บทที่65 การตัดสินใจของเขา
ความเร็วตลอดทั้งทางนั้น เสิ่นยีรู้สึกว่า ความเร็วของบอสของตัวเอง มันเร็วซะเหมือนมีความบ้าคลั่งอยู่
ทั้งหมดจอดลงที่ตงหวง
“ บอสครับ……” เขาเพิ่งจะเรียกขึ้น บอสของเขาก็เดินผ่านเขาไปอย่างรวดเร็วแล้ว ก้าวเท้าใหญ่เดินเข้าไปในล็อบบี้ของตงหวง และเดินตรงไปที่ลิฟต์โดยไม่หยุดลง
เสิ่นยีรีบตามขึ้นไป
สายตาของเสิ่นซิวจิ่นทั้งเย็นชา และไร้ความรู้สึก ก้าวขายาวด้วยความถี่ที่รวดเร็ว ราวกับบินไปข้างหน้า ข้างหน้าก็คือห้องทำงานของซูเมิ่ง ตรงหน้าเป็นประตู เขารีบเดินมาตลอดทั้งทาง และไม่กล้าเคาะประตู จากนั้นผลักประตูห้องทำงานเข้าไปอย่างแรก
ทันทีที่เงยหน้าขึ้น ก็เห็นเสิ่นซิวจิ่นที่โมโหเป็นฟืนเป็นไฟเดินมาที่ข้างโซฟา
“ ประธานเสิ่น เสี่ยวถงยังไม่ตื่นค่ะ ” ซูเมิ่งเห็นว่าเสิ่นซิวจิ่นกำลังโกรธมาก จึงรีบพูดเตือนขึ้น “ ประธานเสิ่นคะ คุณมีอะไรรอให้เจี่ยนถงตื่นแล้วค่อยพูดก็ได้ค่ะ ตอนนี้เธอก็เป็นคนไข้คนหนึ่งอยู่ ”
เสิ่นซิวจิ่นไม่แม้แต่มองไปที่ซูเมิ่ง และเสิ่นยีก็ตามมาพอดี
เสิ่นซิวจิ่นก้มลงไปอุ้มหญิงสาวที่ยังห้อยสายน้ำเกลือบนโซฟาขึ้น แล้วส่งสายตาไปที่เสิ่นยี ทันใดนั้น เสิ่นยีก็รีบไปถอดถุงน้ำเกลือที่แขวนอยู่บนราวเหล็กบนข้างบนโซฟาออก
“ ประธานเสิ่นคะ คุณจะพาเสี่ยวถงไปไหนคะ! ” ซูเมิ่งมองดูสถานการณ์แล้วมันไม่ใช่ และไม่สนว่าจะเกิดอะไร รีบวิ่งไปข้างหน้า บังประตูห้องทำงานไว้ ก่อนที่เสิ่นซิวจิ่นจะออกไป ยกมือทั้งสองข้างเป็นแนวขวาง เพื่อปิดกันทางไปของเสิ่นซิวจิ่น
ชายตรงหน้า ที่รูปร่างสูงกำยำ สันทัดและแข็งแกร่ง และใบหน้าตอนนั้นที่เปี่ยมไปด้วยความสง่า แต่ประทับไปด้วยความเย็นชา ถูกซูเมิ่งหยุดไว้ เสิ่นซิวจิ่นเหลือบไปมองซูเมิ่ง
หัวใจของซูเมิ่งเต้นตึกตัก ไม่ต้องพูดเลยว่าเธอกลัวมากแค่ไหน โดนเฉพาะสายตาของเสิ่นซิวจิ่น ก็ทำให้เธอวู่วามใจแล้ว “ ประธานเสิ่นคะ…… ” เธอพูดขึ้น แล้วมองไปที่เจี่ยนถง แล้วกัดฟันพูด
เมื่อซูเมิ่งนึกถึงสิ่งที่เจี่ยนถงต้องทนทุกข์ทรมานในวันนี้……เธอยอมรับเลยว่า เธอไม่ควรยุ่งเรื่องพวกนี้ แต่ว่า……แต่ว่าถ้าเธอไม่สนเด็กบื้อคนนี้ละก็ เด็กบื้อคนนี้ก็คงต้องใช้ชีวิตในความมืดมิดแบบนั้นโดนไม่เห็นเดือนไม่เห็นตะวัน และจะไม่สามารถออกมาได้จริงๆ!
