บทที่38: ที่เธอต้องการมันเยอะมากเหรอ?
ฉินมู่มู่เงยหน้าขึ้นมามองเสี่ยวเสี่ยวด้วยความระมัดระวัง เธอไม่ได้ตอบคำถามของเสี่ยวเสี่ยว แต่กลับย้อนถามเสี่ยวเสี่ยวว่า: “เสี่ยวเสี่ยว เธอชอบคุณเซียวเหรอ?”
เสี่ยวเสี่ยวรีบผายมือปฏิเสธ: “เปล่า ไม่ใช่ฉัน แต่เป็นคนอื่น มีหลายคนเลยที่ชอบคุณเซียว”
แววตาที่เฉียบคมของฉินมู่มู่จางหายไป เธอว่าเสี่ยวเสี่ยวขึ้นมาอย่างจริงจัง: “ยังดีที่เธอไม่ชอบคุณเซียว เธอดูสิ คุณเซียวเป็นคนอะไร เขาต้องสายตาสูงแน่นอน คนที่สามารถเป็นแฟนของคุณเซียวได้จะต้องเป็นคนยอดเยี่ยมมากแน่นอน
คุณเซียวแค่มาเล่นๆที่ตงหวง จะมีทางชอบผู้หญิงที่โปรยเสน่ห์ไปทั่วได้ยังไง เสี่ยวเสี่ยว ไม่ใช่ว่าฉันอยากโจมตีนะ คุณเซียวสายตาสูง นี่มันแน่นอนอยู่แล้ว เธออย่าไปประสมโรงเจ้าชู้กับคนพวกนั้นเลย เพื่อเลี่ยงต่อไปจะไม่ได้ไม่น้ำตาเช็ดหัวเข่า”
หลังจากพูดจบ เธอเห็นเสี่ยวเสี่ยวก้มศีรษะไว้และงอนไม่ยอมพูดจา เธอเม้มปากชมพูแล้วดึงมือของเสี่ยวเสี่ยวไว้ :“เสี่ยวเสี่ยว ที่ฉันพูดทั้งหมดนี้ก็เพราะหวังดีกับเธอ เธอดูสิฉันไม่บอกกับคนพวกนั้นเลย ในฐานะที่เป็นเพื่อนกัน ฉันแค่หวังว่าเธอจะไม่ถูกทำร้าย”
พริบตาเดียวสีหน้าของเสี่ยวเสี่ยวก็ค่อนข้างอึดอัดขึ้นมา: “ฉันรู้ มู่มู่ ฉันจะต้องไปทำงานแล้ว” ไม่รู้เพราะอะไร ถึงมู่มู่จะบอกว่าหวังดีกับเธอ แต่เธอก็ยังรู้สึกว่าถูกหยามศักดิ์ศรี
ฉินมู่มู่ก็ไม่ได้คิดมาก เธอได้รีบกลับไปที่โรงพยาบาลอีก
เข้ามาที่ห้องผู้ป่วย ก็เห็นเจี่ยนถงที่นอนสลบอยู่ ทันใดนั้นเธอแบะปากมองบน: “ยุ่งยากจริงๆเลย”
ก่อนหน้านั้นเธอได้พูดคุยสื่อสารกับคุณหมอ แผลบนหน้าผากของเจี่ยนถงดูเหมือนจะสาหัส ที่จริงก็แค่ส่งมาโรงพยาบาลช้าจนเสียเลือดเยอะไปหน่อย ปัญหาที่แท้จริงคือร่างกายที่ย่ำแย่อ่อนแอของเจี่ยนถง แย่จริงๆเลย
……………….
ตอนที่เจี่ยนถงฟื้น ก็คือตอนเย็นของวันที่สองแล้ว ไข้ก็ลดไปบ้างแล้ว แต่อุณหภูมิก็ยังแปลกไปจากคนปกติอยู่
ลืมตาขึ้นมา ริมฝีปากแห้งมาก พูดอย่างไม่รู้สึกตัวด้วยเสียงแหบแห้ง: “หิวน้ำ………”
เสียงเคลื่อนไหวที่ผิดปกติดังขึ้น ทำเอาฉินมู่มู่สะดุ้งตื่น เธอขมวดคิ้วมองเจี่ยนถงไปทีหนึ่ง: “รอเดี๋ยว” ฉินมู่มู่พูดอย่างเย็นชา และรินน้ำให้เจี่ยนถงแก้วหนึ่ง
เจี่ยนถงรับน้ำเอาไว้ และดื่มน้ำหมดแก้วหนึ่งอย่างเงียบๆ โดยที่ไม่พูดจา
พอดื่มน้ำเสร็จ เธอก็ยังไม่พูดจา
ในห้องผู้ป่วยเงียบสงบมาก เจี่ยนถงหลุบตาลง เธอรออย่างใจจดใจจ่อ
จู่ๆ
“หน้าผากของแกชนเข้ากับลูกบิดประตู จะทิ้งแผลเป็นไว้ แต่รู้สึกเดิมทีหน้าผากของแกก็มีแผลอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นรอยแผลนี้ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เรื่องนี้แกก็ไม่ต้องเอาไปพูดกับคนอื่นแล้ว ที่ตงหวง ฉันช่วยแกลางานแล้ว รอให้ไข้ลดแล้วค่อยกลับไปทำงาน ค่ารักษาพยาบาลฉันก็จ่ายหมดแล้ว ในช่วงระหว่างที่พักโรงพยาบาล วันหนึ่งสามมื้อ ฉันจะส่งมาตรงตามเวลาเอง”
เจี่ยนถงไม่พูดจา
ฉินมู่มู่พาลโกรธอย่างดื้อๆ นึกว่าเจี่ยนถงไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี: “เฮ้ย นี้แกได้ยินมั้ย เรื่องนี้ไม่ใช่ความรับผิดชอบของฉันคนเดียว ตัวแกเองก็มีปัญหาเหมือนกัน จะมีใครที่ตากฝนแล้วยังไปนอนที่หน้าห้องทั้งคืน แกทำแบบนี้ถึงทำให้แกเป็นไข้ ไม่งั้นล่ะก็ ฉันก็แค่แตะต้องแกหน่อยเอง แกก็ล้มแล้ว?”
