เจี่ยนถงมองฉินมู่มู่แวบหนึ่งอย่างลึกซึ้ง
“แกเอาเจี่ยนซื่อมาขู่ฉันงั้นเหรอ”
“เจี่ยนถง แกไปฟ้องสิ ถึงตอนนั้นทั้งโลกก็จะรู้ว่าเจี่ยนซื่อก็แค่เปลือกหอยที่ว่างเปล่า
ฉันมีความสุขที่เห็นแกเสียทุกอย่างไป
แกที่เสียทุกอย่างไปแล้ว ยังจะสามารถมายืนไต่สวนฉันอยู่หน้าฉัน ท่าทางทำตัวสูงส่งเหมือนตอนนี้อีกหรือไม่!”
ที่เธอเกลียดสุดก็คือเจี่ยนถง เธอมีสิทธิ์อะไรมาทำท่าทีไม่ถือสาคนอื่นแบบนี้
คนที่อดีตเคยต่ำต้อยแบบนั้น มีสิทธิ์อะไรถึงแค่หันหลังไป ผ่านไปสามปีก็ใช้ชีวิตดีกว่าเธออีกแล้ว
ผู้หญิงที่สกปรกและต่ำต้อยอย่างเจี่ยนถงแบบนี้ ตัวเองกลับไม่มีวันเทียบกันได้เลย?
“แกมีความสามารถอะไรเหรอ มันก็แค่ลูกสืบทอดกิจการจากพ่อเองนิไม่ใช่เหรอ
ทุกสิ่งทุกอย่างที่แกมี ล้วนเป็นคนในครอบครัวของแกให้มา
ไม่ ไม่ใช่สิ
คือแกแย่งมาจากในมือของคนในครอบครัวแกเอง
เจี่ยนถง แกไม่ใช่แค่ต่ำทรามอย่างเดียว แกยังใจดำด้วย
ขนาดคนในครอบครัวของตัวเองยังไม่ยอมปล่อยเลย!”
“ปัง!” มือของเหล่าจินกำลังสั่นอยู่ “คุณพูดมั่วอะไรอยู่! ประธานเจี่ยนบอกแล้วว่าเรื่องที่แล้วก็แล้วกันไป คุณยังจะวุ่นวายอีกถึงเมื่อไหร่!”
ทันใดนั้นฉินมู่มู่กลับบ้าไปแล้ว หันหัวแรงๆ ที จ้องตามองเจ้าหัวล้านเหล่าจินที่อยู่ข้างๆ
“แกคิดว่าแกดีไปถึงไหนเหรอ
ตอนแรกแกก็ดูถูกผู้หญิงคนนี้เหมือนกันนิ บอกว่าเธอโหดเหี้ยมอำมหิต ขนาดคนในบ้านเดียวกันก็ไม่ยอมปล่อยไม่ใช่เหรอ!”
สีหน้าของเหล่าจินขาวซีดลงมาทันที รีบมองไปที่หน้าของเจี่ยนถง “ประธานเจี่ยน ไม่ใช่……ไม่ใช่เป็นอย่างที่คุณคิดแบบนั้นนะ”
“ไม่ต้องปฏิเสธเลย กล้าพูดแต่ไม่กล้ายอมรับงั้นเหรอ
อย่างน้อยฉันก็ดีกว่าอย่างหนึ่ง ฉันยอมรับในสิ่งที่ฉันทำ! แกกล้าไหมล่ะ!”
“เจี่ยนถง แกนึกว่าแกชนะใจคนมากเลยเหรอ
แกรู้หรือเปล่าว่าทั้งบริษัทอยู่ลับหลังเรียกแกว่าอะไร
แบล็ควิโดว์!
