อาหารมื้อนี้ คนกินไม่มีเสียง ในตาคนดูเหลือแค่เงาของเธอคนเดียว
ผู้หญิงก้มหน้ากินคำต่อคำ คนนั้นที่อยู่ตรงข้าม สองมือเชยคางไว้ ดูอย่างเงียบๆ
คนที่ไม่รู้เหตุรู้ผล สงสัยจะเข้าใจผิดว่าเป็นคู่สามีภรรยากันที่อยู่กันมาหลายปีมากแล้ว
ดึกสงัดเงียบสงบ
พยากรณ์อากาศเตือนว่ากระแสลมหนาวมาเยือน อุณหภูมิต่ำลงในคืนนี้อย่างกะทันหัน
เจี่ยนถงได้ยินเสียงกรอบแกรบและค่อยๆ ตื่นขึ้นมา พอตั้งหูฟังดีๆ จึงสังเกตได้ว่าเสียงกรอบแกรบมาจากใต้เตียง
ลุกขึ้นมานั่งเบาๆ มองไปที่ใต้เตียง
เธอรู้สึกตลอดเลยว่าความชอบส่วนตัวของคนนี้แปลกประหลาดมาก โซฟาในห้องรับแขกก็ยังดีกว่าที่นอนที่ปูกับพื้นในห้องนอนของเธอ แต่คนนี้กลับทำนิสัยดื้อรั้นขึ้นมา ยอมปูที่นอนลงบนพื้นในห้องนอนของเธออย่างหัวชนฝา ก็ไม่ยอมไปนอนที่ห้องรับแขก
ถ้าให้เธอเลือก เธอยอมไปนอนโซฟาในห้องรับแขก
ขณะนี้มองลงใต้เตียง ฟันของคนนั้นสั่นดัง “เอี๊ยดๆ” เอามือโอบตัวเองไว้แน่นๆ ขดตัวเป็นกุ้งตัวหนึ่ง
“ตื่นอยู่ไหม” ท่ามกลางคืนมืด ผู้หญิงถามอย่างเชื่องช้า ไม่มีเสียงแบบฆราวาส
ภายในห้องนอนเงียบกริบ ไม่มีการตอบกลับใดๆ เลย
“แกล้งหลับไม่ใช่แกล้งแบบนี้นะ” เธอพูดอย่างเรียบเฉย
ผ่านไปเนิ่นนาน ในที่สุดคนที่อยู่บนพื้นก็ได้พลิกตัว ลืมตาขึ้นมองเธออย่างละอายใจ
แน่นอนอยู่แล้ว ผู้หญิงไม่เห็นสีหน้าละอายใจของคนนั้นที่อยู่ในห้องนอนท่ามกลางคืนมืดมน
“ถงถง” คนนั้นเรียกเสียงเบาคำหนึ่ง แสดงให้รู้ว่าตัวเองตื่นอยู่
บนเตียง ผู้หญิงขยับตัว “เท้าเย็น”
เปิดปากขึ้นมาเบาๆ อย่างไม่เข้าเรื่อง ผู้ชายที่อยู่บนพื้นพอได้ยินแล้วกลับรีบมุดออกมาจากผ้าห่มทันที “หนาวเหรอ ผมช่วยอุ่นให้คุณ อุ่นแล้วก็จะไม่หนาว”
เธอแทบไม่ต้องไปคิดเลย แป๊บเดียว เท้าเย็นคู่หนึ่งก็เหมือนคลอเคลียเข้าไปในเตาผิงอย่างที่คิดไว้ ถึงแม้เธอที่ชินกับการที่เท้าเย็นอย่างกับแช่ในน้ำแข็ง ขณะที่ก็อดสบายจนคลายคิ้วออกมาไม่ได้
“ช่วงนี้……ได้จำอะไรขึ้นมาบ้างไหม”
เธอถามอย่างกับคุยเรื่อยเปื่อย
คนที่อยู่ปลายเตียงอุ่นเท้าให้เธอไปด้วย ใช้นิ้วมือนวดกดจุดลมปราณใต้เท้าของเธออย่างชำนาญไปด้วย
พอได้ยินคำพูดก็พูดอย่างไม่สนใจ “ถงถงแปลกจังเลย พี่ซีเฉินก็แปลกเหมือนกัน ถามอาซิวอยู่เรื่อยว่าได้จำอะไรขึ้นมาบ้างไหม
อาซิวลืมอะไรไปเหรอ”
ท่ามกลางคืนมืด ลูกตาดำและสว่างคู่หนึ่งบวกกับเสาไฟถนนข้างนอกสะท้อนแสงสว่างเข้ามา เจี่ยนถงอ้าปากค้าง……กลับถูกเขาอุดจนพูดไม่ออก
เขาลืมอะไรไปเหรอ
