เจี่ยนถงให้น้ำเกลือติดต่อกันมาสามวัน อาการถึงดีขึ้น อุณหภูมิในร่างกายถึงค่อยๆลดลงมาเป็นค่าปกติ
ค่ำคืนนี้ เธอมองดูผ้าปูและผ้านวมบนเตียง รู้สึกปวดหัวเป็นระยะๆ คนคนนี้ ดูท่าจะไล่ยังไงก็ไม่ยอมไปแน่ และคนคนนี้ หลังจากสูญเสียความทรงจำทั้งหมดแล้ว คือไม่รู้ว่าฝึกฝนจนกลายเป็นคนหน้าด้านหน้าทนไปแล้ว หรือว่าเขารู้ว่าเธอคงไม่ไล่เขาอีกกันแน่ เขาเลยถึงได้ยิ่งทำตัวเหิมเกริมไม่มีเหตุผล พยายามใช้ทุกสารพัดวิธีดื้อรั้นอยู่ในห้องของเธอทุกคืนไม่ยอมไปไหน ถึงต้องนอนที่พื้น เขาก็เต็มใจ
“ถงถง อุ่นเท้าให้”
คนคนนั้นก็เหมือนทุกคืนก่อนหน้า วิ่งมาที่เตียงของเธอแล้วช่วยเธออุ่นเท้าโดยที่ไม่ได้ถามเธอเลยสักคำ
ถึงแม้เธอจะปฏิเสธเขาด้วยถ้อยคำเย็นชา ให้สีหน้าเขา เขาก็เหมือนไม่เห็นอย่างไรอย่างนั้น
เธอหน้าบึ้ง ปล่อยให้เขาที่อยู่ปลายเตียงช่วยเธออุ่นเท้าอย่างชำนาญไป ไม่ใช่ว่าเธอไม่ปฏิเสธเขาเหรอกนะ แต่ความจริงได้พิสูจน์ว่า หลังจากคนคนนี้สูญเสียความทรงจำทั้งหมดแล้ว ยิ่งกลายเป็นคนหัวแข็งดื้อดึงไม่ยอมฟังใครมากขึ้น
ไม่ว่าเธอจะปฏิเสธเขายังไง หรือพูดคำรุนแรงหยาบคายใส่เขา สุดท้ายก็หนีไม่พ้นฝ่ามือคู่นั้นอยู่ดี ที่กำเท้าทั้งคู่ของเธอเอาไปตากไว้ที่หัวเข่าของเขา
เธอมองไปทางเขา คนที่อยู่ปลายเตียงกำลังก้มหน้าอยู่ และผมดำเงางามทิ้งตัวอยู่ที่หน้าผากช่อสองช่อ บดบังใบหน้าหล่อและคิ้วดกของเขา ที่กำลังทำเรื่องที่เธออธิบายไม่ถูกอยู่
ถ้าหาก……ถ้าหากคนคนนี้มีสติ เจี่ยนถงคิดในใจ ถ้าหากคนคนนี้มีสติอยู่ดีล่ะก็ เธอกลับสามารถพูดเหตุผล หรือใส่อารมณ์กับเขาได้
แต่ตอนนี้ คนคนนี้กลับจำอะไรไม่ได้เลย เธอใส่อารมณ์กับเขา เขากลับมองเธอด้วยสายตามึนงงไม่เข้าใจ แล้วถามเธออย่างเต็มปากว่าทำไมต้องโกรธเขา
เมื่อไหร่ก็ตาม พอถึงเวลาแบบนี้ เจี่ยนถงก็จะรู้สึกอารมณ์โมโหของเธอไม่มีที่ระบาย สุดท้ายก็ได้แต่หันหน้าไปอีกทาง ปล่อยให้เขาทำตามใจอย่างแข็งทื่อ
“พรุ่งนี้ ฉันจะไปทำงาน”
“แต่ว่า……
“คุณปู่หวางได้พูดแล้ว อุณหภูมิร่างกายฉันปกติแล้ว”เธอขยับตัว แล้วขยับเท้าที่ตากอยู่บนเข่าของคนคนนั้นเพื่อให้นั่งสบายมากขึ้น บางทีเธอเองอาจยังไม่ทันสังเกตด้วยซ้ำ ปากบอกว่าไม่เอา แต่การกระทำกลับทรยศเธอซะแล้ว ในใจได้ค่อยๆยอมรับและชินกับการที่คนคนนั้นได้อุ่นเท้าให้เธออยู่ที่ปลายเตียงทุกคืนไปแล้ว
ความเคยชินเป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก จำไม่ได้ว่าคำคำนี้ใครเคยพูดไว้ แต่คนมากมาย ได้เคยชินกับสิ่งต่างต่างนาๆอย่างไม่รู้ตัว แต่พอหลังจากชินกับมันแล้ว จู่ๆวันหนึ่ง ตอนที่กำลังอ่านหนังสือ หรือกำลังนั่งรถไฟใต้ดิน หรือแม้แต่ตอนที่กำลังทำเรื่องอะไรบางอย่างอยู่ก็แล้วแต่ ทันใดนั้นกลับสังเกต……เฮ้ย ความเคยชินนี้ เริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ?
