วิเวียนที่นั่งบนเบาะคนขับอ้าปากเตรียมจะเอ่ยพูด แต่กลับพบว่าเธอหาคำพูดใดๆมาปลอบใจเจี่ยนถงไม่ได้เลย นั่นก็เพราะว่าเธอเข้าใจ ถึงได้รู้สึกว่า ไม่มีอะไรต้องพูดปลอบ
เธอถึงขั้นรู้สึกว่า ผู้หญิงหน้านิ่งที่นั่งอยู่ตรงเบาะหลัง หลังจากที่กลับมาเมืองSอีกครั้ง ก็นิ่งสุขรุมแบบนั้นอยู่ตลอด
ปัญหาในเจี่ยนซื่อกรุ๊ปไม่ใช่น้อยๆ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะประธานคนก่อนทำงานสะเพร่า หรือเป็นเพราะ เจี่ยนเจิ้นตงคิดว่าปัญหาเหล่านี้ไม่ได้หนักหนา
วิเวียนค่อนข้างสงสารหญิงสาวที่นั่งอยู่เบาะหลัง เมื่อใดก็ตามที่ประธานเจี่ยนได้ยุ่ง ก็จะทำงานอย่างหนักราวกับจะฆ่าตัวตาย
เธอควรที่จะเกลียดเสิ่นซิวจิ่น ถึงยังไง คนที่บีบให้ผู้หญิงที่สดใสคนหนึ่งต้องก้าวถอยหลังจนไร้ทางไปก็คือเขา
เมืองSที่กว้างใหญ่ขนาดนี้ คนที่สามารถทำให้เจี่ยนถงไร้ทางไปได้ ก็มีแค่เสิ่นซิวจิ่นคนเดียวเท่านั้นแหละ
แต่ว่าตอนนี้ เธอกลับรู้สึกขอบคุณ อย่างน้อยการที่มีเสิ่นซิวจิ่นแทรกเข้ามา เจ้านายของเธอก็ได้กินทั้งมื้อเที่ยงและมื้อเย็นอย่างตรงเวลา ไม่อย่างนั้น ผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงเบาะหลัง คงยุ่งจนลืมกินข้าวไปแล้ว
รถขับมาจอดหน้าโรงเรียน เป็นครั้งที่สองที่เจี่ยนถงได้เจอกับเด็กผู้ชายคนนั้น ใบหน้าบูดบึ้งของเขา เมื่อหันมาเห็นเธอ ก็เต็มไปด้วยความขัดใจ
“ผมจะบอกอะไรให้นะ ผมไม่ได้อยากเข้าตระกูลเจี่ยนอะไรนั่นเลยสักนิด” เด็กชายใบหน้าบูดบึ้งถลึงตาใส่เธอที่อยู่ในรถ แถมยังไม่ลืมพูดว่า “ก็บอกแล้ว ว่าจับคู่อวัยวะไม่ได้ แล้วยังต้องการอะไรอีก? ไม่ได้ก็คือไม่ได้ ต่อให้ไปตรวจอีกกี่ร้อยครั้งก็ยังไม่ได้หรอก”
ติงหน่วนที่อยู่ข้างๆ มีสีหน้ากระอักกระอ่วน “เสี่ยวโอว นั่นพี่สาวแกนะ ทำไมพูดไม่เพราะล่ะ”
“เธอไม่ใช่พี่สาวผมสักหน่อย”
ติงหน่วนหันไปมองเจี่ยนถงที่อยู่ในรถ ผู้หญิงคนนั้นไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา ตลอดทาง ก็เอาแต่ยุ่งอยู่กับการอ่านเอกสาร
ชั่วขณะเธอก็รู้สึกอึดอัดและขัดใจ
แบบนี้มันเหมือน พวกเขาออกไพ่ใบสุดท้ายกับเจี่ยนถง แต่ไพ่ใบนี้ กลับไม่ได้อยู่ในสายตาของอีกฝ่ายเลย