“ถงถง คุณถามอาซิวอยู่ตลอดว่าจำอะไรขึ้นมาได้ อาซิวควรจำอะไรขึ้นมาเหรอ
ถ้าอาซิวลืมอะไรไปแล้วจริงๆ ถงถงจำได้ ถงถงบอกให้อาซิวได้นะ”
มือของผู้หญิงอยู่ในผ้าห่มกำแน่นขึ้นมา สักพัก “คืนนั้น คุณช่วยบังไม้เหล่านั้นให้ฉันทำไม”
เธออยากถามมาตลอด แต่ไม่เคยถามเลย……ดวงตาของเธอส่องแสงระยิบระยับเล็กน้อย
“เจ็บมากไม่ใช่เหรอ อาซิวกลัวเจ็บที่สุดแล้วไม่ใช่เหรอ”
เธอพูดอย่างอ่อนโยน สงบมาก พูดจบกลับเม้มปากขึ้นมา
“ใช่แล้ว อาซิวกลัวเจ็บที่สุดแล้ว
แต่อาซิวไม่อยากให้ถงถงเจ็บมากกว่า
คืนนั้นเห็นถงถงถูกตี อาซิวก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมในใจทรมานมากๆ เลย ทรมานจนอยากจะกอดถงถงไว้แน่นๆ ซ่อนเอาไว้ ถงถงเจ็บมันทรมานยิ่งกว่าที่อาซิวเจ็บอีก”
ไหล่ของเจี่ยนถงแข็งทื่อขึ้นมา
แสงไฟนอกหน้าต่างส่องเข้ามา ตาของเขาสองคนก็ชินกับความมืดแล้วเช่นกัน
เจี่ยนถงเห็นผู้ชายที่อยู่ปลายเตียงคนนั้นพูดจู้จี้อย่างตาเบลอ “และทุกครั้งที่ถงถงไม่สนใจอาซิว ตรงนี้ของอาซิว” เธอเห็นผู้ชายคนนั้นเอามือไว้ตรงหัวใจพูดว่า “ก็จะเจ็บมากๆ ถงถง คุณคิดว่าอาซิวป่วยหรือเปล่า”
มือที่อยู่ในผ้าห่มกำแน่นอย่างกะทันหัน ฝ่ามือของเธอเปียกเหงื่อเต็มทันทีเลย
คนนั้นถามเธออย่างซื่อบื้อ ว่าเขาใช่ป่วยหรือเปล่า
เจี่ยนถงมองดูเงาของคนที่อยู่ตรงปลายเตียงคนนั้นอย่างตะลึง เปิดปากขึ้นมาหลายครั้ง แต่กลับรู้สึกว่าพูดอะไรก็ไม่ถูก
“เท้า……อุ่นแล้ว” ผ่านไปอีกเนิ่นนาน เท้าอุ่นแล้ว ใต้เท้าถูกนวดกดอย่างมีจังหวะอยู่ ท่ามกลางอากาศ กลัวเงียบเหงาไร้เสียง เธอตีบรรยากาศอันเงียบกริบนี้แตก แต่กลับเหมือนหาคำพูดที่เหมาะสมได้แค่ประโยคนี้ประโยคเดียวมาพูด
ทั้งๆ ที่รู้ดีว่าสติปัญญาของคนนั้นในขณะนี้ไม่สมบูรณ์ จำเป็นต้องไปฟังสิ่งที่เขาพูดอย่างตั้งใจไหม จำเป็นต้อง……ฟังเข้าไปในใจไหม
ใช่สิ ผู้ชายที่มีสติปัญญาไม่สมบูรณ์คนหนึ่ง ไม่ได้ต่างจากเด็กไร้เดียงสาสักเท่าไหร่ จะบอกว่าเขาเป็นคนโง่ก็ไม่ผิด จำเป็นต้อง……เอาคำพูดที่ฟังจากคนโง่คนหนึ่งเข้ามาไว้ในใจไหม
เธอเองก็ไม่ได้สังเกต กลับหัวเราะเยาะเย้ยตนเองโดยไม่รู้ตัว……สิ่งที่ตลกที่สุดคือ คำหวานที่สวยที่สุดที่เคยฟังในชีวิตนี้ กลับออกมาจากปากของคนโง่คนหนึ่ง
“อาซิวดูหน่อยสิ”
เจี่ยนถงยังคงจมอยู่ในกระบวนความคิดของตัวเองอยู่ จึงไม่ได้ไปฟังคนที่อยู่ปลายเตียงคนนั้นพูดอะไรทำอะไรอีก
แค่ตอนที่หางตาเหลือบไปเห็นตรงปลายเตียงเธอรู้สึกอายและตกใจ หดเท้าเข้ามา “คุณทำอะไรอ่ะ!”