“ ประธานเสิ่นคะ ตอนนี้คุณพาเธอไปไม่ได้ค่ะ ”
ซูเมิ่งทำหัวแข็งข้อพูดขึ้น พระเจ้ารู้ดีว่าตอนนี้ด้านหลังเสื้อของเธอนั้นได้เปียกโชกไปหมดแล้ว
“ ซูเมิ่ง คุณรีบหลบไป บอสไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อกี้หรอก ” เสิ่นยีส่งสายตาเล็กน้อย และพูดกับซูเมิ่งในทันที
ซูเมิ่งไม่รู้ว่าเสิ่นยีกำลังสื่ออะไรให้ตัวเอง แต่ว่า……เธอกำหมัดขึ้นแน่น “ ร่างกายของเสี่ยวถงเธอ…… ”
“ ซูเมิ่ง ผมจะพูดแค่อีกครั้ง ” สายตาที่เย็นชาของเสิ่นซิวจิ่น มองมาที่ซูเมิ่ง ริมฝีปากขยับ และเตือนขึ้นอย่างเยือกเย็น “ หลบไป ”
ในตอนนี้เขาไม่พอใจมาก ถ้าซูเมิ่งอยากตายนัก เขาก็ยินดีที่จะสนอง
ซูเมิ่ง ผมจะพูดแค่อีกครั้ง หลบไป ……ซูเมิ่งเห็นสายตาที่เย็นยะเยือกนั้นของเสิ่นซิวจิ่น ใจของเธอสั่นเกรงกลัว เหงื่อบนหน้าผากไหนออกมาไม่หยุด และมองไปที่เจี่ยนถงอีกครั้ง ในตอนนี้เอง ก็เป็นเวลานานแล้ว อย่างน้อยที่สุดซูเมิ่งก็คิดเช่นนั้นขึ้น
หลังจากนั้น เธอก็ลดหัวลง และเดินไปข้างๆอย่างเงียบๆ……ขอโทษนะ เสี่ยวถง
เธอเองก็กลัวเสิ่นซิวจิ่นเหมือนกัน ผู้ชายคนนี้มีทั้งความสามารถ และวิธีการ อีกทั้งยังเลือดเย็นอีกต่างหาก เธอเห็นทั้งหมดมากับตาเธอเอง
เสิ่นซิวจิ่นจะไม่ยอมอ่อนข้อให้กับลูกน้องที่ไม่เชื่อฟัง
เสิ่นซูซจิ่นพาเธอไปแล้ว เหลือเพียงซูเมิ่งคนเดียว เธอยื่นนิ่งๆอยู่ที่เดิมโดยไม่ขยับไปไหน
นานสักพัก ถึงได้เงยหน้าขึ้นมา พูดเบาๆกับอากาศที่ว่างเปล่านั้น “ เสี่ยวถง ฉันยังคงรักตัวฉันเองมากกว่า ขอโทษด้วยนะ ”
เธอเห็นใจเด็กบื้อคนนั้น เพราะว่าตัวของเด็กบื้อคนนั้น มันทำให้เห็นความบื้อของตัวเองเมื่อก่อน นั่นก็เป็นช่วงเวลาที่ตัวเองก็ไม่อยากจะนึกถึงอีก
แต่ว่า เมื่อเทียบกับความเห็นใจเด็กบื้อคนนั้น……ซูเมิ่งเธอรู้ดี ว่าตัวเองเห็นแต่ตัว ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์เป็นอยู่……เธอรักตัวเองมากกว่า
ซูเมิ่งไม่ได้ทำอะไรผิด ถ้าอยู่ในจุดที่ซูเมิ่งยืนอยู่ แม้จะรู้ว่าบอสตัวเองเป็นคนอย่างไร วันนี้เธอก็กล้าที่จะยืนหยัด และขวางทางของบอสของเธอ เพื่อขอร้องให้กับเจี่ยนถงไม่กี่คำ ……ซูเมิ่ง เคยได้พยายามแล้ว
……
ตงหวงชั้น 28 ที่จริงแล้วบ้านของเสิ่นซิวจิ่นไม่ได้อยู่ที่นี่ เป็นแค่ที่พักชั่วคราวของเขา
เสิ่นยีเงียบตลอดทั้งทาง ราวกับเงาเงาหนึ่ง เขาเดินตามชายตรงหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธมาตลอดทั้งทาง ในมือของเขา ยังคงถือถุงน้ำเกลืออยู่
ติ้ง!