ติงหน่วนดึงเจี่ยวสือโอวยัดเข้าไปนั่งหลังรถอย่างรู้งาน “แกกับพี่แกควรสนิทกันเอาไว้ เดี๋ยวแม่นั่งข้างคนขับเอง”
“ใครอยากสนิทด้วย” เด็กน้อยยังคงต่อต้าน
ติงหน่วนหันไปมองเจี่ยนถงอย่างกระอักกระอ่วนอีกครั้ง แต่ก็ต้องผิดหวัง เมื่ออีกฝ่ายไม่ได้สนใจอะไรเลย ยังคงยุ่งอยู่กับเอกสารในมือ
ติงหน่วนจึงทำได้แค่แอบหยิกแขนของเจี่ยวสือโอว “ไอ้ลูกคนนี้”
เจี่ยวสือโอวขึ้นมานั่งบนรถอย่างไม่เต็มใจ
ระหว่างทาง เมื่อติงหน่วนมองผ่านกระจกหลัง แล้วเห็นว่าข้างๆเจี่ยนถงมีเอกสารมากมายวางอยู่ข้างๆ ดวงตาของเธอหลุกหลิก
“เอ่อ……คุณนายเสิ่น ยุ่งมากเลยเหรอคะ”
สิ่งที่ตอบกลับมามีแค่ความเงียบในอากาศ
ติงหน่วนไม่ยอมแพ้ เอ่ยถามอีกว่า “เอ่อคือ เอกสารเยอะขนาดนี้ ผลประกอบการของเจี่ยนซื่อกรุ๊ปคงดีมากสินะ?”
ใบหน้าหมดจรดของวิเวียนพลันดุดันขึ้นมา “เงียบหน่อยได้ไหมคะ เวลาที่ประธานเจี่ยนทำงาน ไม่ชอบให้ใครมารบกวนค่ะ”
การตอกกลับของวิเวียน ในสายตาของติงหน่วน มันกลับเป็นการเปิดเผยข้อมูลบางอย่างออกมาอย่างไม่ต้องสงสัย
ในใจพลันแสยะยิ้มอย่างเย็นชา เจี่ยนเจิ้นตงพูดเอาไว้ไม่มีผิด เจี่ยนถงคนนี้เป็นลูกเนรคุณจริงๆด้วย
ส่งสายตาแผดเผามองเจี่ยนถงผ่านกระจกหลัง ของพวกนี้ เดิมทีมันควรเป็นของเสี่ยวโอว
ตลอดทางไม่มีใครเอ่ยพูด มีแค่เสียงกระดาษตีกับแอร์ภายในรถ
วิเวียนค่อนข้างเป็นห่วงเจี่ยนถง “ประธานเจี่ยน ถึงแล้วค่ะ”
“หืม? ถึงแล้วเหรอ?” หญิงสาวเพิ่งได้เงยหน้าขึ้นมาจากงาน ในตอนที่เปิดประตูรถลงไป วิเวียนก็เห็นว่าเธอเอาเอกสารที่ยังอ่านไม่เสร็จยัดใส่กระเป๋าไปด้วย เธอจึงอดพูดขึ้นมาไม่ได้ว่า
“ประธานเจี่ยน งานน่ะค่อยๆทำก็ได้ เรามาที่นี่เพื่อตรวจสอบการจับคู่อวัยวะ ไม่ต้องเอางานเข้าไปด้วยหรอกค่ะ”
ติงหน่วนที่ฟังอยู่ข้างๆ ก็ยิ่งเดาได้ว่าทรัพย์สินและผลประโยชน์ของเจี่ยนซื่อกรุ๊ปมีมากมายขนาดไหน
เจี่ยนถงนวดหัวคิ้ว “ไม่เป็นไร” เธอพูดพร้อมกับเปิดประตูลงไปจากรถ เอกสารพวกนี้ด่วนมาก ไม่งั้นเธอคงไม่ทนเวียนหัวอ่านเอกสารพวกนี้บนรถหรอก
ทุกคนเดินเข้าไปในโรงพยาบาล เพื่อทำการเก็บตัวอย่าง เวลาผ่านไปทีละนิด จนเมื่อเก็บตัวอย่างเสร็จ เจ้าหน้าที่ถึงได้เอ่ยว่า “รอผลประมาณหนึ่งอาทิตย์นะครับ”
