บทที่39:ยิ่งต่ำต้อยขนาดไหนก็แสดงออกถึงความเย่อหยิ่งขนาดนั้น
เรื่องเรียบง่ายมาก เรียบง่ายจน ขอแค่เจี่ยนถงอ่อนแอต่อไป รับปากข้อเรียกร้องของฉินมู่มู่ที่ไม่สมเหตุสมผล แท้กระทั่งเป็นการเหยียดหยามที่ไร้ศักดิ์ศรีต่อ
แต่เธอ กลับอยู่ในใจลึกๆ ส่วนที่ลึกที่สุดเกิดความโลภที่ไม่รู้จักพอขึ้นมา— —เธออยากได้“การถูกให้เกียรติ”ที่หายไปนาน ไม่จำเป็นต้องเหมือนเมื่อก่อน แค่เหมือนคนธรรมดาทั่วไปก็พอ ได้รับการให้เกียรติเหมือนที่“คน”ควรจะได้รับ
เห็นได้ชัดมาก เรื่องไม่ได้เป็นไปอย่างที่ใจหวัง
ตั้งแต่นี้ไป เจี่ยนถงเอาหัวใจดวงที่เต็มไปด้วยรูพรุนซ่อนให้ลึกยิ่งขึ้น เอาสิ่งที่ปรารถนาในใจซ่อนไปที่วิญญาณลึกๆด้วย ส่วนลึกๆที่ใครก็สัมผัสไม่ถึง ที่นั่นมืดและหนาว ยังมีความเหงาและความโดดเดี่ยวของตอนที่ทะเลลึกเงียบงันที่สุด
ฉินมู่มู่ไปแล้วกลับมาอีก มาแล้วออกไปอีก ทุกครั้งก็มาในเวลาทานข้าว ส่งกับข้าวเสร็จก็ไปเลย
“ฉันอยากออกจากโรงพยาบาล” วันที่สี่ที่เกิดเรื่อง ฉินมู่มู่เหมือนปกติวันธรรมดา เธอวางกล่องอาหารวางลงที่ตู้ข้างเตียงของเจี่ยนถงด้วยสีหน้าเรียบเฉย จากนั้นก็หันหลังเตรียมตัวจากไป ด้านหลัง ผู้หญิงบนเตียงที่เงียบสงบมาโดยตลอดได้พูดขึ้นมาอย่างช้าๆ
เสียงแหบห้าวที่เชื่องช้านี้ กลับทำให้ฉินมู่มู่ที่ทำตัวเย็นชามาสี่วันหยุดฝีเท้าไว้ เธอหันหน้ามาอย่างเห็นได้ชัดว่าอารมณ์ขึ้น ปฏิเสธอย่างไม่ต้องคิดเลย: “ไม่ได้ แกยังไม่หายดี”
นี่คือเป็นห่วง? เจี่ยนถงเพ่งมองฉินมู่มู่ “ฉันหายดีแล้ว ไข้ก็ลดลงแล้ว ฉันอยากไปทำงาน”
“แกคงจงใจใช่มั้ย? แกอยากให้ทุกคนเห็นผ้าก๊อซบนหน้าผากแกใช่มั้ย?” ฉินมู่มู่โกรธ: “เจี่ยนถง แกมันไม่ใช่ย่อยจริงๆซะด้วย คำว่ารู้คนรู้หน้าไม่รู้ใจคำนี้ไม่ผิดเลยจริงๆ ดูแกก็ออกซื่อสัตย์ แต่แท้จริงเป็นคนมีเล่ห์เหลี่ยมขนาดนี้เลย”
เจี่ยนถงหลุบตาลง บังความเศร้าโศกเสียใจในแววตาไว้………เธอคิดมากไปจริงๆซะด้วย เป็นห่วง?
