“ปล่อยฉันลง ฉันยังมีงานต้องทำ”
ลู่หมิงชูยังคงขับรถอย่างไม่สนอะไร รถแทบจะไม่ได้หยุดวิ่งเพราะทันไฟเขียวตลอดทาง เหมือนกับว่าสภาพบนท้องถนนในวันนี้จะเป็นใจให้เขามาก
“ไปกับผม แล้วคุณจะได้เห็นความจริง”
ลู่หมิงชูเอ่ยพูด “หรือว่า คุณอยากอยู่กับเรื่องโกหก?”
เจี่ยนถงกัดฟัน
รถขับเข้ามาในตึกของบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป
“ลงไปสิ” ลู่หมิงชูเปิดประตูลงรถไปก่อน จากนั้นก็เดินอ้อมมาเปิดประตูรถฝั่งเจี่ยนถง “จะให้ผมอุ้มคุณลงก็ได้นะ”
เมื่อเขาเห็นว่าเจี่ยนถงไม่ยอมลงจากรถ ก็เอ่ยพูดอย่างหยอกล้อ
เจี่ยนถงหันพรึบไปมองลู่หมิงชู สายตานั้น ทำให้ลู่หมิงชูเกิดความคิดชั่ววูบไม่อยากทำมันต่อไป จากนั้นก็รีบหยุดความคิดนั้นเอาไว้ ใบหน้าหล่อเหลากลับมาประดับไปด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์อีกครั้ง
“เชิญ”
เธอลงจากรถอย่างเย็นชา
“มาถึงขนาดนี้แล้ว คุณอย่าคิดหนีเลย”
ลู่หมิงชูเดินนำหน้าไปก่อน พร้อมเอ่ยแหย่หญิงสาวที่ตามมาข้างหลัง
“คุณลงทุนมาดักรอฉันที่ใต้ตึกถึงขนาดนี้ คงไม่ปล่อยให้ฉันหนีไปไหนง่ายๆหรอกใช่ไหม?” หญิงสาวตอบกลับเสียงเรียบนิ่ง พร้อมกับเดินตามหลังลู่หมิงชูไป
เมื่อทั้งคู่เข้ามาในลิฟต์ ลู่หมิงชูก็มองประเมินหญิงสาวอย่างจริงจัง ครั้งสุดท้ายที่ได้มองเธอจริงๆจังๆแบบนี้ คือเมื่อไหร่กันนะ?
เหมือนจะนานมาแล้ว
ลิฟต์เปิดออกอย่างไร้เสียง ลู่หมิงชูแทบจะลืมไปแล้วว่ามาทำอะไร
“คุณชายลู่จะมองอีกนานไหมคะ?” หญิงสาวเลิกคิ้ว เอ่ยถามเสียงเบา
ลู่หมิงชูสะดุ้ง รู้ตัวอีกทีประตูลิฟต์ก็เปิดค้างตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
หญิงสาวข้างกายเตรียมจะก้าวเดินออกไปจากลิฟต์
ทันใดนั้นเขาก็ยื่นมือออกไปจับเอาไว้ “คุณไม่สงสัยหน่อยเหรอ ว่าผมพาคุณมาดูอะไร?”
“ต่อให้คุณชายลู่จะพาฉันมาทำอะไร แล้วฉันยังสามารถเดินหนีไปต่อหน้าคุณชายลู่ได้เหรอคะ?”เธอมองมาด้วยสายตาเยาะเย้ย
แววตาเยาะเย้ยของเธอ ทำให้หัวใจของลู่หมิงชูบีบรัดอย่างไม่รู้สาเหตุ ดวงตาพลันหดเล็กลง “งั้นก็….เชิญ” คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะมีความคิดไม่อยากทำมันต่อแล้ว
ไม่ ช่วงเวลาที่เขาเฝ้ารอ กำลังจะมาถึง จะยอมแพ้ในช่วงเวลาสำคัญอย่างนี้ได้ยังไง?
