เธอกับเขา ตกอยู่ในความเงียบที่สามารถเข้าใจกันและกันได้อย่างแปลกประหลาด
ถ้าหากต้องพูด วันเวลาเหล่านี้ บางทีอาจจะเป็นวันเวลาที่เสินซิวจิ่นและเจี่ยนถงต่อกันติดได้มากที่สุด
ไม่มีการทะเลาะ ไม่มีการกล่าวโทษ ไม่มีการโยนความผิด
ทุกอย่าง ต่างเงียบสงบ
สงบราวกับอยู่ในช่วงหวานซึ้งของคนรักกัน
เธอไม่โมโหใส่เขา และเขาเองก็ทำตัวดีไม่เหมือนเสิ่นซิวจิ่นที่เคยเผด็จการคนนั้น
ในทุกๆวัน เขาจะเตรียมข้าวเช้า และเธอก็จะลงมือกินเงียบๆ
บางครั้งตอนกลางคืนเขาก็นั่งห่อตัวดูการ์ตูนเพลสเซ่นโค๊ตแอนด์บิ๊กบิ๊กวูล์ฟที่เขาชอบอยู่บนโซฟา
“ผมเป็นหมาป่าWolffy ส่วนถงถงเป็นหมาป่าWolnie ” ทุกครั้งที่ภาพปราสาทฉายขึ้นมา คนคนนั้นก็จะเอ่ยพูดคำนี้ออกมาอย่างร่าเริง
เขาพูดออกมาอย่างไม่รู้จักเบื่อ ขอแค่ภาพหมาป่าWolffyกับหมาป่าWolnieปรากฏขึ้นมาพร้อมกัน เขาก็จะพูดคำนี้ออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ทุกครั้งในเวลานี้ เธอก็มักจะยิ้มขำแล้วให้เขาไปปอกแอปเปิลและส้ม
ทุกอย่างเหมือนจะเป็นไปด้วยดี
ดีจนเหมือนไม่ใช่เรื่องจริง
ในวันสุดสัปดาห์ ซูเมิ่งมาหาเธอที่บ้าน เมื่อได้เห็นภาพทั้งสองคนเข้ากันได้ดี ก็อ้าปากค้างเติ่ง เอ่ยพูดอย่างตกใจว่า “สลับเพศกันเหรอ?”
วิเวียนกะพริบตา “ให้อภัยง่ายๆอย่างนี้เลยเหรอ? เสี่ยวถง! คุณยอมให้อภัยผู้ชายเลวที่สุดในศตวรรษง่ายๆอย่างนี้เลยเหรอ?”
เจี่ยนถงเพียงแค่ยิ้มแต่ไม่พูด ปล่อยให้คำพูดเหล่านี้เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา
ซูเมิ่งส่ายหน้า “จิ๊ๆ นี่ถ้า…..ถ้าให้คนนอกรู้ ว่าเสิ่นซิวจิ่นที่เย่อหยิ่งผยอง ยอมใส่ผ้ากันเปื้อนกับรองเท้าลายกระต่ายแสนน่ารัก ยืนทำอาหารอยู่หน้าเตา เสมือนเป็นพ่อบ้านแบบนี้ ทั้งเมืองSได้สะเทือนแน่”
สายตาของซูเมิ่งที่กำลังนั่งอยู่บนโซฟา ไม่ยอมละห่างจากแผ่นหลังกว้างนั้นแม้แต่วินาทีเดียว ตาของเธอเบิกกว้างจนแทบจะถลนออกมา
วิเวียนมีสีหน้าปลงๆ “เฮ้อ น่าเสียดายที่เขาไม่ใช่เสิ่นซิวจิ่นตัวจริง ถ้าเป็นหมอนั่นนะคงไม่ทำอะไรแบบนี้ให้เจี่ยนถงหรอก……..”
