เจี่ยนถงยืนอยู่หน้าประตูบานใหญ่สีขาว เธอยืนนิ่งอยู่นาน สุดท้ายก็ยื่นมือออกไปผลักบานประตูออก
“ฉันไม่กิน” ร่างกายผอมลีบของเจี่ยนโม่ป๋ายนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย วันเวลาที่ผ่านมานี้ เขาใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความวิตกกังวล ความปรารถนาอยากมีชีวิตต่อทำให้เขาต้องฝืนทุรนทุรายกับความเจ็บป่วย
แต่มันเจ็บปวดเหลือเกิน ยิ่งใช้ชีวิตให้ผ่านไปวันๆ ก็รู้สึกสิ้นหวัง
ที่ฝืนทุรนทุรายต่อความเจ็บป่วยและความสิ้นหวัง เพราะเขาอยากมีชีวิตอยู่ต่อ อยากมีชีวิตเพื่อดื่มด่ำกับแสงสีในงานเลี้ยง อยากย้อนกลับไปยังวันเวลาที่ไร้ซึ่งความทุกข์ทนในอดีต
คุณหญิงเจี่ยนน้ำตาไหลอาบหน้าทุกวัน เจี่ยนโม่ป๋ายเบื่อที่จะเห็นคนมานั่งเช็ดน้ำตาและทอดถอนหายใจอยู่ข้างๆ โชคดีที่ช่วงนี้คุณหญิงเจี่ยนไม่ค่อยสบาย เจี่ยนโม่ป๋ายจึงโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง ที่สามารถทำให้คุณหญิงเจี่ยนห่างไปจากข้างกายได้
เหลือแค่พ่อบ้านในตระกูลที่คอยมาส่งข้าวส่งน้ำ คุณหญิงเจี่ยนจ้างคนมาดูแลลูกชายสุดที่รักตลอด24ชั่วโมง โดยให้สับเปลี่ยนเวลามาคอยดูแลลูกชายของเธอ
เจี่ยนโม่ป๋ายนอนมองผนังห้องทั้งสี่ด้านจนเบื่อแล้ว ในตอนที่ตื่นขึ้นมา เขาจะมองออกไปทางนอกหน้าต่าง แววตาที่เคยมีชีวิตชีวาในอดีต ตอนนี้เหลือแค่ความมืดมน
ประตูถูกเปิดออกเงียบๆ เขาคิดว่าเป็นพ่อบ้านที่มาหา ร่างกายของเขารับยามาเป็นเวลานาน ปากของเขาจึงไม่สามารถรับรสได้อีกแล้ว กินอะไรเข้าไปก็มีแต่รสขม
ปัจจุบัน ถ้าไม่หิวจนทนไม่ไหว เขาก็ไม่อยากอ้าปากกลืนอะไรลงไปทั้งนั้น
เพราะอ่อนแอมาก แม้แต่พูดก็ไม่อยากจะพูด
เมื่อมีคนเปิดประตูเข้ามา เขาก็ไม่ได้หันไปมอง
เจี่ยนโม่ป๋ายนั่งพิงหัวเตียง มองออกไปนอกหน้าต่าง
จนกระทั่งข้างเตียงของเขา มีเงาของร่างหนึ่งเข้ามาทาบทับ
ถึงแม้จะอ่อนแอ ไม่อยากขยับร่างกายมากให้เปลืองแรง แต่กระนั้นบนใบหน้าซูบผอม ก็ยังคงหลุดทำหน้ารำคาญออกมา
ใช่ รำคาญ รำคาญที่ต้องเห็นใบหน้าเป็นห่วงเป็นใยของคนอื่น……ถ้าหากเป็นไปได้ เขาเองก็อยากเป็นบ้าง——อยากเป็นคนที่แข็งแรง อยากเป็นคนที่มองคนอื่นด้วยความเห็นอกเห็นใจบ้าง
“ออกไป” ลมหายใจของเจี่ยนโม่ป๋ายผะแผ่ว น้ำเสียงแฝงไปด้วยความหงุดหงิด “ฉันป่วยแล้วยังไง”
“ร่างกายป่วยนาน จนใจก็ป่วยตามไปด้วยเหรอ?”