เจี่ยนถงเงียบไว้ไม่พูดอะไร
ฉินมู่มู่พูดเสียงสูงอย่างห้ามใจไม่ได้ เธอตะคอก: “นี่แกอยากเอายังไงกันแน่! ฉันก็ส่งแกมาที่โรงพยาบาลแล้ว! ถ้าไม่ใช่ฉันส่งแกมาที่โรงพยาบาลอย่างทันท่วงที ป่านนี้แกไข้ขึ้นสูงจนตายแล้ว ฉันยังช่วยแกจ่ายค่ารักษาโรงพยาบาลแล้วด้วย
ฉันที่เป็นแค่เด็กมหาลัย เดิมทีก็เพื่อค่าเทอมค่าใช้จ่าย ถึงได้มาทำงานซัมเมอร์ ฉันไม่ได้มีเงินเท่าไหร่ แต่ก็ยังช่วยแกจ่ายค่ารักษาโรงพยาบาลไป แต่แกยังไม่ยอมเลิกราอีก เจี่ยนถง แกพูดมาเถอะ แกจะเอาเงินเท่าไหร่กันแน่ ถึงจะไม่เที่ยวพูดไปมั่ว?”
เจี่ยนถงก้มหน้าอยู่ตลอดเวลา ไม่พูดจา
ฉินมู่มู่ยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่: “แกมีข้อเรียกร้องอะไร แกว่ามาเลย!”
เธอเตรียมใจที่จะเสียทรัพย์ก้อนโตแล้ว เธอพูดอยู่ในใจ เจี่ยนถงคนนี้โลภขนาดนี้ จะปล่อยโอกาสแบล็กเมล์ตัวเองไปได้ยังไง
ทันใดนั้นในใจมองเจี่ยนถงก็ขัดหูขัดตาไปหมด
เจี่ยนถงค่อยๆเงยหน้าขึ้นมามองฉินมู่มู่ ค่อยๆเปิดปากพูด เสียงของเธอแหบและห้าว บาดแก้วหูและไม่เสนาะหู เธอพูดว่า: “ฉันอยากได้คำขอโทษจากเธอ”
ฉินมู่มู่เบิกตากว้าง มองเจี่ยนถงด้วยสีหน้าเหลวไหล “แกจะให้ฉันขอโทษแก?” เธอแทบจะถามเจี่ยนถงด้วยเสียงกรีดร้อง: “แกจะให้ฉันขอโทษแกงั้นเหรอ?”
มองเจี่ยนถงด้วยสีหน้าเหลือเชื่อมาก ราวกับว่าขอโทษเจี่ยนถงเป็นเรื่องที่เหลวไหลและขายหน้าสุดๆ
“แกพูดมาเถอะ ว่าแกต้องการเงินเท่าไหร่?”
ฉินมู่มู่ถามอย่างเยาะเย้ย
เจี่ยนถงที่อยู่บนเตียงกลับส่ายหน้า เธอพูดอย่างช้าๆแต่แน่วแน่: “ฉันอยากได้แค่คำขอโทษ”
“นี่แก!” ฉินมู่มู่มองเจี่ยนถงที่อยู่บนเตียงด้วยความโกรธ ดวงตาทั้งคู่แทบจะลุกเป็นไฟ เธอพูดอย่างเย็นชา: “ถ้าฉันไม่ขอโทษ แกคิดไว้แล้วใช่มั้ยว่าจะไปพูดซี้ซั้วที่ข้างนอก?”
เจี่ยนถงยิ่งเงียบแล้ว…….ทำผิด ขอโทษ ไม่สมควรรึยังไง?
การแสดงออกของฉินมู่มู่ชัดเจนมาก ขอโทษตัวเอง ก็จะทำให้ฉินมู่มู่ยากที่จะรับได้ขนาดนั้นเลยเหรอ?