เสิ่นยีเดินออกมาจากลิฟต์พร้อมกับเสิ่นซิวจิ่น และมุ่งเดินไปที่ห้องนอนของชั้น 28
ไม่มีราวเหล็กชั่วคราวสำหรับถุงน้ำเกลือ หลังจากที่วางผู้หญิงในอ้อมแขนลงบนเตียงหลังใหญ่ ไม่พูดอะไรแล้วหยิบถุงน้ำเกลือในมือของเสิ่ยยีขึ้น แขวนบนไม้แขวนเสื้อไปด้วย และพูดขึ้นด้วยความเย็นชาไปด้วย “ นายออกไปได้แล้ว ”
“ ……บอ ” เดิมทีเสิ่นยีจะพูดอะไรบางอย่าง กำลังจะพูดขึ้น เสียงนั้นก็หยุดลงทันที ตัวเองคิดแล้วคิดอีก ลังเลอยู่สักพัก ในที่สุดก็พูดขึ้น “ ครับบอส ”
เสิ่นซิวจิ่นไม่ได้มองผู้หญิงบนเตียง เดินไปที่หน้าต่างที่สูงจากพื้นจรดเพดาน นั่งลงบนโซฟาข้างหน้าต่างที่สูงจากพื้นจรดเพดานนั้น
เขาอยากจะเขย่าให้ผู้หญิงบนเตียงนั้นตื่นมาเดี๋ยวนั้นเลย เพื่อจะถามว่า เธอกับเซียวเหิงมันอะไรกันแน่
จากนั้น ก็ยังคงระงับแรงกระตุ้นนั้นลงได้
เขานั่งบนโซฟา ที่ทำมาจากหนังลูกวัวอยู่ริมหน้าต่าง ศอกวางลงบนพนักแขนของโซฟา มืออีกข้างหนึ่งกุมขมับ แล้วมองไปที่เตียงหลังใหญ่นั้นอย่างเงียบๆ
ด้านนอก เกิดพายุฝนฟ้าคะนองขึ้นอย่างกะทันหัน
ฟ้าผ่าและฟ้าร้องต่างเกี่ยวพันกันมา
ภายใต้เสียงที่ดังสนั่นนั้น ผู้หญิงบนเตียงยังคงนิ่งเงียบราวกับร่างที่ไร้วิญญาณอย่างไงอย่างนั้น
ภายในห้องนอน ไม่ได้เปิดไฟดวงใหญ่ เปิดเพียงโคมไฟบนหัวเตียง ที่สามารถส่องเห็นถุงน้ำเกลือว่ายังมีน้ำเกลืออยู่ไหมได้อย่างชัดเจน โคมไฟบนหัวเตียง ก็ไม่สามารถส่องสว่างได้เท่ากับไฟดวงใหญ่ มันส่องสว่างไม่ถึงหน้าต่างที่สูงจรดเพดานด้านนี้
ภายใต้หน้าต่าง แผ่นฟ้าสลัว แสงจากฟ้าแลบ ด้านหลังหน้าต่างและชายคนนั้น ฟ้าผ่ากลางอากาศ แสงสีฟ้าจากสายฟ้าฟาด ทันใดนั้นหน้าต่างก็ส่องสว่างขึ้นมาทันที ภายใต้แสงสีฟ้าเลือนรางนั้น ใบหน้าอันสง่างามของเขา ก็เปล่งแสงความหล่อเหลาขึ้น และเย็นชามากขึ้น
“ อื้ม~ ” อยู่ๆคนบนเตียงก็ส่งเสียงครวญครางขึ้นอย่างเจ็บปวด ชายบนโซฟายังคงนั่งนิ่งไหวขยับ
“ ซี๊ด~ ” น้ำเสียงเจ็บปวดกว่าเดิม
ชายบนโซฟากัดกระดูกขากรรไกรแน่น แต่ยังคงไม่ขยับ
“ โอะ……โอ๊ย…. โอ๊ยๆๆๆ…… ” เสียงนั้นเจ็บปวดมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งๆที่เธอนอนอยู่บนเตียง และค่อยๆขดตัว และกอดตัวเองไว้
ทันใดนั้นเอง!
เขาขยับตัวแล้ว!
เสิ่นซิวจิ่นลุกขึ้นยืนทันที สายตาอันเย็นชา ภายใต้ความรู้สึกที่ไร้อารมณ์ ทีละก้าว ทีละก้าว……ตึกๆๆ เดินมาที่ข้างเตียง
เขายื่นแขนออกมาอย่างช้าๆ ฝ่ามือเรียวยาวโน้มเขาไปแตะใบหน้าของคนป่วยคนเตียง
ทันใดนั้น!
นิ้วทั้งห้า ยื่นออกมาล็อกคอคนบนเตียง!
“ ถ้าวันหนึ่ง บนโลกนี้มีใครคนหนึ่งที่สามารถรบกวนอารมณ์ผมได้ ” เสิ่นซิวจิ่นในวัยรุ่นเคยพูดไว้กับไป๋ยู่สิงเอง “ ผมจะเป็นคนทำรู้ความรู้จักกับเธอเอง ”