เสียงแข็งกร้าวของผู้หญิง เอ่ยพูดขึ้นมานิ่งๆ
เจี่ยนโม่ป๋ายราวกับถูกกระตุ้น ร่างกายแข็งทื่ออย่างเห็นได้ชัด
เขาหันหน้าไปช้าๆ แต่หันไปแค่ครึ่งหนึ่ง เพียงสี่สิบห้าองศา แววตาของเขาพลันเปลี่ยนไป
เขาเงยหน้าขึ้นมองร่างที่ยืนอยู่ข้างเตียงเป็นเวลานาน จากนั้นก็ยิ้มเยาะออกมา “มาดูว่าฉันตายหรือยังเหรอ?”
หญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างเตียงไม่พูดอะไร ลากเก้าอี้ข้างๆเข้ามานั่งเงียบๆ ดวงตามองเลยไปยังด้านหลังของเจี่ยนโม่ป๋าย เธอลุกขึ้น ไปหยิบหมอนอิงบนโซฟามา จากนั้นก็พยุงหลังเจี่ยนโม่ป๋ายขึ้น แล้ววางหมอนอิงไว้ข้างหลังของเขา
“ทำอะไร? สงสารฉัน? หรือเวทนาฉัน?”
เจี่ยนถงมองคนบนเตียง เธอจดจ้องแก้มซูบตอบเป็นเวลานาน ถึงได้เห็นโครงหน้าที่เคยหล่อเหลาในอดีต ถ้ามองดูจากตอนนี้ เธอก็แทบจะหาเจี่ยนโม่ป๋ายคนในอดีตไม่เจอ
เธอยื่นนิ้วมือออกไปแตะบนกระดุมชุดคนไข้
“จะทำอะไร?” ริมฝีปากซีดเซียวของอีกฝ่าย เอ่ยถามอย่างระแวง
หญิงสาวจับมือที่กำลังจับหลังมือของเธอเอาไว้ออกช้าๆ จากนั้นก็แกะกระดุมเสื้อของเจี่ยนโม่ป๋ายออก จนเสื้อหลุดเผยให้เห็นบ่าไหล่ และรอยแผลจางๆ ที่ถึงแม้จะหายดีแล้ว แต่ก็ยังทิ้งรอยน่ากลัวเอาไว้ให้ดูต่างหน้า
“ยังจำได้ไหม ว่าได้แผลนี้มายังไง?” เสียงแข็งกร้าวของหญิงสาวดังขึ้นช้าๆ
ไหล่ของเจี่ยนโม่ป๋ายสั่นระริก เมื่อเจี่ยนถงใช้นิ้วมือลูบรอยแผลนั้นเบาๆ เขาก็เบี่ยงตัวหลบตามสัญชาตญาณ
“ถ้าแกจะมาพูดถึงเรื่องเก่าๆ ก็หยุดซะเถอะ ฉันใกล้จะตายแล้ว แกอยากรำลึกเรื่องเก่าๆกับคนป่วยใกล้ตายหรือไง?”
