ที่โต๊ะประชุมโต๊ะกลม สีหน้าแววตาของผู้คนดูแปลกไป
รูปลักษณ์ของเสิ่นซิวจิ่นไม่เปลี่ยนแปลง
แต่ไม่ว่าเขาซ่อนมันได้ดีเพียงใด ผู้คนต่างก็สังเกตเห็นใบหน้าซีดของเขา
สายตาของบางคนก็ชัดเจน… ลองคิดดูแล้ว สิบวันที่ผ่านมานี้มันยากสำหรับเสิ่นซิวจิ่น
ก็ใช่ ในระยะเวลาแค่สิบวันเอง โลกทั้งใบกลับตาลปัตรไป
ภายใต้ วิกฤตของบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป
นอกนั้นยังมีเรื่อง การละทิ้งภรรยา และข่มเหงลูกสาวของตระกูลเจี่ยนผู้บริสุทธิ์อีก
เขา—เสิ่นซิวจิ่น ชายผู้เป็นเหมือนพระเจ้า ถูกนำลงมาจากสวรรค์เรียบร้อยแล้ว
ในที่สุดท่านแก่เสิ่นก็พูดขึ้นว่า “ฉันจะถามแกเป็นครั้งสุดท้าย”
ยังไม่ทันที่ท่านแก่จะเอ่ยปากถาม
“อย่าถาม” เสียงอ่อนโยนของชายข้างๆ เขา พูดอย่างหนักแน่น
“ฉันรู้ว่าท่านแก่เสิ่นจะถามอะไรฉัน”
ดวงตาสีดำขลับคู่นั้น มองเข้าไปในดวงตาที่โกรธเกรี้ยวของท่านแก่เสิ่น
“คำตอบของฉัน ก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม”
เหมือนเดิม!
เขาพูดมาแค่ประโยคเดียว คำตอบ เหมือน เดิม!
ท่านแก่เสิ่นกัดฟันแน่น!
จ้องมองที่หลานชายที่อยู่ข้างเขาอย่างโกรธเคือง
ไม้เท้าในมือ กระแทกพื้นอย่างแรง แล้วเขาก็หัวเราะขึ้นมาอย่างโกรธจัด
“ก็ดี! ในเมื่อคำตอบของแก เหมือน เดิม!”
เขาทักทายทุกคน “คราวนี้การประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป ถูกเรียกประชุมเพื่อจุดประสงค์อะไร ทุกคนที่มาเข้าร่วมในวันนี้ก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้ว และฉันจะไม่ต่อความยาวสาวความยืดอีกต่อไป”
นิ้วของเขา ชี้ไปที่เสิ่นซิวจิ่น
“วันนี้เราจะพูดเกี่ยวกับหลานชายของฉันหน่อย!”
บรรยากาศบนโต๊ะกลม ทุกคนถอนหายใจด้วยความโล่งอก… ในที่สุดการชำระบัญชีก็เริ่มขึ้น
ท่านแก่เสิ่นกวักมือ จากนั้นพ่อบ้านใหญ่ที่อยู่ข้างๆ ก็เดินออกมาข้างหน้า และยื่นซองกระดาษให้เขา ท่านแก่เสิ่นวางสิ่งนั้นลงบนโต๊ะ ซึ่งสิ่งนั้นก็คือความผิดทั้งสามประการของเสิ่นซิวจิ่น
“ทำลายชื่อเสียงของบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป แกช่างโหดร้าย
ทำลายชื่อเสียงที่ตระกูลเสิ่นรักษามาหลายชั่วอายุคน แกช่างไม่มีความกตัญญู
ตอนนี้บริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ปอยู่ในภาวะวิกฤติ แกก็ไร้ความสามารถ
บริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป จะต้องไม่ถูกทิ้งให้อยู่ในมือของคนที่โหดร้าย ไม่ยุติธรรมและไร้ความสามารถเช่นแก! “