อ๊ะ ฉันลืมไปแล้ว แกก็แค่แรงงานนักโทษที่ไม่ได้จบการศึกษาแม้แต่มัธยมเลยนิ จะไปรู้ได้ยังไงว่าความหมายของแบล็ควิโดว์คืออะไร
ให้ฉันช่วยอธิบายให้แกฟังหน่อยไหม”
เจี่ยนถงแค่มองใบหน้าอันโกรธเคืองสุดๆ ที่อยู่ข้างหน้านี้อย่างเงียบๆ อดีต เธอไม่เคยโมโหเพราะเรื่องแบบนี้เลย ปัจจุบัน ยิ่งไม่เกิดควันใดๆ ขึ้นมา
“พูดจบหรือยัง”
ภายใต้หัวใจที่ขึ้นๆ ลงๆ อย่างแรงกับสายตาอันปนเปไปด้วยความโกรธเคือง เจี่ยนถงเปิดปากถามด้วยเสียงเรียบอย่างไร้อารมณ์
“ฉินมู่มู่ แกรู้ไหมว่าทำไมเมื่อกี้ฉันถึงยอมไม่ถือสาเรื่องที่แกเปิดเผยความลับ ปล่อยให้เรื่องมันผ่านไป”
ฉินมู่มู่ยื่นคอขึ้นมาจนเส้นลมปราณโป่งพองขึ้นมาหมด เห็นได้เลยว่าไม่พอใจเจี่ยนถงมากขนาดไหน
“เพื่ออะไรอ่า” เจี่ยนถงถอนหายใจออกมาคำหนึ่งเบาๆ
ฉินมู่มู่จ้องไปแรงๆ “แกไม่ต้องมาสงสารเลย! ทำเป็นเศร้าอาดูรเจ็บแค้นมาให้ใครดู”
“เพื่ออะไรล่ะ……ฉินมู่มู่ เรื่องที่เปิดเผยความลับ ฉันไม่ได้ถามแกรายละเอียดอะไรมาก ไม่ได้ถามแกว่าสมัครใจหรือไม่ได้ตั้งใจ
รู้ไหมว่าทำไมฉันถึงไม่ไปถือสาเรื่องนี้
ถ้าสมมติว่าแกฉินมู่มู่จงใจอยากจะทำร้ายเจี่ยนซื่อจริงๆ อย่างนั้นสื่อข่าวสื่อข่าวมีตั้งเยอะตั้งแยะ เรื่องที่ห่วงโซ่กองทุนของเจี่ยนซื่อฉีกขาด แค่แกอยากจะเผยแพร่ ก็สามารถวุ่นวายจนคนทั้งโลกรู้กันหมดตั้งนานแล้ว”
ดวงตาของเจี่ยนถงแจ๋วแหวว สะท้อนในตาของฉินมู่มู่โดยไม่หลับตาเลย
“แต่ความเป็นจริงคือจนถึงตอนนี้ ก็มีแค่คาย์อัน เฟโรกิคนเดียวที่รู้เรื่องนี้”
ตอนที่อยู่ในบริษัทเธอก็คิดถึงเรื่องเหล่านี้แล้ว
ข่าวสารคือจดหมายที่มีปีก ถ้ามีคนอยากจะเผยแพร่ให้ทั้งโลกรู้ แบบนั้นทั้งโลกก็รู้ตั้งนานแล้ว
“ฉินมู่มู่ เพื่ออะไรเหรอ เพราะแค่เกลียดฉันอย่างนั้นเหรอ” เพราะฉะนั้นจึงไม่แก้ตัวแม้แต่ประโยคเดียวเลยเหรอ
ฉินมู่มู่ตะลึงอย่างกะทันหัน วินาทีต่อไปกัดริมฝีปากไว้แรงๆ จ้องเจี่ยนถงอย่างเกรี้ยวกราด
“ฉันเกลียดแกมากก็จริง!
คนที่ฉันเกลียดที่สุดในชีวิตนี้ ก็คือแก!
ฉันไม่เคยเกลียดคนไหนเท่าเกลียดแกเลย
แต่อย่างน้อยฉันฉินมู่มู่ก็ไม่ได้ถึงขั้นสติฟั่นเฟือน!
คนทั้งหมดในเจี่ยนซื่อมีครอบครัวเป็นพันๆ ใช้ชีวิตโดยการพึ่งพาเจี่ยนซื่อ
ฉันฉินมู่มู่ถึงจะเกลียดแกจนตบแกหนึ่งฉาด ก็ไม่มีทางทำให้พนักงานจำนวนมากตกงาน ทำให้ตั้งหลายครอบครัวไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ต่อไปได้เพราะผลประโยชน์ส่วนตัวแบบนั้น”
เจี่ยนถงมองฉินมู่มู่เนิ่นนาน จู่ๆ ก็ขำ “พู” ออกมาเสียงหนึ่ง ยื่นมือออกมาผลักฉินมู่มู่ออกไป “ต้องบอกเลยว่า ตอนนี้แกเนี่ย น่ารักขึ้นเยอะเลย”
เธอยกมือขึ้นมาดูนาฬิกาข้อมือ “เวลาไม่เช้าแล้ว ฉันขอตัวไปก่อน”
เหล่าจินอยู่ข้างๆ ยังคงอกสั่นขวัญแขวนอยู่ “ประธานเจี่ยน ตอนนั้นที่ผมพูดแบบนั้น คือเพราะว่า……”
“พอแล้ว” เจี่ยนถงไม่ได้ให้เหล่าจินร่ายยาว ขณะที่เธอเปิดปากพูดออกมา สีหน้าของเหล่าจินซีดลง วินาทีต่อมา
“เคยพูดก็คือเคยพูด” เจี่ยนถงกล่าวอย่างสงบนิ่ง “เป็นไปไม่ได้ที่ฉันจะไม่หักโบนัสเดือนนี้ของคุณเพียงเพราะคุณยอมรับความผิดพลาดหรือแก้ตัว”
พูดจบ เจี่ยนถงยื่นมือเปิดประตูห้อง “ฉินมู่มู่ ถึงแม้ฉันจะยกโทษให้แกแล้ว แต่แกอยู่เจี่ยนซื่อต่อไม่ได้ ส่วนเรื่องที่แกเกลียดฉัน ก็เกลียดต่อไปเหอะ” เธอเดินออกไปจากประตูห้อง หันหลังกลับส่องเข้าไปในห้อง “ไปหาคนดีคนหนึ่ง ใช้ชีวิตให้ดี” บนใบหน้าของเธอ ยังมีความทำตัวสูงส่งที่ฉินมู่มู่เกลียดที่สุดห้อยไว้อยู่ “ฉันอนุญาตให้แก เกลียดฉันจนถึงวันที่ฉันตายวันนั้น”
ฉินมู่มู่ก็มองดูด้านหลังอันกะโผลกกะเผลกนั้นหายไปจากหน้าเธออย่างตะลึง
สักครู่ เหมือนกับเบลอๆ งงๆ “เหล่าจิน เธอหมายความว่ายังไง” กระโดดขึ้นมาทันที กระทืบเท้าแรงๆ “ฉันเกลียดการให้ทานที่ทำตัวสูงส่งอันคิดไปเองของเธอแบบนั้นที่สุดแล้ว! ฟ้องฉันสิ! ฉันไม่กลัว!”