แต่สรุปโดยรวมแล้ว ตอนที่ความเคยชินมันเริ่มขึ้น น้อยคนที่จะสังเกตมันได้ การใช้ชีวิตของตัวเรา กำลังถูกเปลี่ยนแปลงไปทีละนิดๆ เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ละเอียดอ่อนมาก มันได้ค่อยๆแทรกซึมแบบไม่ให้ซุ่มให้เสียง
“อืม”คนคนนั้นตอบอย่างคลุมเครือไปคำหนึ่ง แล้วก้มหน้าต่ำ เธอเองก็แค่มองเขาทีหนึ่ง ฝ่าเท้ารู้สึกอุ่นๆ ต่างจากปกติที่เธอจะเท้าเย็นอยู่ตลอด
ค่ำคืนนี้ หลับจนถึงเช้าไม่ฝันอะไรเลย ตอนที่เจี่ยนถงตื่นมา รู้สึกร่างกายมีเรี่ยวมีแรงมาก ต่างจากสองวันก่อนที่อ่อนเพลียไม่มีแรง
เธอใช้แขนพยุงลุกขึ้นจากเตียง แล้วมองไปที่พื้นทีหนึ่งด้วยความเคยชิน กลับสังเกตว่าคนคนนั้นที่ปกติจะตื่นแต่เช้าทุกวัน วันนี้กลับยังนอนมุดอยู่ในผ้าห่มไม่ตื่น
แต่เธอก็ไม่ได้ปลุกเขาให้ตื่น เธอลุกขึ้นจากเตียงโดยตรง โดยเดินอ้อมเขาที่นอนกองอยู่บนพื้นแล้วเดินออกจากห้อง
เข้ามาในครัวแล้ว ก็ต้มน้ำใส่ข้าวสารลงไป เธอจะทำโจ๊ก กินบะหมี่ เส้นอะไรมานาน รู้สึกคิดถึงกลิ่นหอมของโจ๊กมากกว่า
จากนั้น เธอก็เข้าไปในห้องน้ำ ล้างหน้าแปรงฟัน แล้วแต่งตัว
จนกระทั่งเธอแต่งตัวเสร็จ ตอนที่กลับมาในห้องนอนอีกครั้ง คนคนนั้นยังนอนกองอยู่ที่พื้นไม่ตื่นอีก
กลิ่นหอมจากในครัวค่อยๆโชยมา โจ๊กหม้อใหญ่ถูกยกมาเสิร์ฟบนโต๊ะเรียบร้อย
เธอคิดในใจ โจ๊กก็ต้มเสร็จแล้ว คนคนนั้นก็น่าจะตื่นแล้ว
เธอเดินกลับไปที่ห้องนอนอีกครั้งด้วยความไม่เต็มใจ “ตื่น”เธอยืนอยู่ข้างขาของคนคนนั้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย
แต่เขากลับไม่มีปฏิกิริยาใดๆ
เดิมที ตัวเธอเองก็รู้สึกมีอารมณ์ความรู้สึกสับสนต่อคนคนนั้นอยู่แล้ว เวลานี้ ยิ่งไม่มีอารมณ์ดีที่จะพูดกับเขา
“นายจะนอนถึงเมื่อไหร่กัน?”เธอถามอย่างเย็นชา
สิ่งที่ตอบรับเธอคือความเงียบ และร่างกายที่ยิ่งขดตัวของคนคนนั้น
“นี่!ฉันเรียกนายอยู่นะ ตื่นได้แล้ว!”ทันใดนั้น อารมณ์โกรธพุ่งขึ้นมาทันที เธอนั่งลงไปผลักเขาด้วยอารมณ์เสียทีหนึ่ง
แต่การผลักครั้งนี้กลับ……
สีหน้าของเจี่ยนถงเปลี่ยนทันที เธอรีบยื่นมือไปแตะที่หน้าผากของเขา ตัวเขาร้อนมาก
จู่ๆ ก็ตื่นตระหนกโดยไม่มีเหตุผล เธอเร่งรีบไปหาเครื่องวัดอุณหภูมิร่างกาย
“เสิ่นซิวจิ่น ตื่น ตื่นสิ”เธอตบหน้าเขาหลายที คนคนนั้นถึงสะลึมสะลือลืมตาขึ้น หลังจากตื่นแล้ว คำแรกก็พูด
“ถงถง ผมไปต้มบะหมี่ให้นะ”
ต้มบะหมี่กับผีสิ!
