ใครก็คิดไม่ถึง ว่าหญิงสาวจะนิ่งได้ถึงขนาดนี้
ซีเฉินถอนหายใจ ส่วนดวงตาของลู่หมิงชูแทบจะพ่นไอเยือกเย็นออกมา เขาเม้มริมฝีปากแน่น จดจ้องมายังคู่ชายหญิงตรงหน้า
ใครอีกคนหนึ่งท่ามกลางทุกคนก็เช่นเดียวกัน ถึงแม้จะไม่ได้แสดงท่าทีร้อนใจจนลูกกระเดือกสั่นไหวเหมือนลู่หมิงชู แต่กระนั้นก็ยังเห็นได้ชัดว่าเขากำลังจดจ่อทุกการกระทำของชายหญิงตรงหน้า
นัยน์ตาดำขลับของเสิ่นซิวจิ่น จ้องมองมาที่ผู้หญิงตรงหน้าแน่นิ่ง
“เสี่ยวถง” แม้แต่ตัวเองยังไม่รู้ตัว ว่าเขาในตอนนี้กำลังประหม่าอย่างที่ชีวิตนี้ไม่เคยเป็นมาก่อน “ผมไม่ได้ตั้งใจจะโกหกคุณ ผมก็แค่อยากอยู่ข้างๆคุณ แต่ว่าคุณในตอนนั้น สร้างเกราะกำบังกับผมไว้หนามาก ถึงแม้คำพูดของผมไม่ได้มีความหมายอื่น แต่คุณก็คงระแวงอยู่ดี เสี่ยวถง ผมก็แค่อยากให้คุณอยู่กับผม ถึงได้คิดแผนนี้ขึ้นมา ผม….จำเป็นต้องทำอย่างนี้”
หญิงสาวนิ่งฟังคำพูดของชายหนุ่มตรงหน้า แต่ยิ่งเขาพูดออกมาเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งรู้สึกผิดหวัง
คนคนนี้มัน!
เธอสอดมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อผ้าแล้วแอบบีบมือแน่นอยู่เงียบๆ
เหมือนกำลังบีบให้ตัวเองยังคงมีศักดิ์ศรีและ…..และความคาดหวัง
ผิดแล้ว เธอคิดผิด
“แปลว่า ทุกอย่างนี้ คือแผนของคุณ ใช่ไหม?” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมาอย่างสงบนิ่ง เอ่ยถามว่า “แปลว่า มันแค่ละครฉากหนึ่งตั้งแต่แรก ไม่ว่าจะบาดเจ็บที่อิตาลี ความจำเสื่อม สติปัญญาถอยลงไปเป็นเด็ก ที่คุณหมอพูดมามันเป็นเรื่องโกหกทั้งหมดเลยใช่ไหม? พวกคุณแสดงละครทั้งหมด มีแค่ฉันคนเดียวที่เป็นผู้ชมใช่ไหม?”
ทุกๆคำถามของเธอ เอ่ยออกมาอย่างเรียบนิ่ง ตั้งแต่ต้นจนจบ เธอพูดออกมาอย่างแน่นิ่งและเชื่องช้า ราวกับไม่ได้โกรธไม่ได้หงุดหงิดเลยสักนิด แต่ว่าคำว่า “ใช่ไหม” ของเธอ พอฟังดูดีๆแล้ว กลับหลุดความสั่นไหวในน้ำเสียงออกมา
เธอก็แค่ แสดงอารมณ์โกรธออกมาไม่ค่อยเก่ง เธอไม่ได้หัวแข็งดื้อรั้นเหมือนตอนที่ยังเป็นวัยรุ่นที่ไม่เคยยอมแพ้ไม่เคยอ่อนข้อ ต้องแสดงความอคติ ความคิด ความรู้สึกของตัวเองออกมาทั้งหมด เหมือนอยากให้คนทั้งโลกได้รู้
ไม่สิ……เธอผ่านช่วงวัยนั้นมาแล้ว
เธอไม่ได้อารมณ์เดือดง่ายจนควบคุมตัวเองไม่ได้เหมือนตอนนั้นอีกแล้ว
“เสี่ยวถง ผมก็แค่อยากให้คุณอยู่กับผมเหมือนตอนนั้น แค่นี้ก็พอแล้ว” ชายหนุ่มมองมาที่ผู้หญิงตรงหน้าอย่างจริงจัง
“ผมไม่ได้ตั้งใจจะหลอกคุณ คุณให้อภัยผมได้ไหม?”