ติงหน่วนโล่งอก เธอคาดการณ์เอาไว้ตั้งแต่แรกว่า การจับคู่อวัยวะ ต้องรอไปสักระยะหนึ่งผลถึงจะออกมา
แบบนั้นก็จัดการทุกอย่างได้ง่ายเลยสิ
หลังจากที่กลับมาจากโรงพยาบาล ติงหน่วนก็พูดจาใส่สีตีไข่ให้เจี่ยนเจิ้นตงฟังอีกว่า “เสี่ยวถงนี่ก็จริงๆเลย กำแพงหนาอะไรขนาดนั้น คนกันเองแท้ๆ จะระแวงอะไรกันนักหนา”
เจี่ยนเจิ้นตงตีหน้าอึมครึม “นังลูกเนรคุณ ขนาดฉันเป็นพ่อยังคิดจะระแวงอีก” นังเนรคุณคนนั้นไม่ได้ระแวงติงหน่วน แต่ระแวงเขาต่างหาก
ติงหน่วนทำเป็นพูดไกล่เกลี่ยว่า “อย่าคาดเดาไปทั่วเลย จะโทษเสี่ยวถงก็ไม่ได้ ก็เสี่ยวโอวไม่ใช่พี่น้องท้องเดียวกันกับเธอนี่นา ถ้าจะโทษก็โทษเสี่ยวโอวเถอะ ที่ต้องมาเป็นลูกของฉัน”
เจี่ยนเจิ้นตงยิ่งกรุ่นโกรธมากกว่าเดิม “เสี่ยวโอวไม่ใช่ลูกของผู้หญิงคนนั้น แล้วไม่ใช่ลูกของฉันเหรอ?”
“เฮ้อ…..ฉันก็แค่ไม่อยากให้เสี่ยวโอวโดนด่าว่าลูกนอกสมรสอีกแล้ว ถ้าหากเขาสามารถเข้าตระกูลเจี่ยนได้อย่างราบรื่น คนอื่นก็คงจะไม่หัวเราะเยาะเขาอีกต่อไป”
เจี่ยนเจิ้นตงยกมือขึ้นมาบีบเอวคอดกิ่วของติงหน่วน “เรื่องจับคู่อวัยวะน่ะ เธอไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกนะ”
จู่ๆติงหน่วนก้มหน้าลงอย่าหงอยๆ
“ทำไมเศร้าล่ะ”
“ฉันก็แค่คิดว่า ฉันมันเห็นแก่ตัวจริงๆ” ดวงตาของติงหน่วนพราวไปด้วยน้ำตา หันมองเจี่ยนเจิ้นตงด้วยใบหน้ารู้สึกผิด “โม่ป๋ายเองก็เป็นลูกของคุณ เดิมทีเสี่ยวโอวควรที่จะได้ช่วยพี่ชายของเขา แต่เพราะความเห็นแก่ตัวของฉัน………”
“ไม่ต้องพูดแล้ว นังลูกเนรคุณคนนั้นบริจาคให้โม่ป๋ายไม่ได้หรือไง? ทั้งๆที่โม่ป๋ายเป็นพี่ชายของตัวเองแท้ๆ”
เจี่ยนเจิ้นตงอารมณ์เดือด “ช่างมัน เรื่องนี้เธอไม่ต้องไปสนใจมันอีกแล้ว ถ้านังลูกเนรคุณคนนั้นไม่อยากช่วยพี่ชายตัวเองจริงๆ ก็แค่รอให้คนมีหน้ามีตาในเมืองS ประณามการกระทำของนังนั้นก็แล้วกัน”
เดิมทีเขาก็ไม่ได้สนิทกับลูกเนรคุณคนนั้นอยู่แล้ว นังลูกไม่รักดีคนนั้นเติบโตมากับคุณพ่อของเขา ในตอนที่คุณพ่อยังไม่เสีย เขามักจะถูกคุณพ่อเอาไปเปรียบเทียบกับเจี่ยนถงอยู่บ่อยๆ
ผู้ชายวัยกลางคนอย่างเขา ถูกเอาไปเปรียบเทียบกับลูกสาวของตัวเอง เรื่องนี้ทำเขาอับอายจนไม่มีหน้ามองหน้าใครอยู่นาน