ตอนที่มองฉินมู่มู่อีกครั้ง แววตาของเจี่ยนถงกลายเป็นค่อนข้างด้านชา: “ฉันจะไปทำงาน เธอไปทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลหน่อย”
ระหว่างที่เธอพูด ก็ดึงผ้าห่มออกและลงจากเตียงช้าๆ เปลี่ยนเสื้อผ้าของตอนที่ใส่มาโรงพยาบาล
ฉินมู่มู่เบิกตากว้างอย่างตะลึงงัน………..เมื่อกี๊เจี่ยนถงคือกำลังออกคำสั่งตัวเอง?
เธอ?
เจี่ยนถง?
ออกคำสั่งตัวเอง?
ความรู้สึกถูกเหยียดหยามโผล่ขึ้นมาอย่างเป็นธรรมชาติ!
มองดูผู้หญิงที่ลงมาจากเตียงผู้ป่วย ขาเป๋ค่อยๆเดินไปที่ทางประตู ถึงจะเชื่องช้า อีขาเป๋คนนั้นก็เตรียมออกจากประตูจริงๆ นั่นก็หมายความว่า…….เจี่ยนถงเธอพูดจริง ไม่ใช่แค่ล้อเล่นแน่นอน!
เธอเตรียมออกจากโรงพยาบาลจริงๆ!
นี่จะได้ยังไง!
สายตาของฉินมู่มู่หล่นอยู่ที่บนหน้าผากของเจี่ยนถง พริบตาเดียวแววตาสับสนวุ่นวายขึ้นมาทันที เธอก็ยังกลัวอยู่ ก่อนที่ผ้าก๊อซนี้จะถูกเปิดออก อีขาเป๋คนนี้จะกลับไปที่ตงหวงได้ยังไง?
เธอเดินไปขวางที่ตรงหน้าของเจี่ยนถงอย่างไม่ต้องคิดเลย: “เจี่ยนถง ทำไมแกถึงได้ต่ำตมขนาดนี้! ทำงานๆๆ! พูดซะสวยหรู คนที่ไม่รู้ ยังนึกว่าแกรักงานมากเสียอีก
งานของแก? งานของแกก็คือเอาใจผู้ชายไม่ใช่เหรอ? อาการป่วยยังไม่หายดี แกก็รีบร้อนจะไปเอาใจผู้ชายแล้ว? แกอดใจรอไม่ไหวที่จะไปเป็นหมาตัวเมียขนาดนี้เลยเหรอ?
หรือว่า ที่จริงแกเพลิดเพลินกับขั้นตอนนี้มาก? ไม่งั้นทำไมถึงได้ไม่คำนึงถึงร่างกายที่ป่วยอยู่ ก็รีบร้อนจะไปตงหวงขนาดนี้เลย?”
ฉินมู่มู่คิดอยู่อย่างเดียวว่าไม่อยากให้เจี่ยนถงไปตงหวงในตอนนี้ ก็ไม่คิดว่าคำพูดเธอทำร้ายจิตใจคน พูดใส่เจี่ยนถงไปชุดใหญ่ เจี่ยนถงยิ่งเงียบสงบ เธอแค่ก้มหน้ามองดูปลายเท้าของตัวเอง ฝ่ามือที่อยู่ด้านหลัง กำเป็นหมัดและสั่น เธออยากหักล้างและอยากอธิบายมาก
เธอรู้อย่างลึกซึ้ง หักล้างจะมีประโยชน์เหรอ?
ก็จริงนะ เธอคุกเข่าเพื่อเงินจริงๆ
ก็จริงนะ เพื่อเงินที่มากกว่า เธอคลานลงมากระดิกหางเลียนแบบหมา
ก็จริงนะ คนอื่นไม่ได้พูดมั่ว สิ่งที่คนอื่นพูดต่อหน้าเธอ เป็นความจริงทั้งนั้น
เธอได้ทำแบบนั้นจริงๆ!
เธอสามารถโต้ตอบอะไรได้?
เธอสามารถอธิบายได้อย่างชัดเจนเหรอ?