ริมฝีปากของหญิงสาวเผยอขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มจางๆ “ฉันสับสน ขอฉันคิดอะไรเงียบๆคนเดียว แล้วค่อยให้คำตอบคุณได้ไหม “
แม้แต่วิธีจัดการของเธอ ก็ยังคงสงบนิ่งเหมือนอย่างที่เป็น
เสิ่นซิวจิ่นมองลึกเข้าไปในดวงตาของผู้หญิงตรงหน้า นัยน์ตาดำขลับที่เต็มไปด้วยความประหม่า ทอประกายลุ่มลึกและหม่นแสง เขาหลุบตาลง ก้าวถอยหลังในระยะห่างที่เหมาะสม “ผมจะรอ”
มุมปากของเจี่ยนถงยกโค้งขึ้น “อืม” ช้อนดวงตาทั้งสองข้างมองตรงมาที่ชายหนุ่มตรงหน้าพร้อมกับเผยยิ้มออกมาบางเบา
เธอหันหลัง แล้วเดินจากไป
ทุกคนในเหตุการณ์ ต่างเตรียมใจรอมรสุมพายุ
ไม่ทันที่พายุจะได้มาเยือน ทุกอย่างก็ผ่านไปกับสายลมทั้งอย่างนี้
ในดวงตาของลู่หมิงชูเปี่ยมไปด้วยความไม่พอใจ เอ่ยพูดอย่างกรุ่นโกรธว่า “เจี่ยนถง คุณจะไปทั้งอย่างนี้เลยเหรอ?”
หญิงสาวสวนกลับ “มันคงเสียแผนที่คิดมาซะดิบดีของคุณชายลู่มากเลยสินะ ที่คุณชายลู่ไม่ยอมบอกฉัน แล้ววางแผนมาซะขนาดนี้ ก็เพราะอยากเห็นฉันเป็นตัวตลกใช่ไหมล่ะ?”
ล่หมิงชูปิดปากเงียบในทันที ใช่! เขาอยากเห็นว่าถ้าวินาทีที่ความจริงถูกเปิดเผย ผู้หญิงคนนี้จะยังคงรักเสิ่นซิวจิ่นอยู่ไหม เขาอยากเห็นว่าเธอจะรู้สึกเสียใจที่ปฏิเสธเขาบ้างไหม!
ใบหน้าหล่อเหลา ปกคลุมไปด้วยความดุร้าย
มองตามแผ่นหลังที่กำลังเดินจากไป…..แต่ แผนทุกอย่างที่อยู่เบื้องหลัง เขาอุตส่าห์ยอมร่วมมือกับคนที่เกลียดอย่างเซียวเหิง เพื่อที่จะบีบให้เสิ่นซิวจิ่นแกล้งเป็นคนสติปัญญาโง่ๆต่อไป บีบให้เขาต้องลุกออกมาประคองสถานการณ์ เพื่อวินาทีที่เธอได้เห็นความจริง เพื่อวินาทีที่จะได้เห็นเธอเสียใจที่ปฏิเสธเขา แต่ว่า…..เธอกลับปล่อยเขาไปทั้งอย่างนี้น่ะเหรอ?
พายุคลุ้มคลั่งที่คาดการณ์เอาไว้ไม่เพียงไม่ปรากฏออกมา แม้แต่ความผิดหวังและความกรุ่นโกรธที่ถูกโกหกยังไม่มีแม้แต่น้อย!