เจี่ยนถงทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดทิ่มแทงของเจี่ยนโม่ป๋าย นิ้วมือยังคงลูบรอยแผลเบาๆ มองข้ามเจี่ยนโม่ป๋ายโดยสิ้นเชิง เอ่ยพูดต่อว่า
“ตอนเด็กๆ ฉันเติบโตมากับคุณปู่”
“แกจะมาอวดว่าคุณปู่รักแกมากว่า? เจี่ยนถง คุณปู่เสียไปแล้ว ตอนนี้แกไม่เหลือคนที่รักแกเข้าไส้เหมือนคนปู่แล้ว”
หญิงสาวยังคงมองข้ามคำพูดร้ายกาจของเขา เอ่ยพูดต่อว่า
“ตอนนั้นฉันอิจฉานายมาก ที่พ่อกับแม่รักนาย ตอนนั้นฉันยังเด็ก ยังไม่รู้เรื่องอะไร ฉันคิดแค่ว่าฉันต้องทำอะไรผิดแน่ๆ พ่อแม่ถึงไม่รักฉัน เพราะฉะนั้นฉันจึงพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ฉันคิดว่า ถ้าฉันเก่งกว่านาย พ่อกับแม่จะได้เห็นฉันอยู่ในสายตาบ้าง
ซึ่งความจริงแล้วฉันโง่มาก คุณปู่บอกว่า นายฉลาดกว่าฉัน แต่ฉันก็ไม่ยอมแพ้ ขณะที่นายวิ่งเล่น ฉันก็พยายามเรียนรู้ทุกอย่าง ฉันไม่รู้หรอกว่าอันไหนมีประโยชน์อันไหนไม่มีประโยชน์
ตอนนั้นไม่ว่าเห็นอะไร ก็จะคิดว่าต้องเรียนรู้ให้หมด พอรู้ก็จะเก่ง พอเก่ง พ่อกับแม่ก็จะได้รักฉันเหมือนที่รักนาย
ฉันคิดอย่างนี้ แล้วก็ทำอย่างที่คิด
แต่ว่าต่อมา ในตอนที่ฉันเริ่มโดดเด่นขึ้นเรื่อยๆ ฉันกลับพบว่า พ่อกับแม่ยิ่งไม่ชอบฉันขึ้นเรื่อยๆฉันถึงได้รู้ว่า ที่จริงแล้ว…..พ่อกับแม่ไม่ได้อยากให้ฉันเก่งและโดดเด่นเลย
แต่ฉันไม่ยอมแพ้ นายเป็นลูกของพ่อแม่ ฉันเองก็เหมือนกัน
ดังนั้นฉันจึงเดิมพัน ด้วยการไปเรียนรู้อะไรอีกมากมายจนตัวเองยุ่งหัวหมุนเป็นลูกข่าง
ฉันปลอบใจตัวเองว่า ไม่เป็นไร ถึงพ่อแม่จะไม่รัก แต่ยังมีคุณปู่ที่รักฉัน
ตอนนั้น คุณปู่จึงเป็นคนสำคัญที่สุดของฉัน
ในระยะเวลาที่ยาวนาน สิ่งที่ทำให้ฉันใช้ชีวิตได้อย่างคุ้มค่า ก็คือความมั่นใจจากคุณปู่ มันทำให้ฉันรู้สึกว่า ฉันมีค่าในบ้านหลังนั้น และมีคนที่คอยรักฉัน
ไม่ใช่ว่าไม่มีใครรักฉัน
จำได้ว่ามีครั้งหนึ่ง
ที่คุณปู่บอกว่า จริงๆแล้ว นายฉลาดกว่าฉันในเรื่องของพรสวรรค์ และเมื่อฉันได้เห็นความคาดหวังในแววตาที่คุณปู่มีต่อนาย ฉันถึงได้รู้ว่า คุณปู่ไม่ได้รักฉันไปมากกว่านาย แต่ก็ไม่เป็นไร แค่คุณปู่รักฉันก็พอแล้ว”
เมื่อได้ฟังจบจากสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ ก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีหน้านิ่งสงบ
ภายในห้องผู้ป่วย มีแค่เสียงของหญิงสาว เอ่ยพูดเรื่องราวออกมาช้าๆ ราวกับกำลังเล่านิทานให้เขาฟัง
“แบบนั้นฉันก็ยิ่งเกลียดนาย ฉันคิดว่า นายแย่งพ่อแม่ไปจากฉัน ทั้งๆที่นายก็มีพ่อแม่แล้ว แล้วทำไมต้องมาแย่งคุณปู่ไปจากฉันอีก ฉันเหลือแค่คุณปู่คนเดียวเองนะ”
หญิงพูดราวกับไม่ใช่เรื่องราวของตัวเอง เธอพูดอย่างกับตัวเองเป็นคนนอก และกำลังเล่าเรื่องของคนอื่นอยู่
“นายยังจำได้ไหมว่าได้แผลนี้มายังไง?” เธอไล่สายตาขึ้นมามองรอยแผลที่แปรเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลไปแล้ว พร้อมกับใช้นิ้วมือลูบเบาๆ
เจี่ยนโม่ป๋ายไม่มีแรง ใบหน้าซีดขาวราวกระดาษ เขาขยับริมฝีปากอยู่นาน ถึงได้เอ่ยพูดว่า “ลืมไปแล้ว…….”
หญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างเตียงหัวเราะออกมาเบาๆ “ตอนขึ้นประถม ฉันต้องปกปิดเรื่องวงศ์ตระกูล พอเข้าไปเรียนฉันก็ถูกพวกรุ่นพี่กลั่นแกล้ง
หลังจากนั้นก็ถูกนายจับได้ นายลากฉันเข้าไปในห้องของนาย แถมยังกระชากเสื้อนักเรียนของฉันออกอย่างแรง จนรอยแผลใต้ร่มผ้าพวกนั้นโผล่ออกมา
เจี่ยนโม่ป๋าย ตอนนั้นฉันเพิ่งได้รู้ว่า ที่จริงนายทำแผลเก่งมาก
พอนายทำแผลให้ฉันเสร็จ นายก็โยนฉันออกจากห้อง
ฉันกลัวว่านายจะบอกคุณปู่ เพราะถ้าคุณปู่รู้คุณปู่ก็จะผิดหวังในตัวฉัน และคิดว่าฉันไม่มีประโยชน์
ฉันหวั่นกลัวอยู่ทั้งวัน แต่สุดท้ายคุณปู่ก็ไม่ได้มีท่าทีตำหนิฉันแต่อย่างใด ฉันถึงได้รู้ว่านายไม่ได้ฟ้องคุณปู่
หลังจากนั้นฉันก็ได้แผลกลับบ้านทุกวัน และนายก็จะลากฉันเข้าไปทำแผลในห้องให้ทุกครั้ง”
หญิงสาวออกแรงกดบนรอยแผลบนไหล่ของเจี่ยนโม่ป๋ายเบาๆ “แผลนี้ของนาย ได้มาเพราะไปสู้กับพวกนักเลง นายรับมีดแทนฉันจนได้แผล หลังจากนั้นฉันเลยรู้สึกว่า พี่ชายของฉันเก่งมาก พี่ชายของฉันสามารถปกป้องฉันได้”
เจี่ยนถงสบตากับเจี่ยนโม่ป๋าย “ยังจำได้ไหม ตอนที่สู้กับคนพวกนั้น นายพูดว่าอะไร?”
แววตาของเจี่ยนโม่ป๋ายไหววูบ
เจี่ยนถงเอ่ยพูดต่อว่า
“นายพูดว่า น้องสาวของฉันมีแค่ฉันคนเดียวที่แกล้งได้ คุณอื่นห้าม”
เมื่อหญิงสาวพูดจบ
เจี่ยนโม่ป๋ายก็ยิ่งเม้มปากสีขาวซีดแน่น
“ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ฉันก็ไม่เกลียดนายแล้ว เพราะฉันรู้ว่า ไม่ได้มีแค่คุณปู่ที่รักฉัน แท้จริงแล้ว ยังมีพี่ชายที่คอยปกป้องฉันอยู่อีกคน”
เจี่ยนโม่ป๋ายได้ยินดังนั้น หัวไหล่ก็สั่นระริก ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร ดวงตามืดมน ถึงได้มีหลากหลายอารมณ์นัก เขาก้มหน้าลงจนแทบจะชิดอก
“เมื่อก่อนเรายังดีๆกันอยู่เลย” เจี่ยนถงจ้องมองคนตรงหน้า มีคำพูดหนึ่งติดชะงักอยู่ในลำคอ กรอบตาค่อยๆแดงขึ้นมาทีละนิด จากนั้นเอ่ยถามเสียงขาดห้วงว่า “ทำไมเรากลายมาเป็นอย่างนี้?”