ส่วนลูกชายอย่างเจี่ยนโม่ป๋ายก็ถูกแม่ตามใจมาตั้งแต่เด็กๆ จนความสามารถมีขีดจำกัด ถ้าต้องส่งต่อเจี่ยนซื่อกรุ๊ปให้โม่ป๋าย เขาจึงไม่วางใจเลยสักนิด
แต่กับเสี่ยวโอว เขาเห็นลูกเติบโตมากับตา ลูกสองคนที่เกิดมาจากผู้หญิงคนนั้น คนหนึ่งโตมากับแม่ คนหนึ่งโตมากับปู่ มีแค่ลูกของเมียน้อยของเขาเท่านั้น ที่เติบโตมากับเขา
เจี่ยนเจิ้นตงตบไหล่ติงหน่วนเบาๆ “ไปทำซุปให้เสี่ยวโอวไป เด็กกำลังโต เดี๋ยวฉันจะไปทำธุระสักหน่อย”
พูดจบก็ลุกขึ้น เดินไปที่ระเบียง
ติงหน่วนตอบรับแล้วเดินเข้าไปในครัว แต่กลับแอบมองไปทางระเบียง จึงพบว่าเจี่ยนเจิ้นตงกำลังต่อสายหาใครบางคน
……
หลายวันมาแล้วที่ไม่ได้เจอเสิ่นซิวจิ่น
เจี่ยนถงรู้ ว่าคนนั้นไปทำงานนอกสถานที่
ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาไปทำงานนอกสถานที่แบบนี้ แต่เมื่อก่อนไม่ว่าผู้ชายคนนั้นจะยุ่งแค่ไหน เขาก็จะโทรมาหาเธอทุกๆสามเวลาทานอาหารตลอด อย่างกับตั้งนาฬิกาเอาไว้
ก่อนที่ผู้ชายคนนั้นจะไปทำงานนอกสถานที่ เขาก็มักจะเอ่ยเตือนเธอว่า “ถ้าคุณไม่รับโทรศัพท์ ไม่ว่าตอนนั้นจะอยู่ที่ไหน ผมก็จะทิ้งงานทุกอย่างในมือ แล้วบินกลับมาหาคุณให้เร็วที่สุด”
และก็เพราะว่าประโยคนี้ เจี่ยนถงจึงแทบจะไม่กล้าพลาดสายโทรศัพท์ของเขาสักสาย
แทบจะ ใช่ แทบจะจริงๆ
เพราะว่ามีอยู่ครั้งหนึ่ง โทรศัพท์ของเธอแบตหมด แต่สิ่งที่คิดไม่ถึงก็คือ ในครั้งนั้น เป็นเวลาประมาณตีสาม ผู้ชายคนนั้นมายืนอยู่หน้าประตูบ้านเธอในสภาพเหน็ดเหนื่อย
วินาทีที่เปิดประตูออก เธอก็ตะลึงงัน
ผู้ชายคนนั้นยืนอยู่หน้าประตูพร้อมกับกระชากเธอเข้าไปกอดแรงๆโดยไม่พูดอะไรสักคำ
วินาทีที่ถูกกอด เธอสัมผัสได้ถึงหัวใจที่เต้นรัวเร็วของเขาผ่านเสื้อผ้ากั้น เขากอดเธอเอาไว้แน่นมาก แน่นจนเธอเจ็บ ตอนนั้น เธอลังเลอยู่สักพักแต่สุดท้ายก็ไม่ได้ผลักเขาออก
ภายในห้องทำงาน
“ประธานเจี่ยน กำลังมองอะไรอยู่คะ?” วิเวียนกำลังรายงานเอกสารให้อีกฝ่ายฟัง แต่กลับพว่าผู้หญิงที่นั่งอยู่หลังโต๊ะกำลังเหม่อลอย
“ห๊ะ? เปล่า” เธอก้มมองโทรศัพท์อีกครั้ง ก็ยังไม่มีสายโทรเข้าสักสาย
วิเวียนวางเอกสารรายงานประจำไตรมาสในมือลง แล้วนั่งลงตรงข้ามกับเจี่ยนถง “ประธานเจี่ยน ตลอดช่วงบ่ายมานี้ คุณมองโทรศัพท์หลายรอบแล้วนะคะ กำลังรอสายจากใครอยู่หรือเปล่า?”