เธอนิ่งราวกับคลื่นที่สงบ ไร้แรงสาดกระทบ……..แค่นี้เหรอ
คนอย่างลู่หมิงชู ถูกปล่อยทิ้งง่ายๆแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?
ในกลุ่มคนยังมีใครอีกคนหนึ่งที่ทนไม่ไหวอีกต่อไป ลุกขึ้นมาแล้วพูดว่า “เจี่ยนถง!เขาโกหกคุณ!ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่มีประโยคไหนที่เขาพูดความจริงกับคุณเลย! แล้วคุณจะให้อภัยคนแบบนี้ได้จริงๆเหรอ!”
หญิงสาวที่กำลังเดินอยู่ข้างหน้า จำเป็นต้องหยุดฝีเท้าลง ข้างหูมีเสียงที่คุ้นเคยดังสะท้อนเข้ามา เสียงนี้ในอดีตเคยเป็นเหมือนแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวในช่วงชีวิตที่มืดมนของเธอ เธอเคยคิดว่าเสียงนี้มาจากสวรรค์
เธอหยุดฝีเท้า ค่อยๆหันหลัง มองตรงไปยังคนคนนั้นท่ามกลางคนอื่นๆ…..ในที่สุด ก็พูดออกมา เธอก็นึกว่า วันนี้ไม่ว่ายังไง คนคนนี้ก็คงไม่ลุกขึ้นมาพูดอะไรแล้ว
ถ้าเป็นแบบนั้น เธอจะได้ลบความคิดคาดเดานั้นทิ้งไป
น่าเสียดาย เรื่องมันไม่ได้เป็นอย่างที่หวัง
หญิงสาวใช้สายตาเรียบนิ่งมองไปยังคนคนนั้น “เมื่อเช้า ก่อนที่ฉันจะไปเจี่ยนซื่อกรุ๊ป ฉันไม่ได้คิดเลยว่า จะได้มาเจอเสิ่นซิวจิ่นที่บริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป”
“แล้วทำไมคุณถึง…….” คนคนนั้นถามอย่างร้อนใจ แต่ยังไม่ทันได้พูดจบ
หญิงสาวก็หัวเราะชายหนุ่มที่เดินออกมาท่ามกลางผู้คน
“ขณะเดียวกัน ฉันก็คิดไม่ถึงเลยว่า จะได้มาเจอคุณเซียวที่นี่ด้วย”
พูดจบ เธอก็เดินจากไปโดยไม่แม้จะหันหลังกลับมามอง
เซียวเหิงยืนนิ่งค้างมองแผ่นหลังของเธอ
เธอไม่ได้ต่อว่าเขาตรงๆ แต่กลับเสยหมัดฮุกใส่เขา…..ด้วยการถามว่าทำไมมาอยู่ที่บริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป ทำไมคนอย่างเซียวเหิงถึงได้บังเอิญมาอยู่ที่นี่
แผนทุกอย่างของลู่หมิงชู เซียวเหิงมีส่วนร่วมด้วยสินะ?
เซียวเหิงยิ้มออกมาอย่างขมขื่น…..ผู้หญิงคนนั้น เหมือนหัวใจมีกระจกกั้นมาตลอด
อย่างจุดยืนของเขากับเธอในตอนนี้ เธอยังต้องชมเลยว่า:สวนกลับได้สวยดีนี่! แต่ว่าคำพูดแค่นี้ กลับทิ่มแทงความอดทนของเขามากที่สุด ทำให้ความน่าเกลียดในใจของเขาเปิดกางออกมาต่อหน้าทุกคน
เมื่อประตูลิฟต์เปิดออกจนเกิดเสียงดังติ๊ง ทุกๆสายตาก็ทอดมองหญิงสาวเดินเข้าไปข้างใน จากนั้นประตูลิฟต์ก็ปิดลงเงียบๆ
บริเวณหน้าประตูห้องประชุม กลับอัดแน่นไปด้วยความกดดัน
“พอใจแล้วหรือยัง?” สีหน้าของเสิ่นซิวจิ่นเย็นยะเยือก นัยน์ตาคมดุจอินทรี พุ่งตรงไปทางท่านแก่เสิ่น “คุณปู่ พอใจแล้วหรือยังครับ?”