เธอพูดยังไม่ทันจบ ก็ถูกซูเมิ่งที่อยู่ข้างๆกระตุกแขน วิเวียนลอบมองเจี่ยนถงที่อยู่อีกด้านอย่างระมัดระวัง ริมฝีปากของผู้หญิงคนนั้นยังคงยกยิ้มเล็กน้อยอยู่ตลอด ราวกับไม่ได้ใส่ใจอะไรเลยสักนิด
ในวันหยุดสุดสัปดาห์วันหนึ่ง
อากาศข้างนอกแจ่มใส อากาศข้างในอบอุ่น หญิงสาม ชายหนึ่ง จึงไม่ได้สัมผัสความหนาวเย็นแห่งเหมันต์แม้แต่นิด
น้ำชาและผลไม้บนโต๊ะ ล้วนแล้วแต่เป็นของที่ชายหนุ่มจัดเตรียมทั้งหมด
“จริงๆแล้ว…..เสิ่นซิวจิ่นเองก็ดีเหมือนกันนะเนี่ย” ในตอนที่กำลังจะกลับ วิเวียนก็เอ่ยพูดขึ้นมา “ถ้าความทรงจำเขากลับมาแล้วยังเป็นแบบนี้ก็คงดี”
เจี่ยนถงเพียงแค่ยิ้มส่งทั้งสองคนกลับไป
เมื่อปิดประตู หญิงสาวก็หันไปมองชายหนุ่มในห้องครัว “พวกเธอชมคุณด้วยล่ะ”
ชายหนุ่มยิ้มออกมาอย่างซื่อๆ “อาซิวแค่อยากให้ถงถงมีความสุข”
เธอกระตุกริมฝีปาก “ฉันมีความสุขมาก” นัยน์ตาของเธอวาวโรจน์ แล้วพูดเสริมว่า “ในวันนี้”
ชายหนุ่มเริ่มไม่พอใจ “แค่วันนี้เหรอ? อาซิวอยากให้ถงถงมีความสุข ตลอดชีวิตเลย”
“อ๋า~” หญิงสาวเดินเข้ามา เพียงแค่ยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไร
ตลอดชีวิตมันยาวนานเกินไป……เธอพูดในใจเงียบๆ
“อาซิวจะอยู่กับถงถง” คนคนนั้นมองมาที่เธออย่างบ๊องๆ “ตลอดไป” ไม่รู้ว่าเพราะอะไร คนบ๊องคนนั้น ถึงได้มีท่าทีจริงจังขึ้นมา
หญิงสาวอ้าปากจะพูดครั้งแล้วครั้งเล่า แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดประโยคนั้นออกมา เธอยืนยิ้มบางๆอยู่หน้าประตู
ชายหนุ่มที่อยู่ในห้องรับแขก จู่ๆก็พุ่งเข้ามากอดหญิงสาวอย่างไม่ได้ทันตั้งตัว “จริงๆนะ อาซิวจะอยู่กับถงถงตลอดไปเลย!”
ชายหนุ่มผู้บ้องตื้น เอ่ยปฏิญาณอย่างจริงจังและเคร่งขรึม
ตอนนี้เอง ไม่รู้ว่าหญิงสาวกำลังคิดอะไรอยู่ ถึงได้ยื่นมือออกไป ตบหลังของเขาเบาๆราวกับกำลังปลอบโยน
“คุณต้องรีบหายไวๆนะ”
เธอรับรู้ได้ ว่าแขนของคนที่กำลังกอดเธอสั่นเทาอย่างเห็นได้ชัด เธอทำได้เพียงกักเก็บแววตา เพื่อปกปิดความเจ็บปวด
ทันใดนั้นเอง ริมฝีปากก็ต้องสัมผัสอันร้อนผ่าว เธอตกใจเล็กน้อย จากนั้นจึงดิ้นให้หลุด
ข้างหูได้ยินว่า
“ถงถง อาซิวเจ็บตรงนี้”
มือของเธอ ถูกมือใหญ่อีกข้างของเขาจับมาวางไว้บนแผ่นอกที่ร้อนผ่าว
เธอนิ่งไปในทันที ความรู้สึกเจ็บปวดที่เอ่ยออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ ทิ่มแทงเข้ามาในหัวใจ ทุกประสาทสัมผัสถูกชักจูง จู่โจมอย่างไม่มีแม้แต่สัญญาณเตือน เธอเริ่มหายใจติดขัด อึดอัดและทุรนทุราย……สุดท้ายเธอก็ยอมแพ้ต่อหน้าเขาอีกครั้ง
ถึงเขาจะโง่แต่ก็ยังฉลาด ถึงเขาจะจำได้แต่ก็ยังจำไม่ได้
เธอหยุดดิ้น ฝ่ามือที่กำลังผลักไส ค่อยๆหล่นลงข้างตัว เธอหลับตาลง ปล่อยให้ความอุ่นร้อนทาบทับลงมาบนริมฝีปาก
มันยาวนานราวกับผ่านไปหนึ่งศตวรรษ
“แบบนี้ ก็ไม่เจ็บแล้วใช่ไหม?” เธอเอ่ยถาม
“ถงถง อาซิวอยากอยู่กับถงถงตลอดชีวิต”
เธอมองดวงตาดำขลับของเขา พร้อมกับยิ้มออกมา รอยยิ้มนั้นสดใสจนแทบจะแผดเผาเขา
“อยากไปสวนสนุกไหม?”
ดวงตาของเขาเป็นประกาย “ได้เหรอ?”
เธอพยักหน้า “ตอนกลางคืน เราไปนั่งชิงช้าสวรรค์กัน จากนั้นก็ขอพรกับดวงดาวบนท้องฟ้าดีไหม”
“ดี!”
เมื่อยามกลางคืนมาถึง
หลังจากซื้อตั๋วรอบกลางคืน ทั้งสองก็ขึ้นมานั่งบนชิงช้าสวรรค์ เธอเอ่ยพูดว่า “ดาวเต็มท้องฟ้าเลย เหมือนในนิทานไหม?”