เจี่ยนโม่ป๋ายกำผ้าปูแน่น หัวใจเต้นโครมครามอย่างรุนแรง
แปลกจัง……ทั้งๆที่ไม่ได้กินอะไรเข้าไป แต่ทำไมในปากรู้สึกขมจังเลยล่ะ เขาจ้องมองผ้าห่มที่คลุมกายเอาไว้ด้วยแววตาเหม่อลอย
“พี่ชายที่เคยบอกว่าจะไม่ยอมให้ใครมารังแกฉัน ไปไหนซะแล้วล่ะ?พี่ชายที่ฉันคิดว่าเขาคือฮีโร่ที่คอยปกป้องฉัน ทำไมยิ่งโต ก็ยิ่งเปลี่ยนไปล่ะ?”
เจี่ยนถงเอ่ยถามด้วยดวงตาแดงก่ำ ถึงแม้จะผ่านความผิดหวังมามาก เธอก็ไม่เคยร้องไห้เลยสักครั้ง ถึงแม้เมื่อสักครู่เพิ่งถูกเสิ่นซิวจิ่นปิดบัง เธอก็ยังรักษามาตรฐานเอาไว้ได้
เจี่ยนถงเองก็รู้สึกแปลกๆ ทั้งๆที่เธอไม่ได้สนใจไยดี ทั้งๆที่เธอเก่งเรื่องควบคุมอารมณ์ ทั้งๆที่เธอด้านชาและไร้ความรู้สึกไปแล้ว แต่ทำไมเธอต้องตาแดงด้วยล่ะ
“คุณปู่มีอะไรก็ให้แกหมด” นานพอสมควร เจี่ยนโม่ป๋ายถึงได้เอ่ยพูดด้วยลมหายใจผะแผ่ว
เจี่ยนถงจ้องตาของเขา จ้องมองอยู่นาน…….เพราะเรื่องเงินเหรอ?
เพราะอำนาจ?
หรือเพราะความหรูหราร่ำรวย?
“อันที่จริงแล้วฉันเองก็อิจฉาแก” เจี่ยนโม่ป๋ายถูกดวงตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่เขาไม่อาจต้านทานได้จดจ้องเอาไว้ จนหนังตาเหน็บชาเป็นระยะๆ จากนั้นเขาก็พูดความในใจที่มีมาตลอดสิบปีออกมา
“แกบอกว่าพ่อกับแม่รักฉันมากกว่า แต่ทุกครั้งที่ฉันเห็นคุณปู่อบรมสั่งสอนแก ฉันก็อดคิดขึ้นมาไม่ได้ว่าทั้งๆที่ฉันเป็นทายาทของตระกูล แต่ในสายตาคุณปู่ กลับมีแต่แก ไม่เคยมีฉัน
ฉันห่วงแต่เล่น คุณปู่ก็ไม่ห้าม แต่พอเป็นแก นิดๆหน่อยๆคุณปู่ก็บอกก็สอน
ฉันคิดไม่ตก ว่าทำไมคุณปู่ถึงได้ดีกับแก แต่กลับละเลยฉัน พออายุมากขึ้นเรื่อยๆ ฉันก็ยิ่งอยากได้ความห่วงใยและคำพร่ำสอนอย่างที่คุณปู่มีให้แก แต่คุณปู่ไม่เคยให้มันกับฉันเลย ทั้งๆที่แกไม่รู้เรื่องอะไรแท้ๆ เพราะแบบนั้นยิ่งโต ฉันเลยยิ่งอิจฉา”
นัยน์ตาของเจี่ยนถงทอแววแปลกใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอยอมฟังความในใจที่มีมานานของเจี่ยนโม่ป๋ายอย่างไม่มีอคติใดๆ
จนกระทั่งเจี่ยนโม่ป๋ายพูดจบ ดวงตาของเจี่ยนถงก็ปรากฏแววยิ้มเยาะ
“ผิดแล้ว
คุณปู่ไม่ได้มีอะไรก็ให้ฉันทั้งหมด
ตอนที่คุณปู่ยังอยู่ คุณปู่ย้ำเตือนกับฉันอย่างเคร่งครัดครั้งแล้วครั้งเล่า ว่าตระกูลเจี่ยน เป็นของเจี่ยนโม่ป๋าย
ในตอนที่คุณปู่มอบกองทุนดวงหัวใจให้ฉัน คุณปู่พูดว่า ฉันจะทำยังไงกับกองทุนดวงหัวใจก็ได้ ถ้าบริหารได้ดี ก็ให้อยู่ที่หาดเซี่ยงไฮ้ไปเลย แต่ถ้าล้มเหลว ก็เก็บไว้เป็นสินเดิมตอนสมรส
ตระกูลเจี่ยนจะไม่มีทางเป็นของฉัน
นี่คือสิ่งที่คุณปู่พูดออกมาเองจากปาก”
เจี่ยนโม่ป๋ายไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน
เขาเงยหน้าพรวดขึ้นมา หันไปมองข้างเตียง จนสบเข้ากับใบหน้าอันแสนคุ้นเคย ที่ขาวซีดไม่ต่างกันกับเขา ราวกับตกอยู่ในภวังค์ เขาเห็นเจี่ยนถงในวัยสิบแปดปีที่ประสบความสำเร็จ และเต็มไปด้วยความมั่นใจ…..นั่นมันน้องสาวของเขานี่!