ท่านแก่เสิ่นตะคอกเสียงดัง “แกยังมีโอกาสที่จะลาออกโดยอัตโนมัติ”
ทิ้งทัศนคติของแกไว้ที่นี่แหละ
สายตาของทุกคน จดจ่ออยู่กับชายผู้เย็นชาและหยิ่งผยองที่ใบหน้าซีดเผือด และไร้คำพูดใดๆ
ในเวลานี้ ลู่หมิงชูจะไม่มีวันโง่เขลาถึงจะแสดงความเป็นอยู่ของตัวเขาออกมา
ในรอบนี้ เขานั่งบนภูเขาและดูการต่อสู้ เมื่อดูไปที่ปู่และหลานชายคู่นั้น ในดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความยินดีอย่างสุดจะพรรณนา
ปู่กับหลานทะเลาะกัน โต้ตอบกันไปมา และยิ่งทะเลาะแรงขึ้น ก็ยิ่งดี
หางตาของเขากวาดออกนอกห้องประชุม มีร่างหนึ่งปรากฏ และในมือก็ถือกล้องอยู่ ลู่หมิงชูทำเป็นหลับหูหลับตาโดยไม่เตือนเขา
ต้องการเห็นพาดหัวข่าวในวันพรุ่งนี้ เป็นเรื่องราวภายในของการประชุมของบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป ซึ่งปู่และหลานชายของตระกูลเสิ่นกำลังทะเลาะกัน
สายตาของทุกคน ยังคงจับจ้องไปที่ชายผู้เป็นผู้นำ
แต่เห็นเพียงชายผู้ที่ไม่ได้ขยับเขยื้อน ดีดนิ้ว และชายผู้แข็งแกร่งอย่างผู้ช่วยที่อยู่ข้างหลังเขา ก็ยื่นกระเป๋าเอกสารหนังให้เขา
ดวงตาของเขาส่องประกายกระทบใบหน้าของทุกคนบนโต๊ะประชุมโดยไม่มีความผันผวนใดๆ ก่อนที่เขาจะพูดขึ้นมาอย่างเฉยเมย
“เวลาของทุกคนมีค่า จะมัวเสียเวลาพูดแต่เรื่องไร้สาระทำไม
เนื่องจากการประชุมผู้ถือหุ้น เป็นเรื่องของการยกเว้นและการแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูงของบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป “
เขายกมือทั้งสองข้างขึ้นมาเท้าคาง มองไปข้างหน้า แล้วพูดเบา ๆ
“ฉันเสนอ ให้มีการลงคะแนนโดยตรง”
ท่านแก่เสิ่นโกรธแต่ก็หัวเราะออกมา!
ถึงเวลานี้แล้ว “ลงคะแนนเสียงอย่างนั้นเรอะ?” ท่านแก่เยาะเย้ย “ได้สิ” เขารู้ว่า หลานชายของเขาคนนี้ มีความเย่อหยิ่งฝังลึกลงไปในจิตใจของเขา แต่เขาไม่รู้ว่า หลานชายของเขาจะหน้ามืดตาบอดจนมั่นใจในข้อบกพร่องของตัวเองถึงเพียงนี้
เนื่องจากทั้งปู่และหลานบอกว่าพวกเขาต้องการให้มีการลงคะแนนเสียง
คนอื่นๆ ก็จะไม่กระโดดเข้าไป เพื่อขัดขวาง
แน่นอนว่า หลังจากการลงคะแนนเสียงไปหนึ่งรอบ เสิ่นซิวจิ่นมีผลคะแนนน้อยกว่า
รอยยิ้มที่มุมปากของลู่หมิงชู ก็ยิ่งปรากฏชัดขึ้น และสายตาที่จ้องไปยังใบหน้าของเสิ่นซิวจิ่น ก็ยิ่งกลายเป็นเรื่องน่าขัน
“นี่อย่างไรการลงคะแนนเสียงที่แกต้องการ”ท่านแก่เสิ่นพูด “ตอนนี้ยังมีอะไรจะพูดอีกไหม?”