“คนเราทุกคน ล้วนมีศาสนาทั้งนั้น หรือคนคนหนึ่ง หรือความศรัทธา” เสียงที่แหบห้าวสะกดความขมขื่นไว้ เจี่ยนถงพยายามพูดอย่างสงบและช้าๆ : “เพื่อศาสนานี้ เพื่อคนๆนี้ เพื่อความศรัทธาแล้ว คนพวกนั้นที่พยายามทำให้ความฝันเป็นจริง พยายามไขว่คว้า พยายามที่จะได้รับ อย่างน้อยไม่ควรถูกหัวเราะเยาะ”
ฉินมู่มู่เอ๋อไปครู่หนึ่ง สำรวจเจี่ยนถงที่อยู่ตรงหน้าอย่างตั้งแต่หัวจรดเท้า………คำพูดแบบนี้ จะเป็นคำพูดที่ผู้หญิงไม่มีความรู้และต่ำทรามจนแม้แต่มัธยมปลายก็ยังเรียนไม่จบพูดออกมาได้ยังไง ก็ไม่รู้ว่าขาเป๋คนนี้ไปเห็นมาจากไหน
ในใจคิดแบบนี้ สายตาที่มองเจี่ยนถงก็ยิ่งดูถูกแล้ว
เจี่ยนถงพูดจบ ก็ค่อยๆยกฝีเท้าเดินอ้อมผ่านฉินมู่มู่ ฉินมู่มู่ใช้มือข้างหนึ่งดึงแขนของเธอไว้อย่างเร็ว: “ห้ามไป แกต้องพักรักษาตัวอยู่ที่นี่ จนกว่าแผลที่หน้าผากจะหายดีก่อน!”
เจี่ยนถงเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้าๆ มองมาที่ใบหน้าของฉินมู่มู่ พูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ:“ฉันจะไปทำงาน นี่ไม่เกี่ยวอะไรกับเธอ”
เธอที่ดูเหมือนอ่อนนุ่ม กลับปัดฝ่ามือของฉินมู่มู่ที่จับแขนของเธอไว้ออก ไม่มองฉินมู่มู่ที่แววตาช็อกอีกต่อไป จากนั้นก็ยกฝีเท้าเดินออกไป
ฉินมู่มู่ที่อยู่ด้านหลังดึงสติกลับมา ยกเท้าตามเธอไป ขาของเจี่ยนถงไม่สะดวก เดินเชื่องช้า จึงถูกฉินมู่มู่ตามทันอย่างง่ายดาย เจี่ยนถงไม่ได้หันหลังไป เพียงแค่ได้ยินเสียงฝีเท้าที่ตามมาจากด้านหลัง ใช้ขาที่กะเผลกเดินไปข้างหน้าต่อไปด้วย และใช้กล่องเสียงที่ถูกทำร้ายเพราะไฟไหม้พูดอย่างช้าๆแต่แน่วแน่ไปด้วย:
“ถ้าเธอกล้ามาขัดขวางฉันอีก ฉันก็จะโทรหาพี่เมิ่ง”
ถ้าเทียบกับอาลู่ที่อยู่ในคุกมืดมนและไม่มีแสงสว่าง ใช้ชีวิตของตัวเองช่วยเหลือเธอไว้ แค่ฉินมู่มู่คนหนึ่งแล้วจะทำไม?