เจี่ยนถงถามอยู่ในใจอย่างควบคุมไม่ได้: ถ้าสมมุติวันนี้เปลี่ยนเป็นคนอื่น ฉินมู่มู่ยังจะเป็นแบบนี้มั้ย?
เฮ้อ………..เสียงถอนหายใจที่ใกล้จะได้ยิน เธอยิ่งอยู่ยิ่งเงียบสงบ ไม่ใช่เพราะคำขอโทษคำหนึ่ง แต่ว่าในใจเธอปรารถนาที่จะเป็นที่ถูกให้เกียรติเหมือนคนปกติ
ถึงจะเข้าใจตั้งนานแล้วว่าเรื่องที่“ถูกเฝให้เกียรติ”แบบนี้ ไกลจากตัวเธอไปตั้งนานแล้ว
เสิ่นซิวจิ่น………..บุคคลที่สูงส่ง แค่ใช้มือก็สามารถทำลายคนๆหนึ่งได้แล้วใช่มั้ย………จากภายในจิตใจถึงภายนอก ตั้งแต่หัวจรดเท้า ทำลายอย่างสิ้นเชิง
เธอเงียบสงบ สำนึกแค้นใจตัวเองที่ได้ทำผิดไป: ไม่ควรขอร้อง ไม่สามารถขอร้อง “ถูกให้เกียรติ”สิ่งนี้ เธอไม่มีสิทธิ์ได้ครอบครองแล้ว
“เจี่ยนถง ถึงฉันจะชดเชยเงินทั้งหมดที่มี ก็ไม่ขอโทษแกหรอก เพื่อเงินแล้วสามารถคุกเข่า สามารถคลานอยู่บนพื้นเลียนแบบหมาตัวเมีย และกระดิกหางเอาใจคนมีตังค์ เจี่ยนถง ถึงฉันจะทำเรื่องผิดไปจริงๆ แกก็ไม่คู่ควรได้รับคำขอโทษของฉันหรอก” ฉินมู่มู่โมโหสุดขีด
“ถ้าแกจะพูดไปมั่วก็พูดเถอะ แต่จะมีคนเชื่อแกหรือเปล่า อย่าหาว่าฉันไม่เตือนแกก็แล้วกัน ฉันเป็นนักศึกษาของมหาลัยS เพื่อการเรียนแล้ว ขยันศึกษาและทำงาน แกเป็นผู้หญิงที่เพื่อเงินแล้วสามารถทำได้ทุกอย่าง แกว่า คนอื่นจะเชื่อแกหรือว่าเชื่อฉัน?”
ใต้ผ้าห่ม เจี่ยนถงกำหมัดไว้แน่น พยายามอดทนไว้อย่างสุดฤทธิ์ ถึงจะสามารถควบคุมความเจ็บปวดของในใจได้ ฉินมู่มู่พูดเสร็จก็ได้ไปจากห้องผู้ป่วยด้วยความโมโห ตอนที่ออกจากห้อง เธอปิดประตูเสียงดัง“ปัง” เจี่ยนถงลืมตาที่เอ๋อค้างไว้ มองดูฝ้าเพดานอย่างหมดคำพูด………..ปล่อยให้ความเจ็บปวดในใจกระจายไปทั่วร่าง ความไร้พลังแยกย้ายไปทั่วร่างกาย
เธอนึกว่าเธอเจ็บไม่เป็นแล้ว เธอนึกว่าเธอไม่แคร์เรื่องศักดิ์ศรีแล้ว
“อ๊า…….วันนี้ ฉันเป็นอะไรไป?” เสียงที่แหบห้าว พูดพึมพำคนเดียว: “อ๋อ…..เป็นไข้จนสมองเลอะเลือนแล้ว” เธอได้ตอบตัวเองอีก
เจี่ยนถงเข้าใจเป็นอย่างดีมาก ที่เธออยากได้ไม่ใช่คำขอโทษคำนั้น ที่เธออยากได้คือ…….“ถูกให้เกียรติ”จากที่ไม่ได้เห็นมานาน ที่เธออยากได้คือการถูกให้เกียรติเหมือน“คน”!
แววตามีความเจ็บปวดที่ยากจะสังเกตเห็นแวบเข้ามา……เธอแค่อยากได้คำขอโทษที่เดิมทีก็ควรจะให้เธออยู่แล้ว?
หรือว่า ขอมากไปเหรอ?
“ฉัน…….ขอมากเกินไปแล้ว” เธอก้มหน้า: “จะไม่มี…..ความคิดเพ้อฝันที่ไม่เป็นจริงอีก” เหมือนสาบานกับตัวเอง เหมือนพูดโน้มน้าวตัวเองอย่างไม่ขาดสาย เธอเหมือนสะกดจิตที่พูดกับตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า “ไม่เพ้อฝันในสิ่งที่ไม่เป็นจริงอีกต่อไป………”
——————