“แก……รู้ความตั้งใจของคุณปู่ตั้งนานแล้วเหรอ?” ลูกกระเดือกของเจี่ยนโม่ป๋ายขยับขึ้นลงเล็กน้อย “แล้วทำไมแกยังแคร์คุณปู่ ทั้งๆที่คุณปู่เสียไปแล้ว แต่แกก็ยังกลับมาที่นี่อีกครั้งเพราะคุณปู่?”
เจี่ยนถงกระตุกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ดวงตาทอแววอบอุ่นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน พร้อมกับจ้องมองมาที่เจี่ยนโม่ป๋าย
“เพราะฉันมีแค่คุณปู่ไง ฉันรู้ ว่าความรักของคุณปู่ ต้องมีสิ่งตอบแทน แต่ว่า ฉันก็ยังมีความสุขกับมัน แต่พอคุณปู่จากไป ฉันถึงได้รู้ว่าความจริงเป็นยังไง แต่ก็ยังหลอกตัวเองอยู่”
ดวงตาของเธอทอประกายที่เจี่ยนโม่ป๋ายไม่เข้าใจ มันดูซับซ้อนมาก “นับตั้งแต่นั้นฉันก็ไม่เคยได้รับความรักความห่วงใยใดๆ แต่ฉันก็ยอมที่จะหลอกตัวเอง”
รูม่านตาของเจี่ยนโม่ป๋ายหดเล็กลง หลังจากที่แยกห่างจากกันไปนาน คิดไม่ถึงเลยว่า วินาทีนี้ เขาจะเจ็บปวดให้กับน้องสาวที่เคยเป็นหนามทิ่มแทงใจอีกครั้งจนแทบจะพูดออกมาเป็นคำไม่ได้
เสี่ยวถงไม่ได้ต่อว่าพี่ชายอย่างเขาที่เคยบอกว่าจะปกป้องเธอ แต่กลับหลงลืมคำสัญญาที่เคยให้ไว้กับน้องสาว หลงเหลือไว้แค่ความอิจฉาที่มีต่อเธอ เพราะความอิจฉา จึงจงใจไม่ไถ่ถามถึงเธอ……เจี่ยนโม่ป๋ายหลับตาลง
รอยแผลบนบ่าไหล่ เริ่มร้อนผ่าว หลายสิบปีต่อมา เขามองว่าแผลนี้ ก็เหมือนกับแผลอื่นๆบนร่างกายที่ได้มาจากการชกต่อย มันก็แค่รอยแผลรอยหนึ่ง
แต่ตอนนี้ มันกลับทวีความเจ็บมากกว่าตอนที่โดนมีดแทงเข้ามาในตอนนั้น
เจี่ยนถงมองลึกเข้าไปในดวงตาของคนบนเตียง ใบหน้าซูบตอบของเจี่ยนโม่ป๋ายกำลังหลับตาขมวดคิ้วแน่นอย่างเจ็บปวด เธอมองเขาอยู่อย่างนั้นสักพัก แล้วค่อยๆหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าช้าๆ เมื่อเปิดโทรศัพท์ ข้อความมากมายที่ยังไม่ได้อ่านก็เด้งเข้ามาเป็นชุด
เธอเพียงแค่กวาดตามองก็รู้แล้วว่าเป็นผู้ชายคนนั้น
เธอเลื่อนหน้าจอเข้าไปในบันทึกรายชื่อผู้ติดต่อ เบอร์นั้น อันที่จริงแล้วเธอท่องได้ขึ้นใจ ไม่จำเป็นต้องกดเข้ามาในบันทึกรายชื่อด้วยซ้ำ
นิ้วโป้งกดโทรออกไปยังหมายเลขนั้น เสียงสัญญาณดังอยู่สองครั้ง ปลายสายก็ตอบกลับมา “คุณเจี่ยน สวัสดี”
“ขอถามได้ไหมคะ เปอร์เซ็นต์ในการหาคนที่มีไขกระดูกเข้ากันได้กับน้องชายของฉันมันมีน้อยมากใช่ไหมคะ?”