ในช่วงสามปีของการขยายตัว เสิ่นซิวจิ่นทำการแก้ไขอาณาเขตที่เพิ่งจัดตั้งใหม่ได้ไม่ทันเวลา ประจวบกับท่านแก่เสิ่นก็ได้ลงมือทำบางเรื่องอย่างลับๆ ทำให้ภายในสามปีนี้ หุ้นที่เขาถือไว้ในมือตอนนี้ได้ลดลงเหลือเพียงสองในสามเท่านั้น …
เมื่อรวมกับคะแนนเสียงของผู้ถือหุ้นรายอื่นแล้ว ผลรวมของส่วนของผู้ถือหุ้นในมือ ก็มีคะแนนนำไปแล้ว
ในการประชุมโต๊ะกลม หลังจากประกาศสิทธิ์ของผู้ถือหุ้นในครั้งสุดท้าย หลายคนดูโล่งใจ พวกเขายังกลัวว่า พวกเขาจะได้รับอันตรายหากตีงูไม่ตาย
ทันทีที่ประกาศผล นัยน์ตาหลายคู่ ส่งสายตาตาดูถูกไปยังชายผู้เคยอยู่ในระดับสูงสุด บุรุษผู้นั้น เคยยิ่งใหญ่จนเอื้อมไม่ถึง และสูงส่งเกินบรรยาย ในนัยน์ตาของพวกเขา เพียงแค่จับจ้องไปที่ชายผู้นั้นก็หน้าซีดแล้ว
“เนื่องจากผลการลงคะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์แล้ว เสิ่นซิวจิ่น โปรดถอนตัวออกจากตำแหน่งประธานกรรมการบริหารของบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ปด้วย” มีคนล้มประธานได้สำเร็จ และหลังจากประกาศผล เขาก็ลุกขึ้นอย่างตื่นเต้น และตะโกนใส่เสิ่นซิวจิ่น ” กรุณาจัดการ เก็บของใช้ส่วนตัวของคุณให้เรียบร้อย และออกจากบริษัททันที โปรดให้ความร่วมมือ มิฉะนั้น ทีมรักษาความปลอดภัยของบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ปจะมา ‘เชิญ’ คุณเสิ่นออกจากบริษัทเอง”
“ใครบอกกันล่ะ?”
ภายใต้ความตื่นเต้นของการ “ชนะสงคราม” ทันใดนั้น ในห้องประชุม ก็มีเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“ฉันยังไม่ได้ลงคะแนน”
เมื่อเสียงนี้ดังขึ้น ท่านแก่เสิ่น ลู่หมิงชู และคนอื่นๆ ในห้องประชุม ก็หันหน้าไป มองที่ผู้พูดทันที
“จางต๋า? คุณกำลังทำอะไร!”
จางต๋ายืนขึ้นด้วยรอยยิ้ม และเดินไปข้างหลังเสิ่นซิวจิ่น “ฉันประกาศเมื่อไหร่ว่าฉันจะสนับสนุนท่านแก่คนนั้น?”
งานนี้ต้องมีถ้อยแถลงด้วย!
ความตลกขบขันปรากฏในสายตาของทุกคน!
คุณจางต๋าคือผู้นำ เป็นคนแรกที่อยู่ฝ่ายท่านแก่เสิ่นไม่ใช่เหรอ?
ใครจะไม่รู้ ท่านแก่เสิ่นได้ให้ประโยชน์อันน่าเหลือเชื่ออะไรกับคุณ!
คนเหล่านี้ ได้รับประโยชน์ และรู้จักกันเป็นอย่างดี แต่มีเพียงจางต๋าเท่านั้นที่ได้รับผลประโยชน์ มากที่สุด
“คุณกำลังทำอะไร จางต๋า!” หนึ่งในผู้ถือหุ้นโกรธมาก “แกล้งทำเป็นทาสผู้ซื่อสัตย์! ไม่มีใครในที่นี้ไม่รู้ว่า คุณจางต๋าเป็นคนแบบไหน!”
สิ่งที่เขาพูด ไม่ได้คำนึงถึงสถานการณ์ เขาแค่ปากไม่ตรงกับใจ
มันไม่ใช่การตำหนิเขา แต่ถ้าจางต๋าต่อต้านในเวลานี้จริง ๆ อย่างนั้นในอนาคตพวกเขาจะเป็นคนที่โชคร้ายเสียเอง!
พฤติกรรมของเสิ่นซิวจิ่น นั้นเลวร้ายมาก อย่างที่ทุกคนรู้
ในระยะสั้นนี้อาจจะไม่สามารถทำอะไรคนพวกนี้ได้ แต่เมื่อเขากลับมามีอำนาจได้อีกครั้ง คนเหล่านี้ จะไม่ได้รับความเมตตาจากเข้าแน่!