ทำเรื่องพวกนี้ ก็เพื่อละครฉากนี้ไม่ใช่เหรอ ตอนนี้ บรรลุจุดประสงค์แล้ว พอใจแล้วหรือยัง?
ซีเฉินยืนอยู่ข้างหลังเสิ่นซิวจิ่น สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความกรุ่นโกรธเช่นเดียวกัน
ลู่หมิงชูใบหน้าบิดเบี้ยวเพราะแรงอิจฉา “ไม่มีใครบังคับให้นายแกล้งเล่นเป็นเด็กปัญญาอ่อน ไม่มีใครบังคับให้นายโกหกเจี่ยนถง วินาทีที่นายเริ่มโกหกเธอ นายควรคิดได้ว่าผลมันต้องออกมาเป็นอย่างนี้ ที่มันกลายมาเป็นแบบนี้ ไม่ใช่เพราะคุณปู่ แต่เป็นเพราะนาย เสิ่นซิวจิ่น นายยังจะมีหน้ามาโทษคนแก่อีกเหรอ?”
ขวับ! ——
เสิ่นซิวจิ่นหันพรึบ เชิดคางขึ้นพร้อมกับหรี่ตาลงอย่างอันตราย “เรื่องของตระกูลเสิ่น คนนอกอย่างนายมีสิทธิ์ออกเสียงด้วยเหรอ?”
“ฉันเป็นคนนอก? เหอะๆ นายถามคุณปู่ดูสิ ว่ายอมรับฉันเป็นคนตระกูลเสิ่นหรือเปล่า เสิ่นซิวจิ่นนายต่างหากล่ะ ใจร้ายกับปู่แท้ๆของตัวเองได้ลงคอ ทั้งโลกเขารู้กันหมดแล้วว่านายมันอกกตัญญู!”
“อยากเข้าตระกูลเสิ่นจนตัวสั่นขนาดนั้นเลยเหรอ ลู่หมิงชู เรื่องที่นายโลภมากอยากได้บริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป คนเขารู้กันหมดนั่นแหละ เพียงแต่ว่า…….. คนอย่างนายคุณสมบัติไม่ถึงหรอก!”
เสิ่นซิวจิ่นเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าท่านแก่เสิ่น “คุณปู่ ผมรู้ว่าคุณปู่ต้องการอะไร แต่ว่าคุณปู่แก่แล้ว แก่จนสมองเลอะเลือน เกษียณได้ก็ควรเกษียณเถอะครับ คุณปู่คิดว่าการฉวยโอกาสกระทำอะไรเล็กๆน้อยๆในตอนที่ผมไม่อยู่ จะสามารถกลับเข้าบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ปได้เหรอครับ?”
“แก!”
ท่านแก่เสิ่นชี้หน้าคนตรงหน้าด้วยมือที่สั่นด้วยความโกรธ “แกมันสารเลว!”
ปล่อยให้ท่านแก่เสิ่นด่าทอด้วยความโกรธอยู่สักพัก เสิ่นซิวจิ่นก็แสยะยิ้มเหี้ยม ดวงตาเย็นยะเยือกไปทั้งแถบ เขามองข้ามคนตรงหน้า หันหลังกลับแล้วพูดว่า “ซีเฉิน เรียกรปภ.ขึ้นมา”
ท่านแก่เสิ่นนิ่งอึ้ง จากนั้นก็ตะคอกตามหลังเสิ่นซิวจิ่นอย่างโกรธๆ “ทำไม? แกคิดจะไล่ฉันงั้นเหรอ?!”