คนคนนั้นยิ้มแหะๆอย่างบื้อๆ มือใหญ่ของเขากอบกุมมือของเธอเอาไว้ นัยน์ตาดำขลับฉายแววดีใจ “อาซิวคือหมาป่าWolffyของถงถง อาซิวจะขอพรให้ถงถงมีความสุขตลอดไป”
เธอมองท้องฟ้ามืดสลัวนอกหน้าต่าง
วันนี้
พวกเขามาที่นี่ดึกเกินไป
วันรุ่งขึ้น ในตอนที่เธอตื่นขึ้นมา ก็พบว่าบนเคาน์เตอร์ห้องครัว มีอาหารเช้ากรุ่นไอร้อนจัดเตรียมวางไว้เหมือนอย่างเคย
และเมื่อทานเสร็จเธอก็ไปทำงานเหมือนอย่างเคย
รถขับเข้ามาจอดในลานจอดรถใต้ตึกเจี่ยนซื่อกรุ๊ป
เธอเปิดประตูลงจากรถ เดินตรงไปทางลิฟต์ ในตอนที่เดินผ่านรถคันหนึ่ง จู่ๆประตูรถก็ถูกเปิดออกมา คนข้างในสวมใส่แว่นกันแดดหันมองมาที่เธอ
เจี่ยนถงหยุดเดิน “ตั้งใจมารอฉันเลยเหรอ?”
มองปราดเดียวก็รู้ถึงเจตนาของอีกคนแล้ว
“คุณเจี่ยนยังจำผมได้ไหม?” อีกฝ่ายยกริมฝีปากแสยะยิ้มเบาๆ
เจี่ยนถงเข้าใจอยู่แล้ว ว่าอีกฝ่ายกำลังประชดประชัน ไม่ได้อยากรู้ว่าเธอยังจำเขาได้อยู่หรือเปล่า
ในเมื่อเข้าใจเจตนาของอีกฝ่าย เธอจึงพูดออกไปอย่างตรงไปตรงมาที่สุด
“คุณชายลู่ยังจะมาล้อเล่นทำไมล่ะคะ? ในเมื่อคุณตั้งใจมารอที่นี่ตั้งแต่เช้า จะอ้อมค้อมไปทำไม?”
ลู่หมิงชูหนังตากระตุก เดาะลิ้นอย่างหมดสนุก “เจี่ยนถง คุณนี่ไม่ยอมเสียเวลาเหมือนเดิมเลยนะ นี่อยากไล่ผมไปขนาดนั้น?”
เจี่ยนถงยกริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย
ลู่หมิงชูเองก็รู้สึกหมดสนุก จึงไม่อ้อมค้อมอีกต่อไป “เขาอยู่กับคุณใช่ไหม?”
แม้จะเป็นประโยคคำถาม แต่น้ำเสียงกลับดูมั่นใจ
นัยน์ตาของเจี่ยนถงหดเกร็ง เธอหลุบตาลง “คุณหมายถึงใคร?”
“จิ๊~” ลู่หมิงชูเอ่ยพูดเสียงเย็น “คุณบอกไม่ให้ผมอ้อมค้อม ให้พูดออกมาตรงๆ แต่สุดท้ายคุณกลับอ้อมค้อมซะเองน่ะเหรอ? คุณรู้ดีว่าผมหมายถึงใคร เสิ่นซิวจิ่นอยู่กับคุณใช่ไหม”
เจี่ยนถงนิ่งเงียบอยู่นาน ทันใดนั้นก็เงยหน้าขึ้นมา “ดูเหมือนคุณชายลู่จะใส่ใจฉันมากเลยนะ คงแอบสังเกตมานานแล้วล่ะสิ ฉันจำเป็นต้องขอบคุณคุณชายลู่ไหมที่ใส่ใจกันขนาดนี้?”
ท่าทางมั่นใจของอีกฝ่าย คงคิดมาแล้วว่ามีเปอร์เซ็นต์สูง ถ้าคิดจะโกหก ก็คงไม่มีประโยชน์แล้ว
ในหัวของเธอพลันแล่น คิดหาทางออกได้ในเวลาสั้นๆ
“คุณไม่สงสัยเหรอ?” จู่ๆอีกฝ่ายก็เอ่ยพูดขึ้นมา
หนังตาของเจี่ยนถงกระตุก “สงสัยอะไร?”
ลู่หมิงชูยกริมฝีปาก ฉีกยิ้มถากถางออกมา “คุณเชื่อจริงๆเหรอว่าเขาความจำเสื่อม?”
ดวงตาดำมืดราวกับนกอินทรีคู่นั้น จดจ้องมาที่หญิงสาวตรงหน้าเขม็ง ทอดสายตามองใบหน้าของเจี่ยนถง ไม่ยอมปล่อยแม้แต่สีหน้าเล็กๆน้อยๆให้คลาดสายตา
“คุณต้องการจะพูดอะไรกันแน่?”
ชายหนุ่มกระตุกรอยยิ้มเย็น “คุณกล้าไปที่ที่หนึ่งกับผมไหมล่ะ?” พูดจบ ก็แสยะยิ้ม “คุณจะได้ตาสว่าง” พูดจบ ก็ฉุดแขนของเจี่ยนถง ยัดเข้าไปในรถ