จางต๋ายิ้มให้อย่างมีไมตรี ไม่เดือดดาลกับคำพูดใด ๆ และใบหน้าที่ยิ้มอย่างสงบ กล่าวว่า
“ใช่ ทุกคนที่นี่รู้ดีว่าฉันเป็นคนประเภทไหน ในเมือง S แห่งนี้ ในย่านธุรกิจนี้ มีใครบ้างที่จะไม่รู้ว่าฉันเป็นคนแบบไหน?”
ขณะที่เขาเปลี่ยนการสนทนา ดวงตาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของเขา ก็เย็นยะเยือกขึ้นมา
“แต่สิ่งที่พวกคุณไม่รู้ก็คือ ประธานเสิ่นสำหรับฉันจางต๋า เป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตฉันไว้!”
เขาพูดอย่างเย็นชา “มีคนบอกว่าจางต๋าเมื่อเห็นเงินก็ขาดการยั้งคิด แต่มีดที่ปักบนไหล่ของประธานเสิ่น เกิดจากการที่ท่านเข้ามารับมีดและทนทุกข์แทนจางต๋ากระทั่งตอนนี้ก็ยังเห็นรอยแผลเป็นสีอ่อนนั้นอยู่”
เขาพูด พลางหันหน้าเข้าหาท่านแก่เสิ่นด้วยความเคารพ
“ท่านแก่เสิ่น ท่านมีความเห็นว่าอย่างไร เกรงว่ากระผมจะทำให้ท่านผิดหวังซะแล้ว”
ทุกคนบอกว่าเสิ่นซิวจิ่นเป็นคนโอหัง เย็นชาและไร้ความเมตตา แต่เสิ่นซิวจิ่นที่เป็นคนแบบนี้ เมื่อหลายปีก่อน เคยรับมีดแทนจางต๋าผู้ซึ่งเป็นเพียงคนตัวเล็กๆ คนหนึ่ง
จางต๋ามีเงินและอำนาจอยู่บ้าง แต่เมื่อเทียบกับประธานเสิ่นแล้วนั้น เขาไม่มีอะไรเทียบได้เลย ถึงจะเป็นแบบนั้น ประธานเสิ่นไม่ได้ลังเลเลยแม้แต่น้อย และเข้ามารับมีดแทนเขา
“แค่ก…แค่กแค่กแค่กแค่ก!!!” ท่านแก่เสิ่นเบิกตากว้าง จางต๋าจู่ๆ ก็เปลี่ยนฝ่ายอย่างกะทันหัน และเขาโกรธมาก จนอาการไอกำเริบขึ้นมาอย่างรุนแรง
สีหน้าพ่อบ้านใหญ่เปลี่ยนไป
“คุณท่านเป็นอะไรไหมครับ!”
สีหน้าของท่านแก่เสิ่นเปลี่ยนจากซีดขาวเป็นแดงระเรื่อ และจากแดงระเรื่อเปลี่ยนเป็นซีดขาว หลังจากพยายามหยุดยั้งอาการหลายครั้ง และระงับอาการวิงเวียนศีรษะก็พูดขึ้นว่า “ไม่เป็นไร” เขายื่นมือออกมา และหยุดพ่อบ้านใหญ่อย่างเด็ดขาด
การแสดงออกของลู่หมิงชูเปลี่ยนไปอย่างมาก
พวกเขาคาดหวังให้การประชุมเริ่มต้นขึ้น แต่กลับไม่คาดคิดว่าการประชุมจะสิ้นสุดลง
“ท่านแก่เสิ่น อย่ากังวลไป ฉันจะขับรถพาคุณไปโรงพยาบาลเอง”การแสดงออกของท่านแก่เริ่มไม่ดีแล้ว ตาเหลือบแล้ว
ลู่หมิงชูรู้อยู่แก่ใจว่า อยู่ที่นี่ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน ก้มลงพยุงร่างผอมบางของท่านแก่เสิ่นขึ้นมา
เสิ่นซิวจิ่นยังคงนั่งอยู่ที่เดิม โดยไม่แม้แต่จะลุกขึ้นยืน
พ่อบ้านใหญ่เดินไปที่ประตูห้องประชุม จู่ๆ ก็หันหลังกลับมา พร้อมกับกัดฟันด่าขึ้นมาว่า
“นั่นปู่แท้ๆ ของคุณ! คุณยังนั่งเฉยได้อยู่อีก!”
