขึ้นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
“คุณกับคุณนายไม่สามารถจะจับคู่ได้” ตามที่หมอพูด เขาเงยหน้าขึ้นอย่างลังเลและเหลือบมองที่เจี่ยนโม่ป่ายที่อยู่ด้านข้าง “ในครอบครัวยังมีพี่น้องรึเปล่าครับ?”
เจี่ยนโม่ปป๋ายสีหน้าเปลี่ยนในทันที แต่ไม่พูดอะไรและเงียบ
คุณหญิงเจี่ยนตารื้นขึ้นมาและมือที่ดูแลอย่างดีของเธอก็กดจมูกเบา ๆ ก้มศีรษะลง เธอไม่พูดอะไรสักคำ
เมื่อเห็นแม่ลูกคู่นี้ เจี่ยนเจิ้นตงก็เกิดรำคาญใจขึ้นมา
“ไม่ได้ป่วยจะตาย ร้องไห้ให้ใครดู!”
คุณหญิงเจี่ยนเงยหน้าขึ้นทันใด นัยน์ตาคู่นั้นที่สดใสและอ่อนวัยเมื่อครั้งยังสาว แม้จะแก่แล้วก็ยังมีเสน่ห์อยู่ แต่นัยน์ตาคู่นี้ที่ปกติจะหันหน้าเข้าหาสามีแต่ตอนนี้กลับจ้องมาที่เขาอย่างดุเดือด สามีที่เธอชื่นชมมาโดยตลอด
หมอเคยได้ยินเรื่องครอบครัวตระกูลเจี่ยน
เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโรคอย่างลูคีเมียและเขาได้ติดต่อผู้ป่วยในแวดวงคนที่ร่ำรวยหรือเพื่อนของนักข่าวและสื่อ หลังจากได้ยินเกี่ยวกับตระกูลเจี่ยนแล้ว เขาลังเลที่จะถามว่ามีพี่น้องหรือไม่
แต่ตอนนี้ดูจากสีหน้าต่างๆ ของครอบครัว… หมอแอบเตือนว่าความคับข้องใจแบบนี้จากคนรวย อย่าเข้าไปยุ่งเลยดีกว่า แล้วพูดขึ้น
“คืออย่างนี้ แน่นอนเราจะมองหาไขกระดูกที่ตรงกับคุณเจี่ยนโม่ป๋ายอย่างแน่นอน พวกคุณควรระดมญาติ ๆ และเพื่อนของคุณมาที่โรงพยาบาลเพื่อทำการตรวจ
ถึงจะบอกว่าอัตราที่จะประสบความสำเร็จไม่มาก
แต่ในปี 2006 มีเคสหนึ่งที่ห้องเรียนประสบความสำเร็จในการบริจาคไตและไขกระดูกให้กับเด็กที่ไม่รู้จัก
ซึ่งเรื่องแบบนี้หากจะพูดให้ฟังดูแย่
แต่…พวกคุณไม่ควรจะตั้งความหวังไว้มากไป
หรือจะบอกว่า…ในครอบครัวยังมีญาติอีก ก็ให้รีบพาเข้ามาตรวจเพื่อจับคู่”
คำพูดของหมอนั้นชัดเจนมาก และคนตระกูลเจี่ยนก็ไม่โง่ เจี่ยนโม่ป๋ายริมฝีปากซีดเผือด
“ยังมีอีก ตั้งแต่นี้ไป คุณเจี่ยนโม่ป๋าย ให้คุณไปทำเรื่องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันนี้ไป สถานการณ์ปัจจุบันของคุณ จะต้องได้รับการรักษาด้วยการให้เคมีบำบัด ในช่วงเวลานี้ จะเป็นการดีหากคุณสามารถหาผู้บริจาคไขกระดูกที่เข้าคู่กันได้สำเร็จ”
“เคมีบำบัด?” คุณหญิงเจี่ยนที่เงียบมาตลอดได้กรีดร้องขึ้น “หมอคะ โม่ป๋ายของเราจะไม่ทำเคมีบำบัด เขาจะรับเคมีบำบัดไม่ได้นะ”
แพทย์มองไปที่ข้อมือของเขาที่อีกฝ่ายสู้จับไว้แน่น และขมวดคิ้วเล็กน้อย “คุณนายครับ คุณใจเย็นก่อน ปล่อยมือของคุณก่อน”
คุณหญิงเจี่ยน “อ้อ” ปล่อยมือที่กำข้อมือของหมอไว้แน่น ใบหน้าของเธอสับสน “หมอคะ โม่ป๋ายของเราจะไม่รับเคมีบำบัด ไม่ว่ายังไงก็จะไม่รับเคมีบำบัด!”