เธอเคยมาที่บริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ปแล้วหลายต่อหลายครั้ง จนเธอเองก็จำไม่ได้ ว่าเคยมาที่นี่กี่ครั้ง
แต่วันนี้ ทางเดินไปยังห้องประชุมของบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ปกลับดูเหมือนจะไกลแสนไกล
“ไม่เข้าไปเหรอ?” ลู่หมิงชูยืนอยู่ข้างหลังเจี่ยนถง เธอหยุดยืนอยู่หน้าห้องประชุมเป็นเวลานาน
ราวกับกำลังลังเล
ใช่เธอกำลังลังเลจริงๆ
“หรือจะให้ผมช่วย?” ลู่หมิงชูพูดยิ้มๆ แล้วยื่นมือไปทางประตู
มือแตะลูกบิดได้ไม่ทันไร ประตูก็ถูกคนข้างในเปิดออกมา
วินาทีนั้น เวลาพลันหยุดเดิน
สองคนตรงบานประตู
มองหน้ากันโดยไร้ซึ่งคำพูด
เจี่ยนถงมองใบหน้าของคนตรงหน้า มองนัยน์ตาที่หดเล็กลงบนใบหน้าที่คุ้นเคย หน้าของอีกฝ่ายขาวซีด ท่าทางลุกลี้ลุกลน
หัวใจของลู่หมิงชูเต้นรัวเร็ว…..ในที่สุดเวลานี้ก็มาถึง!
“เสิ่นซิวจิ่นโกหกคุณ!”
นัยน์ตาของลู่หมิงชูแผดเผาไม่หยุด!
“หุบปาก!” คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูห้องประชุม คือเสิ่นซิวจิ่นที่ “สติปัญญาถอยกลับไปเป็นเด็กแปดขวบ” คำพูดของลู่หมิงชู แทงใจดำทุกอย่าง ชายหนุ่มที่อยู่ในห้องประชุมกรุ่นโกรธ ใช้ดวงตาเฉียบคมตวัดมองมาที่ลู่หมิงชู!
“เสี่ยวถง ฟังผมอธิบายก่อน”
ชายหนุ่มมองมาที่หญิงสาวตรงหน้าอย่างเครียดๆ ลำคอเริ่มแห้งผาก
ในห้องประชุมยังมีอีกหลายคน ไม่ว่าจะเป็นท่านแก่เสิ่น ซีเฉิน และผู้บริหารระดับสูงบางคน สายตาของเจี่ยนถงไล่มองทุกคนในห้อง แต่ทว่าสายตาของเธอกลับหยุดชะงักอยู่ที่คนคนนั้น เพียงแค่สามวิ…..เธอก็ละสายตาหนี ริมฝีปากกระตุกเป็นรอยยิ้มหยัน เริ่มใกล้จะทนไม่ไหว แต่เธอก็เก็บซ่อนมันเอาไว้ภายใต้สีหน้าอันเรียบนิ่ง
แต่คนที่อยู่ในห้องประชุม กลับเห็นรอยยิ้มเย้ยหยันบนริมฝีปากของหญิงสาวได้อย่างชัดเจน……เขากำหมัดแน่น นัยน์ตาดอกท้อทอดมองหญิงสาวเขม็ง
ตอนนี้ทุกคนต่างจดจ้องมาที่เจี่ยนถง
ซีเฉินอ้าปากพูด “เสี่ยวถง อาซิวไม่ได้ตั้งใจโกหก……..”
“เอาสิ อธิบายมา” ท่ามกลางสายตาของทุกคน หญิงสาวกลับไม่ได้มีท่าทีจะระเบิดอารมณ์เหมือนที่ทุกคนคาดการณ์เอาไว้ เธอเพียงแค่เอ่ยตัดบทคำพูดของซีเฉินอย่างเรียบนิ่ง พร้อมกับมองมาที่เสิ่นซิวจิ่นที่อยู่ตรงหน้า เอ่ยพูดเสียงอบอุ่นไร้แววโกรธว่า “ว่าไง อธิบายมาสิ” ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถสัมผัสได้ถึงเพลิงโกรธในน้ำเสียงของเธอ…..นั่นก็เพราะว่ามันเรียบนิ่งมาก