เจี่ยนถงแอบด่าคำหยาบในใจ
เธอเอาเครื่องวัดอุณหภูมิยัดใส่ใต้รักแร้ของเขาด้วยสีหน้าบึ้งตึง แต่คนคนนั้นกลับไม่ยอมให้ความร่วมมือ
เธอขู่เขาทันที “ถ้าไม่ให้ฉันวัดอุณหภูมิใต้รักแร้ นั้นฉันก็เปลี่ยนไปวัดอุณหภูมิทวารหนักแทน”
ทีนี่ เขาถึงยอมยกแขนขึ้น ปล่อยให้เธอสอดเครื่องวัดอุณหภูมิที่ใต้รักแร้อย่างดีๆ
ไม่ต้องคิดเลย ถึงไม่ใช้เครื่องวัดอุณหภูมิร่างกาย ก็รู้ว่าคนคนนี้กำลังไข้ขึ้นสูง
พอถึงเวลา เธอหยิบเครื่องวัดออกมา เห็นอุณหภูมิบนนั้น เธอตกใจจนมือสั่น เกือบจะทำเครื่องวัดอุณหภูมิตกจากมือ
เธอกระวนกระวายใจรีบไปหยิบมือถือที่โต๊ะเครื่องแป้งด้วยอาการมือสั่น “ซีเฉิน คุณรีบมา รีบพาคุณปู่หวางมาหน่อย”
ปลายสาย ซีเฉินฟังน้ำเสียงรีบร้อนของเธอออก แต่คุณหมอที่บ้านของเธอบอกว่าอาการของเธอดีขึ้นแล้วหนิ
เขาเลยถาม “วันนี้ยังอยากจะให้น้ำเกลือต่ออีกวันเหรอครับ เผื่อว่าอาการจะได้ทรงตัวใช่มั้ย?”
“ไม่ใช่ฉัน!”เสียงของเธอสั่นคลอน “เขา เขาไข้ขึ้น 41.2องศา”
ฝั่งซีเฉินตะโกนขึ้นคำหนึ่ง “คุณรอผมก่อน ผมจะรีบพาคุณหมอมา!”
เวลาเหมือนยาวนานมาก คนคนนั้นฟื้นมาได้แค่แป๊บเดียว ก็หมดสติไปอีกแล้ว
เธอไม่รู้ว่าทำไม เวลานี้ ตัวเองถึงได้ว้าวุ่นใจมาก เขายังคงนอนอยู่ที่พื้น เธออยากจะปลุกเขาให้ตื่น”ตื่น ตื่นสิ เสิ่นซิวจิ่น คุณตื่นสิ ขึ้นไปนอนบนเตียง”
คนคนนั้น”อืม”พูดมาคำหนึ่ง แล้วไม่ลืมตาอีกเลย เห็นเขาขมวดคิ้วจนแน่น คงต้องทรมานมากแน่
เธอมองดูเขาทีหนึ่ง กัดฟันแล้วเปิดผ้าห่มบนตัวเขาออกโดยที่ไม่ลังเลนั่งลงไปจับแขนเขาไว้ อยากจะช่วยเอาเขาขึ้นไปนอนบนเตียง
ร่างกายของคนเรามันแปลกมาก ตอนที่พอมีสติอยู่ แค่ผู้หญิงคนเดียว ยังพอลากร่างผู้ชายขึ้นได้ แต่ถ้าคนคนนั้นไม่มีสติเลย มันก็เหมือนท่อนเหล็กที่หนักและหนักมาก
เธอกัดฟันจนแน่น หน้าผากมีเหงื่อออกเท่าเมล็ดถั่วเขียว ขาสองข้างของเธอสั่นคลอนแทบจะอ่อนแรง แต่ก็พยายามลากผู้ชายขึ้นมา แทบจะใช้แรงทั้งหมดที่มี ในที่สุดก็ช่วยย้ายเขาขึ้นไปนอนที่เตียงจนได้
เธอรอต่ออีกไปสักพัก แล้วเดินไปมาในห้องไม่หยุด ท่าทางดูกังวลมาก
ทำไมช้าขนาดนี้ ทำไมยังไม่มาอีกนะ
ทำไมนานจัง
ระหว่างที่กำลังร้อนรนใจอยู่นั้น ซีเฉินก็เร่งรีบมาถึงพอดี
คุณหมอหวางเข้ามาในห้องนอน เธอกับซีเฉินยืนอยู่ข้างๆ
“41.2องศา รีบไปหยิบกล่องยาฉันมาหน่อย!”