“สถานการณ์ของคุณเจี่ยนโม่ป๋ายในตอนนี้ หากไม่รับเคมีบำบัดจะยิ่งหนักขึ้น คุณนายครับ คุณไม่ต้องกังวล เคมีบำบัดไม่ได้น่ากลัวอย่างนั้น…”
ก่อนที่หมอจะพูดจบ คุณหญิงเจี่ยนก็โต้กลับอย่างตื่นเต้น
“จะไม่น่ากลัวได้ยังไง? ฉันได้ยินมาว่าลูกชายคนสุดท้องของครอบครัวพี่สาวฉันเสียชีวิตหลังจากให้เคมีบำบัด เขาตายจากการรับเคมีบำบัด!” พูดแล้วด้วยท่าทางแข็งกร้าว
“ไม่ว่ายังไง! โม่ป๋ายของเราจะไม่รับเคมีบำบัด!”
หมอขมวดคิ้ว เขากลัวเรื่องไร้สาระแบบนี้ที่สุด ถึงเขาจะไม่ชอบแต่ก็ยังต้องอธิบายให้คุณหญิงเจี่ยนฟังให้ชัดเจน คุยกันอีกนานก็สมควรจะเกลี้ยกล่อมคุณหญิงเจี่ยนได้ แน่นอน ในที่สุดเจี่ยนเจิ้นตงก็ตัดสินใจ
“ฉันไปทำเรื่องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลก่อน”
หมอออกไปแล้วเจี่ยนโม่ป๋ายเดินไปที่หน้าต่างด้วยความสิ้นหวัง
ใจคุณหญิงเจี่ยนสั่น “ลูก จะต้องหาผู้บริจาคไขกระดูกที่เข้ากันได้ได้แน่ พ่อพูดแล้ว ถึงเวลาให้เงินผู้บริจาคเยอะๆ ลูก ลูกอย่าคิดไม่ตกเลยนะ”
มือที่สั่นเทาของเธอพยายามจับมือลูกชายของเธอ
วินาทีต่อมา!
เจี่ยนโม่ป๋ายที่ยืนอยู่ริมหน้าต่างกันกลับมาและจับมือของคุณหญิงเจี่ยนแน่นเหมือนกับกำลังจับฟางเส้นสุดท้ายเอาไว้ และขอร้อง
“แม่! แม่! แม่บอกผมมาเถอะว่าน้องอยู่ไหน แม่จะต้องรู้แน่ ใช่ไหม! ใช่ไหม? ? ? แม่? แม่? แม่พูดสิ แม่อย่าเอาแต่เงียบ แม่พูดอะไรสักคำสิ…แม่…แม่พูดสิ!”
เจี่ยนโม่ป๋าย “โครม” ล้มและคุกเข่าลงและมองไปที่แม่เจี่ยน “ผมขอร้องล่ะ! แม่! ผมขอร้อง! ผมไม่อยากตายนะ! อายุผมยังน้อย! ผมไม่อยากตาย ไม่อยากตาย! ! ! แม่ แม่ แม่พูดสิ ได้ไหม?”
เขารู้ดีเกินไป และรู้ดีเกินไปว่าโอกาสที่จะรอการจับคู่ไขกระดูกจะสำเร็จน้อยเพียงใด!
เป็นที่ชัดเจนเกินไปว่าไม่ใช่เลือดของญาติและโอกาสในการจับคู่ที่ประสบความสำเร็จก็น้อยลงไปอีก!
เขาไม่กล้ารอ!