ดวงตาของวิเวียนเผยแววขบขัน
รู้ดีว่าสาเหตุที่ทำให้เจี่ยนถงเหม่อลอยคืออะไร
“เธอตาฝาดแล้วล่ะมั้ง” หญิงสาวที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานเอ่ยพูดเสียงนิ่ง
“ประธานเจี่ยน เป็นผู้หญิงต้องซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเองนะคะ” วิเวียนพูดขึ้น “ไม่อย่างนั้นคนที่เจ็บก็จะเป็นตัวเราเอง” ถึงแม้เธอจะไม่ได้เห็นดีเห็นงามด้วยก็เถอะ
“เธอตาฝาดเอง” เจี่ยนถงยังคงตอบอย่างเย็นชา
ดวงตาของวิเวียนทอแววร้ายกาจ ตัดสินใจจะจับไต๋เจี่ยนถงให้ได้ “เสี่ยวถง แค่ยอมรับว่ารอสายโทรศัพท์จากประธานเสิ่นมันยากมากหรือไง?”
“ฉันเปล่า”
เธอปฏิเสธจนแทบจะไม่เหลือช่องว่าง วิเวียนกลอกตามองบนอย่างอดไม่ไหว ทันใดนั้นเสียงริงโทนโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาติดต่อกัน
วิเวียนกวาดตามองหน้าจอโทรศัพท์ ตาแหลมพอที่จะเห็นชื่อคนโทรมา “อุ๊ โทรมาแล้ว”
“ฉันไม่ได้รอให้เขาโทรมานะ” ก่อนที่จะรับสาย เจี่ยนถงก็ไม่ลืมที่จะเอ่ยย้ำ
วิเวียนพยักหน้าอย่างเหลือทน “จ้า ไม่ได้รอเลย……….”
เธอพูดยังไม่ทันได้จบ
ตุบ——
“เป็นอะไรไป!” วิเวียนลุกขึ้น เมื่อผู้หญิงที่นั่งอยู่หลังโต๊ะ มีสีหน้านิ่งค้าง
“พูดมาสิ!”
หญิงสาวผิวหน้าขาวซีด จนไร้สีเลือด
“เสี่ยวถง! พูดมาสิ!”
“ฉัน ฉัน…….” เธอพูดคำว่า “ฉัน” อยู่นาน มีเพียงแค่เสียงขาดๆหายๆ พูดออกมาไม่ครบประโยค
“เขา…….เขา………”
“ตกลงเกิดอะไรขึ้น!”