“เหอะ~คิดเองสิครับ คุณปู่น่ะนะ ถึงแม้ว่าจะไม่มีอำนาจแล้ว แต่ถึงยังไงก็ยังเป็นปู่ของผม ยังไงพวกเขาก็ต้องเห็นแก่หน้าผมอยู่แล้ว พวกเขาไม่กล้าไล่คุณปู่ออกไปจากบริษัทหรอกครับ”
พูดถึงตรงนี้ แววตาก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นร้ายกาจ “แต่สำหรับผมแล้วไม่ยอมมองข้ามทรายที่มันกระเด็นเข้าตาหรอกนะ คนที่ฉวยโอกาสทำอะไรลับหลังตอนที่ผมไม่อยู่ ผมก็ต้องขจัดออกไปจากบริษัทพร้อมๆกัน”
“แก แกกล้าเหรอ!” สีหน้าของท่านแก่เสิ่นซีดเซียว คนพวกนั้นล้วนแล้วแต่เป็นคนของเขา เขาต้องเสียอะไรไปมากเท่าไหร่กว่าจะเสียบเข้ามาในบริษัทได้ ถ้าหากโดนถอนรากถอนโคน หลังจากนี้ ใครยังจะกล้าทำอะไรให้เขาอีก
เมื่อเห็นท่านแก่เสิ่นวางท่าดุร้ายแต่ข้างในกำลังหวั่นกลัว เสิ่นซิวจิ่นก็ทำเพียงแค่ยิ้มเย็นออกมาสอดมือลงในกระเป๋ากางเกงแล้วเดินจากไป
เขาคือเจ้าของตึกแห่งนี้ ใครที่กล้ามาเล่นตุกติกซึ่งๆหน้าเขา ก็จะมีจุดจบแค่อย่างเดียว คนที่คิดทำอะไรเหล่านั้น ก่อนลงมือทำ ก็น่าจะรู้ดี ว่าผลมันจะออกมาเป็นยังไง
บริเวณลานจอดรถใต้ดินของบริษัทเจี่ยนซื่อกรุ๊ป
จู่ๆท่านแก่เสิ่นก็ยกมือขึ้นมาฟาดลงบนหน้าของลู่หมิงชูจนเกิดเสียงดัง “เพี้ยะ” ใบหน้าเหี่ยวย่นเต็มไปด้วยความคล้ำเครียด เอ่ยพูดอย่างตำหนิว่า “ใครให้แกพาผู้หญิงคนนั้นมาที่บริษัท!” ท่านแก่เสิ่นถลึงตาใส่ลู่หมิงชูด้วยความโมโห กล้าถึงขนาดแอบพาผู้หญิงคนนั้นมาที่บริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ปเลยเหรอ!
ด้านลู่หมิงชูถูกตบจนหน้าหันปอยผมสะบัด ในดวงตาก่อเกิดเงาทะมึน ไฟในลานจอดรถไม่ได้สว่างมากนัก ไฟรางๆปกคลุมทั้งตัวและใบหน้าของเขา ปกปิดสีหน้าเอาไว้ท่ามกลางความมืด
ในลานจอดรถที่เงียบสนิท ทันใดนั้นก็มีเสียงหัวเราะเบาๆดังขึ้นมา ลู่หมิงชูใช้นิ้วโป้งเช็ดเลือดที่มุมปาก หันหน้ามามองท่านแก่เสิ่นอย่างเรียบนิ่ง ด้านท่านแก่เสิ่นเมื่อถูกเขามองด้วยแววตาแปลกๆอย่างนี้ ก็รู้สึกอึดอัดไปทั้งร่างกาย
มุมปากของลู่หมิงชูยกขึ้นเป็นรอยยิ้มแปลกประหลาด “คนที่อยากได้บริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ปคือคุณต่างหากล่ะ ตาแก่”
ดวงตาพร่าเลือนของท่านแก่เสิ่นพลันหดเล็กลง “แล้วแกไม่ได้อยากได้หรือไง?” เขาไม่เชื่อหรอก บริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ปยิ่งใหญ่ขนาดนั้น ใครจะไม่อยากได้บ้าง?
“ใช่~ผมยอมรับ ว่าผมอยากได้บริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป” ลู่หมิงชูกางมือออก “ก็ผมเข้าตระกูลแล้วไม่ใช่หรือไง?”