ฉินมู่มู่ก็ดี ไม่ว่าคนไหนก็ดี…….แม้กระทั่ง ผู้ชายคนนั้นก็ดี เจี่ยนถงคิดไม่ออกว่ายังมีอะไรสำคัญกว่าอาลู่อีก
ปล่อยให้ด้านหลัง สายตาคู่นั้นที่ได้แค่จ้องมองเธออย่างดุร้ายหล่นอยู่ที่บนตัว ปล่อยให้ฉินมู่มู่กระหืดกระหอบ แต่กลับไม่กล้ามาขัดขวางตัวเองจริงๆ เจี่ยนถงเดินออกจากโรงพยาบาลทีละก้าวๆ
ฉินมู่มู่ไม่พบเห็น ความต่ำต้อยความต่ำทราม ความไร้ความสามารถในแววตาเธอ คนอ่านหนังสือไม่ออกที่ไม่มีวุฒิการศึกษา เจี่ยนถงที่อยู่ในแววตาเธอไม่ใช่อะไรเลย เมื่อเทียบกับเธอที่เป็นนักศึกษาระดับยอดเยี่ยมของS เจี่ยนถงเดินอย่างใจเย็นกว่าและเย่อหยิ่งกว่า
แน่นอนว่าฉินมู่มู่ก็ไม่ได้พบเห็น ห้องผู้ป่วยที่อยู่ห้องข้างๆของเจี่ยนถง ที่หน้าห้องผู้ชายคนหนึ่งกำลังมือกอดอก พิงอยู่ที่กรอบประตูอย่างชิวๆ สุดท้ายคนๆนั้นมองหน้าลิฟต์ที่เจี่ยนถงสูญหายไปทีหนึ่ง เขายืนตัวตรง ยกขาที่เรียวยาวเดินอ้อมผ่านฉินมู่มู่ แล้วเดินไปยังลิฟต์ที่เจี่ยนถงนั่งลงไป
เจี่ยนถงนั่งลิฟต์ลงมา ขาเธอไม่สะดวก เวลาเดินยิ่งเชื่องช้า ยิ่งไปกว่านั้น ถึงแม้ไข้จะลดแล้ว แต่ร่างกายกลับยิ่งอ่อนเพลีย เธอเดินออกจากหน้าประตูใหญ่ของโรงพยาบาลอย่างเชื่องช้า ยืนที่ข้างถนน โบกมือเรียกรถแท็กซี่
“พี่คะ ฉันจะไปที่ตงหวง ไม่กดมิเตอร์ ราคาถูกหน่อยได้มั้ยคะ?”
คนขับยื่นศีรษะมาดู “ช่วงนี้ทำมาหากินยาก นี่เป็นรถแท็กซี่ ไม่ใช่รถรับจ้างผิดกฎหมาย จะนั่งหรือไม่นั่ง? ไม่นั่งผมจะขับไปแล้ว”
เห็นได้ชัดว่าไม่ยอมถอย เจี่ยนถงล้วงกระเป๋าเสื้อคลุมที่ตัวเองใส่มาโรงพยาบาลอย่างจนปัญญา แล้วเงยหน้าขึ้น: “พี่คะ บนตัวฉันมีเงินอยู่แค่ยี่สิบหยวนค่ะ”
“พอจ่ายแล้ว ขึ้นรถเถอะ”
ถ้าเป็นไปได้เธอไม่อยากนั่งรถแท็กซี่หรอก เพราะมันแพงเกินไป แต่วันนี้ เธอคิดว่าบางทีอาจจะสามารถลืมความตกอับของตัวเอง บางทีอาจจะนั่งแท็กซี่ด้วยความฟุ่มเฟือยหน่อย
เหมือนกับว่าแค่นั่งรถแท็กซี่หน่อย เสมือนว่าเธอก็จะสามารถเหมือนคนปกติตามท้องถนนจริงๆอย่างนั้น มีศักดิ์ศรีเหมือนคนปกติ
เธอเจี่ยนถง กำลังพยายามสุดความสามารถในการให้ตัวเองดูแล้วเหมือนคนๆหนึ่ง คนธรรมดาคนหนึ่ง ที่เธอปรารถนาคือ คนธรรมดาที่สามารถได้รับเกียรติจากคนอื่น
ใช่ ในใจเธอยังปรารถนาอีกเช่นเคย แต่เธอ จะไม่ไปขอร้องให้คนอื่นให้อีกต่อไป
ของที่คนอื่นไม่ยอมให้ ถึงขอร้องยังไงก็ไม่ได้มาหรอก
ถ้าอย่างนั้น เธอจะพยายามทำตัวและใช้ชีวิตให้ดูแล้วเหมือน“คน”
——————-