คนนั้นกลับวางเท้าของเธอลงมาอย่างพึงพอใจ ยัดใส่เข้าไปในผ้าห่มใหม่และห่มไว้ดีๆ “อืม อุ่นแล้วๆ”
อยู่ๆ เธอก็คิดรู้เรื่องขึ้นมา รอยแดงลอยขึ้นมาบนหน้าอย่างมิอาจควบคุมได้ พอนึกถึงเรื่องที่คนนี้ทำเมื่อกี้อีกครั้ง ทันใดนั้นพาลโกรธขึ้นมา “ถึงคุณอยากจะลองสัมผัสอุณหภูมิดู ก็ไม่จำเป็น ไม่จำเป็น……ไม่จำเป็นต้องเอาหน้ามาลองมั้ง!”
พอนึกถึงเมื่อกี้คนนี้ยกเท้าของเธอไว้ จากนั้นก็เอาหน้าเข้าใกล้ติดกับหลังเท้าของเธออย่างคาดไม่ถึง เพื่อที่จะดูว่าเท้าของเธออุ่นขึ้นจริงหรือเปล่า……ในใจเจี่ยนถงก็มีม้าหนึ่งหมื่นตัววิ่งผ่านไปด้วยความเร็วสูง
เธอไม่เห็นหน้าของเธอในตอนนี้แดงทั้งหน้า จ้องดูคนที่อยู่ปลายเตียงอย่างโกรธเคือง ดวงตาที่เปียกชื้นและมีพลังกว่าเดิมอันเนื่องจากโมโห ถึงจะมีแสงไฟจากนอกห้อง ยังคงสามารถทำให้ผู้ชายที่อยู่ปลายเตียงดูจนมึนไปแล้ว
“ผม……ถงถงคุณอย่าโกรธอาซิวนะ อาซิวลงไปจากเตียง”
“รอ……” เธอยื่นมือจับชุดนอนที่อยู่ในผ้าห่มของตัวเองไว้แน่นๆ
“ห๊ะ?”
คนนั้นพอถูกเธอห้ามไว้ ก็หันหลังจ้องมองเธอโดยที่ขาข้างหนึ่งอยู่ตรงปลายเตียง ขาอีกข้างหนึ่งวางอยู่บนพื้นอย่างซื่อบื้อ “คุณบอกว่าอะไรนะ”
สายตาของเธอลังเล จึงหลับตาลงเลย “นอนเถอะ”
“อืม”
“ฉันบอกว่า วันนี้เป็นกรณีพิเศษ คุณนอนบนเตียง”
“ห๊ะ?”
ในตาเจี่ยนถงมีไฟลุกขึ้นมา หน้าตาโง่ๆ ของคนนั้น “ห๊าอะไร กลางคืนอยู่ๆ อุณหภูมิก็ต่ำลง ถ้าคุณไข้ขึ้นอีก เดี๋ยวฉันก็ต้องถูกซีเฉินพวกเขากล่าวโทษอีกแล้ว
ฉันไม่อยากดูแลคุณอีกแล้วนะ”
เธอพูดไปด้วย ขยับตัวไปข้างขอบเตียงไปด้วยและชี้ข้างๆ “คุณนอนตรงนี้”
คนนั้นอยู่ๆ ก็รู้สึกดีใจขึ้นมา จากนั้นก็มีความสุขคลานมาอย่างเชื่อฟัง “สวบ” เสียงหนึ่งก็กระโดดขึ้นมาที่นอนข้างเธอ
“คุณนอนตรงนี้ ยกผ้าห่มของคุณขึ้นมาเลย” เธอบอกว่า “เธอนอนอยู่ในผ้าห่มของคุณ และยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าฉันไม่ได้อนุญาต ห้ามมาสัมผัสร่างกายของฉัน”
คนนั้นยกผ้าห่มคลานขึ้นมาใหม่อย่างมีความสุขตั้งนานแล้ว
ผู้หญิงรู้สึกได้ว่าที่นอนข้างๆ จมลงไปอย่างชัดเจน……กัดริมฝีปากไว้ ยังลังเลอยู่นิดหน่อย
คง……คงไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง
แค่เด็กคนเดียวเอง
จู่ๆ ก็เยาะเย้ยตัวเองขี้สงสัยขั้นหนักและคิดมากเกินไปอีกแล้ว
จะระแวงเด็กคนหนึ่งทำไม
“นอนเถอะ”
เธอขดไปข้างๆ นอนตะแคง ข้างๆ เป็นที่ว่างเปล่าเท่าครึ่งคน
ข้างกาย ผู้ชายนอนลงไปแล้ว นอนตะแคงเช่นกัน แต่กลับหันหน้าไปทางเธอ มองหัวด้านหลังของผู้หญิงคนข้างๆ……ถงถงดีจริงๆ เลย