“ในเมื่อแกอยากได้บริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป ก็เชื่อฟังฉันซะบ้าง ไม่ใช่คิดอยากจะทำอะไรก็ทำ!ฉันอุตส่าห์ว่าจะให้แกค่อยๆเข้าไปในบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป ค่อยๆกลืนกินอำนาจของเสิ่นซิวจิ่น พออย่างนี้ จนกว่าเขาจะรู้ตัว ต่อให้จะทำอะไร ก็ทำไม่ได้แล้ว แต่แกทำอะไร? แอบติดต่อตระกูลเซียวและร่วมมือกับเซียวเหิง กลัวคนอื่นไม่รู้เหรอ ไปแหวกหญ้าให้งูตื่นทำไม? แล้ววันนี้ยังพาผู้หญิงคนนั้นมาที่นี่ เพื่อกระตุ้นเขาอีก แกคิดจะทำอะไรกันแน่! ยังอยากได้ไหมบริษัทนี้น่ะ!”
ลู่หมิงชูใช้นิ้วชี้ถูแผลบนมุมปากเบาๆ จู่ๆก็กระตุกยิ้ม สายตาเอื่อยๆ พลันแปรเปลี่ยนเป็นแหลมคม “ใช้บริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ปมาล่อ?”
ลู่หมิงชูเอ่ยคำพูดเสียดสี “หย่อนแครอทไว้ตรงหน้าลา ยังไงมันก็ต้องเดินตามอย่างเชื่อฟังอยู่แล้ว แต่คุณเองก็ควรดูให้ดีหน่อยนะ ว่าลู่หมิงชูคนนี้ เป็นลาที่ยอมเชื่อฟังและยอมให้คนชักจูงหรือเปล่า เอาแครอทแค่หัวเดียวมาล่อ ก็คิดว่าจะชักจูงผมได้แล้วเหรอ?”
ขายาวก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างสบายๆ จากนั้นก็หันมาเผชิญหน้ากับท่านแก่เสิ่น เมื่อทั้งสองเผชิญหน้ากัน ด้วยความที่ท่านแก่เสิ่นอายุมากแล้ว หลังจึงค้อมลงเป็นธรรมดา ลู่หมิงชูหลุบตามองใบหน้าแก่ชราที่เงยขึ้นมามองกันเล็กน้อยของท่านแก่เสิ่นอย่างเยาะเย้ย แล้วพูดถากถางว่า
“ไม่แปลกที่เสิ่นซิวจิ่นบอกว่าท่านแก่แล้ว”
“แก! พูดจาอะไรของแก!” ท่านแก่เสิ่นอยู่มาเกือบครึ่งชีวิต ในตอนที่ยังเป็นหนุ่มก็เป็นถึงม้ามืดแห่งแวดวงธุรกิจ แต่ไหนแต่ไรไม่เคยถูกใครพูดแสกหน้า ไล่ต้อนให้เขาต้องเผชิญกับความจริงที่ว่าตัวเองแก่แล้ว “ฉันไม่สนว่าแกจะคิดยังไง แต่ถ้าแกอยากได้บริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป แกก็ต้องผ่านด่านฉันไปให้ได้ก่อน! ฉันแก่แล้วก็จริง แต่แกไม่มีสิทธิ์มาปีนเกลียวใส่ฉันแบบนี้!”
“ใช่ ผมอยากได้บริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป แต่คนแก่อย่างคุณอาจจะไม่รู้” ก่อนหน้านี้มุมปากของลู่หมิงชูยังประดับไปด้วยรอยยิ้ม แต่วินาทีถัดมา มุมปากก็เหยียดตรงอย่างผยอง ดวงตาฉายแววเย็นเหยียบน่าหวาดกลัวออกมา
“บริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป ผมค่อยๆรอ ค่อยๆวางแผนได้ ผมเพิ่งจะถึงวัยตั้งตัว ผมยังหนุ่มยังแน่น สิ่งที่ผมมีก็คือเวลา ผมค่อยๆกำจัดค่อยๆสู้กับเสิ่นซิวจิ่นได้ แต่กับเจี่ยนถง ผมต้องได้มาครอบครองเดี๋ยวนี้!”