“เขา….ที่ต่างประเทศ…….” เจี่ยนถงหน้าซีดขาว ปากสั่นจนแทบพูดออกมาเป็นคำไม่ได้
“ไปหาผู้หญิงคนอื่น?” วิเวียนเอ่ยถาม ในใจเตรียมด่าเสิ่นซิวจิ่นสุดกำลัง
“เขา เขาถูกยิงที่หัวใจ ตอนนี้อยู่โรงพยาบาล หมอกำลังช่วยชีวิต เขาหมดสติ ไม่รู้สึกตัวไปแล้ว” แทบจะต้องใช้พละกำลังที่มีทั้งหมด เปล่งเสียงพูดประโยคเหล่านี้ออกมา ในตอนที่พูดจบ น้ำตาของเธอก็หลั่งไหลราวกับฝนตก
วิเวียนตัวแข็งทื่อ “เสิ่นซิวจิ่นถูกยิงไม่ได้สติ?” แม้แต่เธอเองยังรู้สึกว่าโลกใบนี้มันช่างตลกร้ายเสียจริง
เพราะแบบนี้หลายวันที่ผ่านมาอีกฝ่ายเลยไม่ได้ส่งข้อความมากำชับเธอ ให้เธอจับตาดูว่าเสี่ยวถงพักผ่อนและทานอาหารครบทุกมื้อไหมงั้นสินะ?
“ไม่ต้องกังวลนะ มันต้องไม่มีอะไร ตอนนี้กำลังช่วยชีวิตอยู่ไม่ใช่เหรอ?”
วิเวียนเองก็ร้อนใจ เธออยากปลอบเจี่ยนถง แต่กลับพบว่าหญิงสาวที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงาน เบิกตาค้างอย่างเลื่อนลอย หยดน้ำตายังคงหลั่งไหลออกมาเหมือนน้ำหลาก
เธอร้อนรน จนเผลอพูดอะไรที่ผิดพลาดออกมา “อย่าร้องไห้สิ ลืมแล้วเหรอว่าเขาทำกับคุณไว้ยังไงบ้าง คุณควรที่จะดีใจสิ คุณไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขาแล้วไม่ใช่เหรอ”
หญิงสาวเอ่ยพึมพำกับตัวเอง “ใช่ ฉันต้องเกลียดเขาสิ ฉันไม่ร้อง ฉันไม่ได้ร้อง”
ผู้หญิงที่พูดคำว่า “ไม่ได้ร้อง” กลับมีน้ำตาไหลออกมาไม่หยุด “นี่อะไร?” เธอยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาแล้วเอ่ยถามราวกับไม่รู้จักว่ามันคืออะไร เงยหน้าขึ้นมาเอ่ยพูดกับวิเวียนอย่างรนๆว่า
“ฉันดีใจมาก ฉันไม่ได้รักเขาแล้ว คนคนนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับฉันอีกต่อไปแล้ว ฉันดีใจ ดีใจจนจะตายแล้ว”
เธอพยายามฉีกยิ้มออกมาอย่างยากลำบาก พยายามยกมุมปากขึ้นอย่างสุดชีวิต แต่ทำไมเธอรู้สึกว่ามุมปากมันถึงได้หนักหน่วง เสมือนมีลูกตุ้มมาถ่วงเอาไว้
“ดูสิ วิเวียน ดูฉันยิ้มสิ ฉันกำลังยิ้ม ฉันกำลังดีใจ ฉันดีใจจริงๆนะ”
วิเวียนทนมองต่อไปไม่ได้ เมื่อเธอเห็นอีกฝ่ายเหมือนจะร้องก็ไม่ใช่เหมือนจะยิ้มก็ไม่เชิง ผู้หญิงตรงหน้ายิ้มออกมาทั้งๆที่ใบหน้าอาบน้ำตา
“เอาล่ะๆ!ไม่ต้องยิ้มแล้วๆ!” วิเวียนพุ่งเข้าไป “ไม่ต้องยิ้มแล้ว เสียใจก็แค่ร้องไห้ออกมา”
“ไม่เสียใจ ฉันดีใจ ฉันดีใจจนไม่ทันตั้งตัว ฉันกำลังยิ้ม เธอไม่เห็นหรือไง ฉันกำลังยิ้มอยู่นะ จะไปเสียใจได้ยังไง กำลังยิ้มอยู่เห็นๆ”
“โอเคๆ คุณกำลังยิ้ม คุณกำลังดีใจ” เธอรู้สึกว่าตอนนี้ผู้หญิงในอ้อมกอดกำลังอ่อนแอ จนเธอไม่กล้าจับผิดคำพูดโกหกเหล่านั้น
ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกเจ็บปวด
หลายวันก่อนยังดีๆอยู่เลย ไม่คิดว่าจะมีข่าวร้ายแบบนี้
“เสิ่นเอ้อบอกว่า……” หญิงสาวสะอื้น
“บอกว่าอะไร?” วิเวียนลอบถามอย่างระมัดระวัง กลัวว่าจะไปแตะถูกจุดอ่อนไหวของหญิงสาวในอ้อมกอด
“บอก บอกว่าเป็นตายเท่าๆกัน” ชั่วขณะก็ไม่มีแม้แต่เสียงจะเปล่งออกมา
วิเวียนอ้าปากค้าง หน้าพลันเปลี่ยนสี…..สาหัสขนาดนั้นเลยเหรอ?