คุณหญิงเจี่ยนมองดูลูกชายที่สิ้นหวังเช่นนี้ ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยน้ำตา และในชั่วพริบตา เธอก้มหน้าลง เธอปิดปากและไม่พูดอะไร
“แม่ ต่อให้น้องตัดสัมพันธ์กับทุกคน แต่น้องก็เป็นลูกแม่ เธอสามารถจะทิ้งใครก็ได้ แต่คงจะอดไม่ได้ที่จะทิ้งแม่ของตัวเองได้หรอก!
แม่ สามปีมานี้ น้องไม่น่าจะไม่ติดต่อแม่ ใช่ไหม?
น้องจะต้องเคยติดต่อแม่บ้าง ใช่ไหม?
แม่จะต้องรู้แน่ว่าน้องอยู่ที่ไหน ใช่ไหม?” เจี่ยนโม่ป๋ายมองไปที่แม่เจี่ยนที่อยู่ตรงหน้า
“แม่ แม่อย่าเอาแต่ร้องไห้สิ แม่พูดกับผมสิ ได้ไหม? ฮะ? ได้ไหม?”
คุณหญิงเจี่ยนทนไม่ไหวแล้วได้แต่ส่งเสียง “โฮ” แล้วพูดกับเจี่ยนโม่ป๋ายทั้งน้ำตา
“โม่ป๋าย ถ้าลูกเป็นเสี่ยวถง ลูกยังจะคิดว่าแม่เป็นแม่อยู่ไหม?”
เธอพูดจบ ก็หลับตาลงอย่างเจ็บปวด…เธอที่ไม่เคยถามไถ่อะไรเสี่ยวถงเลย กลับยิ่งทำให้แย่ลงไปอีก และตอนนี้เธอแทบรอไม่ไหวที่จะตบหน้าตัวเองอย่างแรง!
เจี่ยนโม่ป๋ายนิ่งไป…คำพูดของแม่ของเขาเหมือนค้อนขนาดใหญ่ตีหัวใจของเขา
“โม่ป๋าย เด็กดี แม่กับพ่อจะใช้เส้นสายทั้งหมดที่มี ไม่ว่าจะเสียเงินเท่าไหร่ พวกเราจะต้องช่วยรักษาลูกให้หาย
ลูกเป็นลูกคนเดียวของเราเป็นลูกผู้ชายคนเดียวของตระกูลเจี่ยน
ไม่ว่ายังไง พ่อของลูกไม่มีทางจะไม่เหลียวแลลูกแน่
เราจะไปหาหมอที่ดีที่สุดเพื่อช่วยลูกอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะต้องจ่ายราคาสูงแค่ไหนในการหาผู้บริจาคไขกระดูกให้ลูก…”
“เงินๆ ๆ! แม่! ในใจแม่รู้ดี เป็นการยากที่จะหาไขกระดูกที่ตรงกับผมจากคนที่ไม่เกี่ยวข้องเหล่านั้น ซึ่งยากกว่าการงมเข็มในมหาสมุทรอีก!
แม่! มีเพียงน้องช่วยผมได้ น้องเข้ากับผมได้
พวกแม่รีบไปหาน้องเถอะ”
คุณหญิงเจี่ยนฟังแล้วน้ำตาไหลและพูดอย่างสะอึกสะอื้น
“โม่ป๋าย ลูกต้องเข้าใจนะ ต่อให้เราหาเสี่ยวถงเจอ เธอยังจะยินดีจะช่วยเราเหรอ?
อีกอย่าง ลูกเองก็อย่าลืมว่า น้องสาวของลูก…ตอนนั้นต้องลำบากมากมาย เธอ…มีไตเพียงข้างเดียว!
ร่างกายของเธอ จะรับได้กับการต้องปลูกถ่ายให้ลูกอีกไหม?”
“ผม…” เจี่ยนโม่ป๋ายรู้สึกเหมือนโดนฟ้าผ่า!
เจี่ยนถง…เหลือไตเพียงอันเดียว!
และเขากลับลืมไปแล้ว
เขาหลับตาลงอย่างหมดหวัง เจี่ยนโม่ป๋ายหน้าซีดเผือด ริมฝีปากสั่นและคิดจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็หยุดไป คำพูดที่เห็นแก่ตัวเช่นนั้นไม่ได้ถูกพูดออกมา