อีกฝ่ายเงียบไปสักพัก ถึงได้ตอบกลับมา “พวกเรายังคงพยายามติดตามเรื่องการจับคู่อวัยวะของคุณเจี่ยนโม่ป๋ายอย่างสุดกำลัง คุณเจี่ยน พวกเราเชื่อว่า ถ้าเราไม่ยอมแพ้ซะอย่าง ต่อให้ถึงวินาทีสุดท้าย เราก็จะมีโอกาส คุณเจี่ยนเป็นห่วงน้องชายขนาดนี้ เชื่อว่าต้องมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นอย่างแน่นอน “
เจี่ยนถงหลุบตาลง…..ปาฏิหาริย์งั้นเหรอ? มันต่างกับหมดหวังยังไง?
“ที่ฉันโทรมาวันนี้ เพราะอยากแจ้งให้ทราบอย่างเป็นทางการ ว่าไม่ต้องหาแล้วนะคะ ฉันหาเจอแล้ว”
“หาเจอแล้ว? เป็นไปไม่ได้ เราเป็นองค์กรที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ถ้าเป็นช่องทางถูกกฎหมาย ไม่มีทางหลุดรอดมือเราไปได้แน่ๆ”
“เรื่องค่าใช้จ่าย ฉันจะส่งคนไปเคลียร์กับพวกคุณนะคะ”
“ไม่ใช่เรื่องค่าใช้จ่าย….คุณเจี่ยน พวกคุณคงไม่ได้หาจากตลาดมืดหรอกใช่ไหม? นั่นมันผิดกฎหมายนะ…….”
“สบายใจได้ค่ะ ทางเราไม่ทำเรื่องผิดกฎหมายแน่นอน ไม่ได้หาจากตลาดมืดค่ะ หาจากช่องทางถูกกฎหมาย”
“แล้วทำไม…….”
เธอไม่อยากพูดอะไรมากแล้ว หลังจากพูดจบ เสียงพูดของคนในสายก็ถูกตัดทิ้งไปอย่างไร้เยื่อใย
เจี่ยนโม่ป๋ายไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองรู้สึกอย่างไร เขามองคนข้างเตียงอย่างเหม่อๆ……เคยคิดว่าเธอไม่ค่อยมีน้ำใจ และเลือดเย็น ตอนนี้ได้รู้แล้วว่า เธอแอบทำเพื่อเขามากมายขนาดนี้ เพียงแค่เธอไม่เคยพูดมันออกมา
รสชาติขมขื่นยิ่งกระจายไปทั่วโพรงปากของเจี่ยนโม่ป๋าย…..ใช่ น้องสาวของเขา——เจี่ยนถง ไม่เคยพูดอวดคุณงามความดีของตัวเอง เพียงแค่ทำแต่ไม่พูด
เขานึกไปถึงคำด่าที่แม่พูดกรอกหูเขาทุกวัน ด่าว่าน้องสาวของเขาจิตใจป่วย ด่าว่าเธอใจจืดใจดำ ด่าว่าเธอต้องไม่ได้ตายดี
“เสี่ยวถง ฉัน…….” เขาอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับพูดออกมาไม่ได้
“พี่ชาย นายต้องมีชีวิตรอด” เธอยิ้ม แล้วลุกขึ้น