สิ้นคำด่าเขาก็เดินตามลู่หมิงชูไปข้างหน้าโดยไม่หันกลับมามอง
ในห้องประชุม ฝูงชนค่อยๆ แยกย้ายกันออกไป
เสิ่นเอ้อตะโกนขึ้นมา ขณะที่ยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ เสิ่นซิวจิ่นยังคงนิ่งเงียบ “Boss ทุกคนออกไปกันหมดแล้ว”
แต่คนที่นั่งอยู่นั้น ราวกับว่าไม่ได้ยิน
“เสิ่นเอ้อ คุณออกไปก่อน”เขาสั่งอย่างใจเย็น
ทุกคนรู้สึกว่าเสิ่นซิวเจิ่นโหดเหี้ยมและไร้ความเมตตา แต่ไม่มีใครเห็นมือที่วางบนเข่าของเสิ่นซิวจิ่น ที่กำลังสั่นเทิ้ม
เขาไม่ได้อธิบายให้พ่อบ้านใหญ่ฟัง เมื่อเขากำลังจะลุกขึ้นพาท่านแก่เสิ่นไปโรงพยาบาล จู่ๆ ตาของเขาก็มืดลงกะทันหัน
เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ดังขึ้นมาพอดี
เขาหยิบขึ้นมาและรับสาย
อีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์ ไป๋ยู่สิงถามว่า “จบแล้วเหรอ?”
ที่ปลายสาย ชายหนุ่มตอบอย่างไร้ความรู้สึก “ใช่”
“คุณจะทำอย่างไรต่อไป?”
ภัยพิบัติของบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป ไม่ได้จะจบลงเพราะการประชุมผู้ถือหุ้นครั้งนี้ ที่เมื่อความพ่ายแพ้เปลี่ยนเป็นชัยชนะ
ยังมีอีกหลายสิ่งที่ต้องจัดการ
ราคาหุ้นของบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ปยังคงลดลง
ชื่อเสียงที่ไม่ดีของเสิ่นซิวจิ่น ยังคงถูกวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างครึกโครม
ทั้งหมดนี้ ต้องการผู้นำกลุ่มที่ฉลาดเฉียบแหลมและมีความสามารถ เพื่อแก้ทีละปัญหาทีละจุด
“นอน”
“นอน…” ไป๋ยู่สิงรับคำโดยไม่ทันคิด ทันใดนั้น จู่ๆ ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ “คุณพูดว่าอะไรนะ? นอน? ตอนนี้เนี่ยนะ?”
“ใช่ นอน ฉันต้องการพักผ่อน”ที่ปลายสาย ใบหน้าของชายหนุ่มเย็นชาและแน่วแน่มาก “ฉันเหนื่อยแล้ว และฉันต้องการพักผ่อนร่างกาย”
ไป๋ยู่สิงหัวเราะเบาๆ เมื่อได้ยินคำพูดนั้น
“หาได้ยากจริงๆ บางครั้งเสิ่นซิวจิ่นก็ยอมรับความพ่ายแพ้และตะโกนออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย”
“ใช่ ฉันเหนื่อยเหลือเกิน”ณ เวลานี้ ดวงตาของเขาฟื้นคืนความสดใสแล้ว “ปฏิเสธไม่ยอมรับความแก่ก็คงไม่ได้”ร่างกายที่เหนื่อยเกินไปทำให้อ่อนเพลียและง่วงนอน คราวนี้อาการที่ตาของเขามืดลงเป็นเพียงช่วงสั้นๆ แค่หนึ่งนาที แล้วครั้งต่อไปล่ะ?
เขารู้เพียงว่า ถ้าร่างกายของเขาเกิดเป็นอะไรไปเร็วกว่าความคิดถึงของเขา เขาจะไม่สามารถอยู่เคียงข้างผู้หญิงคนนั้นได้อีก
เขายังคิดว่า ภายใต้แสงพระอาทิตย์ตก เขาจะหวีผมที่เปลี่ยนเป็นสีขาวของเธอยามแก่ชรา
ไป๋ยู่สิงได้ยินเขาพูดอย่างเคร่งขรึม และเสียงหัวเราะก็ดังก้องอยู่ในอกของเขา “เอาล่ะ คุณพักผ่อนเถอะ ส่วนที่เหลือ ให้ฉันช่วยคุณเอง”