เสิ่นเอ้อถึงได้ใช้คำว่า “เป็นตายเท่าๆกัน” มานิยามอาการของเขาในขณะนี้
ในตอนนี้เอง เสียงโทรศัพท์ของวิเวียนก็ดังขึ้นมา
เป็นเสิ่นเอ้อโทรมา เธอลังเลอยู่สักพัก ยังไม่ทันได้กดรับสาย
หญิงสาวที่อยู่ในอ้อมกอดก็เอ่ยถามอย่างร้อนรน “ใคร?”
“………”ปากของวิเวียนอ้าๆหุบๆอยู่สองสามครั้ง “เสิ่นเอ้อ”
“รีบรับสายสิ!” เจี่ยนถงที่ปกติจะสงบนิ่งเงียบ ในตอนนี้กลับตะโกนบอกวิเวียนเร้าๆ
“ได้ คุณใจเย็นๆก่อน ฉันจะรับ” เธอรู้สึกว่าเจี่ยนตงในตอนนี้ไม่ปกติแล้ว จึงไม่กล้าขัดใจ
เมื่อรับสาย เสิ่นเอ้อก็เอ่ยกำชับอะไรบางอย่าง จากนั้นก็กดตัดสาย
“เขาบอกว่าอะไร!” หญิงสาวในอ้อมกอด ดวงตาแดงเถือก พร้อมกับเอ่ยจี้ถาม
วิเวียนมีท่าทีนิ่งค้าง มองเจี่ยนถงที่อยู่ในอ้อมกอด ในแววตามีแต่ความสงสาร แต่เมื่อสบตากับเจี่ยนถง วิเวียนก็ตั้งสติ แล้วพูดเสียงหนักว่า
“เสิ่นเอ้อฝากมาบอกว่า ให้คุณนายเสิ่นไปอิตาลีเดี๋ยวนี้”
“ฉัน………”
วิเวียนไม่ให้โอกาสเจี่ยนถงได้พูดอะไร พูดต่อว่า
“พาสปอร์ตกับเที่ยวบินส่วนตัว คุณชายซีเตรียมการไว้ให้แล้ว อีกสักพักจะมีคนมารับคุณนายเสิ่น เสิ่นเอ้อบอกว่า ให้คุณนายเสิ่นรีบเก็บกระเป๋า เอาไปแต่ของที่จำเป็น แต่ว่า”
เธอกัดฟันพูดว่า “ทางที่ดีควรเตรียมชุดดำที่เป็นทางการไปด้วย ที่ต่างประเทศค่อนข้างเรื่องเยอะ เกรงว่าจะไม่มีเวลาไปซื้อใหม่”
ร่างกายของเจี่ยนถง สั่นไหวอย่างรุนแรง เธอค่อยๆยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาช้าๆเหมือนหุ่นกระบอก
“ฉันจะไปเตรียมตัว”
เธอหันหลังอย่างแข็งทื่อ วิเวียนมองตามแผ่นหลังที่แข็งทื่อราวกับท่อนไม้ ทนไม่ไหว จึงต้องตะโกนตามหลังไปว่า
“นี่! อยากร้องก็ร้องออกมาดังๆเถอะนะ!”