……
ท่ามกลางลมยามกลางดึก เมื่อเจี่ยนถงกลับถึงบ้านก็ตีสามแล้ว
ขณะที่เปิดประตูออกมา เปลี่ยนรองเท้าแตะอันรอเจ้าของของเธอกลับมาอยู่ที่วางไว้ตรงทางเข้าเรียบร้อยแล้วคู่นั้นอย่างเคยชิน รองเท้าแตะกระต่ายสีชมพูปุกปุย ตอนปลายฤดูใบไม้ร่วงเท้าจะรู้สึกอุ่นมาก
เธอตะลึงเล็กน้อย ไฟของห้องรับแขกในคืนนี้ปิดอยู่
หลับแล้วเหรอ
นิ้วมือกดสวิตช์ในห้องรับแขกลง ทันใดนั้น ในห้องมีแสงอบอุ่นแล้ว
เธอมองไปทางห้องรับแขกโดยสัญชาตญาณ……ไม่มีคน?
จึงรีบเดินไปที่ระเบียง
บนระเบียงมีกล้องโทรทรรศน์อันวิชาชีพสุดๆ เครื่องนั้นวางไว้อยู่ แต่ไม่มีใครอยู่สักคนเลย
แล้วคนล่ะ
ในใจอยู่ๆ ก็หวาดหวั่นขึ้นมา จากนั้นจึงหันหลังไปที่ห้องนอน ฝีเท้าเร่งรีบไปหน่อย ผลักประตู เปิดไฟ สำเร็จกระบวนเพียงหนึ่งลมหายใจ
ใจที่ยกขึ้นมา ในที่สุดก็ได้วางลงมา
เธอเดินออกสองก้าว ย่อลงไปตรงที่เขาปูที่นอนลงบนพื้น ดูผมยุ่งๆ ของเขาโผล่ออกมาข้างนอกผ้าห่มอย่างยุ่งเหยิง ถ้าไม่ไปคิดคนที่อยู่ในผ้าห่มนี้คือใคร ไม่ไปดูหน้าใบนั้น เธอรู้สึกว่าคนที่อยู่ข้างหน้าคนนี้ก็ยังน่ารักอยู่นิดหน่อย หัวฟูๆ โผล่ออกมาข้างนอก ทั้งคนขดตัวอย่างกับกุ้ง
เขาเล่ากันว่าคนที่กอดตัวเองไว้เป็นหนึ่งก้อน เวลานอนหลับคือคนที่ไม่มีความรู้สึกปลอดภัย
เสิ่นซิวจิ่น ไม่มีความรู้สึกปลอดภัย?
อดรู้สึกตลกไม่ได้ ส่ายหัวไปมาไม่หยุด……เธอรู้สึกว่าคนที่พูดข้อสรุปแบบนั้นออกมาต้องเป็นสิบแปดมงกุฎแน่เลย นั่นมันคำพูดตวัดลิ้นชัดๆ
เธอคิดไม่ออกเลยจริงๆ เพราะอะไรเสิ่นซิวจิ่นถึงไม่มีความรู้สึกปลอดภัย
ถึงคนทั้งโลกไม่มีความรู้สึกปลอดภัย เสิ่นซิวจิ่นก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีความรู้สึกปลอดภัย
คนในผ้าห่มเหมือนจะถูกทำตื่นมา ดิ้นเล็กน้อย ลืมตาขึ้นมาตาปรือมาก ขยี้ตาและพูดอ่อนๆ ว่า “ถงถงคุณกลับมาแล้วเหรอ ผมต้มบะหมี่และใส่ไว้ในกระติกน้ำร้อนให้แล้ว ผมไปเอามาให้คุณนะ”
คงหิวจริงๆ แล้ว ผู้หญิงอ่อนโยนมาก ไม่ได้ปฏิเสธ “ได้เลย”
คนนั้นจึงรีบมุดออกมาจากผ้าห่มทันที ขยี้ตาอันง่วงนอนอยู่ แต่กลับวิ่งไปห้องรับแขกอย่างเชื่อฟังแล้ว