ความหมายง่ายๆก็คือ เจี่ยนถงกับบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป เขาต้องการเจี่ยนถงมากกว่า
แน่นอนว่าท่านแก่เสิ่นเองก็เข้าใจที่เขาพูด สีหน้าเปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำ “แก!แก!” เขาโกรธจนพูดตะกุกตะกัก มองตามหลานชายที่ก่อนหน้านี้ยังทำตัวสุภาพมีมารยาทกับเขา มองตามแผ่นหลังที่เดินจากไปด้วยท่วงท่าสบายๆ ดวงตาพร่าเรือนของท่านแก่เสิ่นลุกโหมไปด้วยเพลิงโทสะ
“พวกแก! พวกแก! แล้วก็พวกแกทั้งหมด! “
ผู้หญิงคนนั้นมีอะไรดี?
ทำไมคนตระกูลเสิ่น ทำไมหลานของเขาทั้งสองคน ถึงได้หลงจนโงหัวไม่ขึ้น!
ผู้หญิงแพศยาคนนั้น คือตัวหายนะ เขาไม่ควรเหลือตัวหายนะไว้ตั้งแต่แรก ถ้ากำจัดทิ้งไปตั้งแต่แรก หลานของเขาก็คงไม่คิดแค้นกับเขาเหมือนอย่างวันนี้หรอก! ไอ้แก่สารเลวนามสกุลเจี่ยนนั่น…… “ไอ้แก่สารเลว หลานสาวที่แกสอนมาเองกับมือ คิดจะวางแผนยึดตระกูลเสิ่นของฉันสินะ! ถึงได้วางแผนทุกอย่างไว้ตั้งนานขนาดนั้น!” เขาไม่เชื่อ ไอ้แก่สารเลวนั่น ตายก็ตายไปแล้ว ยังจะคายตะขาบไว้อีก!
……
หลังจากที่กลับมาจากบริษัทเสิ่นซื่อกรุ๊ป เจี่ยนถงก็ไม่ได้กลับไปที่เจี่ยนซื่อกรุ๊ปอีก
เธอกลับมาที่บ้าน
บางทีอาจเป็นเพราะหลายวันมานี้ เธอใช้งานร่างกายจนเหนื่อยล้า หรือบางทีอาจเป็นเพราะ “เซอร์ไพรส์” ในวันนี้ เลยทำให้เธอหลับไปทันทีที่ล้มตัวนอนลงบนโซฟา
การนอนหลับในครั้งนี้ เหมือนเตรียมตัวฝันไปยาวๆ
ทุกอย่างในความฝัน ดูเหมือนจริงเท่าไหร่ ก็ยิ่งห่างจากความจริงมากเท่านั้น
เธอฝันเห็นคุณปู่ที่เสียไปแล้ว ฝันว่าคุณปู่มาลูบหัวเธอและบอกว่าเธอฉลาดเกินคน คุณปู่กำลังรำไทเก๊กอยู่ใต้ต้นไม้ที่บ้านใหญ่ ส่วนเธอกำลังอ่านหนังสือธุรกิจของคุณปู่ เธอยังฝันถึงพี่ชายของเธออีกด้วย พี่ชายของเธอกำลังวิ่งเล่นกับไอ้แดง ไอ้แดงเป็นหมาพันธุ์เยอรมันเชเพิร์ดตัวสีดำ แต่พี่ชายของเธอกลับตั้งชื่อให้ว่าไอ้แดง ตอนนั้นพวกเขายังเด็ก ตอนนั้นไอ้แดงยังไม่ตาย
เหมือนกับเธอได้ย้อนกลับไปยังช่วงเวลาเหล่านั้นจริงๆ ทุกอย่างในความฝัน มันเหมือนจริงมาก