“อาซิว เป็นอะไรไป……..”ไป๋ยู่สิง เอื้อมมือไปหาชายหนุ่มที่อยู่บนเตียงอย่างร้อนรน
“อย่ามาแตะต้องตัวผมนะ!”ผู้ชายบนเตียงถดตัวถอยด้วยความกลัว ซีเฉินก้าวไปข้างหน้า เพราะกลัวว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บ
“อาซิว อย่าเพิ่งขยับ ระวังแผลด้วย”
คราวนี้ ปฏิกิริยาของอีกคนเริ่มรุนแรงขึ้น ถึงขั้นยื่นแขนที่เต็มไปด้วยสายน้ำเกลือ สะบัดกวัดแกว่งไปทางซีเฉินที่จู่ๆก็พุ่งตัวเข้ามา
“อาซิว เป็นอะไรไป?ฉัน!ฉันเอง!ซีเฉินไง!”
ไป๋ยู่สิงยื่นมือออกไปคว้าตัวซีเฉินที่กำลังจะก้าวไปข้างหน้าอีกครั้ง “ใจเย็นก่อน อาซิวยังอยู่ในสภาวะที่ไม่คงที่”
“พวกคุณเป็นใครกัน?ออกไปนะ ออกไปเลย” คำพูดคำจาราวกับเด็ก เขามองดูกลุ่มคนที่อยู่รายรอบเตียงผู้ป่วยด้วยสายตาที่หวาดกลัวและตื่นตระหนก ทันใดนั้น สายตาก็พลันไปเจอหญิงสาวที่อยู่ข้างเตียง เขาก็สงบลงทันที
วินาทีต่อมา เขาไม่ได้คำนึงถึงสายระโยงระยางบนตัว ท่ามกลางสายตาที่ตระหนกตกใจของทุกคน เขาก็โถมตัวเข้าใส่เจี่ยนถง แล้วพูดออกมาอย่างน่าสงสารว่า
“พี่สาว ผมกลัว”
เจี่ยนถงตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะ เธอโน้มศีรษะมองชายหนุ่มร่างใหญ่ในอ้อมกอดที่กำลังร้องของความช่วยเหลือ
ไม่ใช่แค่เธอ คนอื่นๆก็ต่างพากันยืนอึ้งเป็นหิน เฝ้าดูฉากแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นในตอนนี้
“เอ่อคือ……อาซิว?” ซีเฉินใช้น้ำเสียงที่แม้ตัวเองยังแปลกใจ เพื่อคลายความสงสัยของทุกคนในตอนนี้
สีหน้าของไป๋ยู่สิงอึมครึมทันที เขาตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น“เร็วเข้า!รีบแจ้งด็อกเตอร์รุเตร”
ด็อกเตอร์รุเตรเป็นแพทย์ประจำของเสิ่นซิวจิ่น
“พี่สาว ช่วยบอกให้พวกเขาออกห่างจากผมจะได้ไหม?”
เจี่ยนถงมองไปที่ใบหน้าอันหล่อเหลาของเสิ่นซิวจิ่น ที่ประดับไปด้วยความหวาดกลัวราวกับเด็ก เธอสังเกตเห็น เสื้อของเธอถูกมือคู่หนึ่งจับไว้แน่น ปฏิกิริยาของเธอเชื่องช้า…….นี่ใช่…….ผู้ชายคนนั้นจริงๆเหรอ?
ด็อกเตอร์รุเตรมาแล้ว เขารู้ดีว่าอาการของผู้ป่วยมีความผิดปกติ แต่ชายหนุ่มบนเตียงกลับไม่ยอมให้ความร่วมมือกับการตรวจ เอาแต่เกาะเจี่ยนถงอยู่อย่างนั้น มือทั้งสองข้างจับเสื้อของเจี่ยนถงเอาไว้ไม่ยอมปล่อย
ด็อกเตอร์รุเตรจนปัญญา“คุณเสิ่นปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือ”
สายตาของทุกคนหันไปมองที่เจี่ยนถงในทันที สีหน้าของเจี่ยนถงเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ในเมื่อเขาไม่ให้ความร่วมมือ เธอก็คงทำอะไรไม่ได้หรอก
“ตอนนี้เขาฟังแค่คุณคนเดียว”ไป๋ยู่สิงพูดเสียงนิ่ง
ความหมายก็ชัดเจนในตัวมันอยู่แล้ว
สายตาของทุกคนในห้องนี้ต่างจ้องมาที่เจี่ยนถง เธอถอนหายใจ เธอไม่ถนัดประนีประนอมเกลี้ยกล่อมเด็กอย่างเสิ่นซิวจิ่น
เธอรู้สึกว่าตัวเองกำลังเผชิญหน้ากับชายหนุ่มร่างใหญ่ แต่สติปัญญากลับเป็นแค่เด็กที่ยังไม่โต
ผลพิสูจน์ว่า……..
“คุณเสิ่นจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตไม่ได้เลย”
ไป๋ยู่สิงก็เป็นบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งเขาเหมาะที่สุดที่จะต่อประโยคสนทนากับด็อกเตอร์รุเตร“คุณจะบอกว่า เขาความจำเสื่อม ?”
“ไม่ใช่ครับ ไม่รู้สาเหตุที่แน่ชัด รู้เพียงแต่ว่าความคิดความอ่านของคุณเสิ่น ย้อนกลับไปช่วงอายุแปดขวบ”
ปฏิกิริยาของไป๋ยู่สิงดูเคร่งขรึม “นั่นก็แปลว่า ในตอนนี้เขามีความคิดและความเข้าใจเท่าเด็กปวดขวบ?”
ด็อกเตอร์รุเตรเอ่ยพูดอย่างสงสาร
“ไม่ต้องกังวลนะครับ เคสแบบนี้อาจจะดีขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป หรือบางทีถ้ามีเรื่องราวอะไรมากระตุ้น ก็จะสามารถดีขึ้นได้”
คนเป็นหมออย่างไป๋ยู่สิงรู้ดีว่านี่เป็นคำพูดปลอบโยนโดยทั่วไปของคนเป็นหมอ อาการของผู้ป่วยอาจหายได้ภายในหนึ่งหรือสองเดือน บางทีอาจจะสามถึงห้าปี หรืออาจจะนานกว่านั้นเสียด้วยซ้ำ
“ข่าวดีก็คือ คุณเสิ่นฟื้นขึ้นมาแล้ว สัญญาณชีพจรของเขาก็อยู่ในสภาวะปกติ”
ด็อกเตอร์รุเตรออกจากห้องผู้ป่วยไป
เจี่ยนถงมองไปยังชายหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย ใบหน้าที่คุ้นเคย บัดนี้กลายเป็นสีหน้าที่ไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย——ดูระแวงราวกับเด็กไม่มีผิด
“พี่สาว ผมทำให้พี่อารมณ์เสียเหรอ?”
ลำคอของเจี่ยนถงเริ่มแห้งผาก เธอส่ายหน้าด้วยท่าทีที่ซับซ้อน
“แล้วทำไมดูไม่มีความสุขเลยล่ะ?”
คำพูดของเด็กมักจะไร้เดียงสา แต่ในเวลานี้เจี่ยนถงกลับหันหน้าหนีด้วยความอนาถใจ