ซูเมิ่งเผชิญหน้ากับเสิ่นซิวจิ่น รู้สึกประหม่ามาก “ประธานเสิ่น ฉันรู้สึกว่าเจี่ยนถงน่าสงสารมากนะ”
เธอกำลังอธิบาย ว่าทำไมถึงช่วยเจี่ยนถงปิดบังที่มาของเงินกับชายหนุ่มตรงหน้า
เสิ่นซิวจิ่นตอนนี้ก็ไม่ได้อารมณ์ดีมากนัก
สิ่งที่หญิงสาวพูดในตอนสุดท้ายนั้น ยังดังก้องอยู่ในหู ไม่หายไปเสียที ตอนนี้ได้ยินซูเมิ่งพูดบางอย่าง
“เจี่ยนถงน่าสงสาร” เช่นนี้ ทำให้ปากบางเผยรอยยิ้มที่เย็นชาขึ้นมา
“ซูเมิ่ง ลูกน้องฉันไม่มีใครเป็นคนดีหรอกนะ”
ผู้หญิงคนนั้นน่าสงสาร?… ยังด่าว่าคนที่ตายไปแล้วเนี่ยนะ?
คนแบบนี้เหรอ ที่น่าสงสาร?
เขาโกรธมาก จนพูดไม่ออก!
จนตอนที่พบว่าเธอน่าสงสาร ก็ยังไม่โกรธเท่าตอนนี้!
เจี่ยนถงในหัวของเขา เย่อหยิ่งจองหอง ยกตนเหนือใคร เธอไม่มีทางไปด่าว่าหรือเหยียดหยามคนที่ตายไปแล้วอย่างแน่นอน!
แต่ตอนนี้ ทำให้เขาได้เข้าใจแล้ว… ความโกรธที่ไม่มีที่มา และความผิดหวังที่บอกไม่ถูกนี้ เขาไม่เข้าใจ ว่ากำลังผิดหวังกับอะไร!
หน้าผากของซูเมิ่งเหงื่อไหลออกมาเม็ดโต ชายหนุ่มตรงหน้าเธอ คำพูดของผู้ชายตรงหน้านี้ สามารถตัดสินความเป็นตายของเธอได้
แต่… แต่ไม่รู้สึกเสียดาย!
“ประธานเสิ่น ฉันทำผิดต่อคำสั่งของคุณ เป็นความผิดของฉัน ฉันยอมรับโทษ” ซูเมิ่งพูดขึ้นด้วยความแน่วแน่
ผ่านไปชั่วครู่ แววตาของเสิ่นซิวจิ่นมีความสั่นเทาเล็กน้อย เห็นภาพของเจี่ยนถงในความทรงจำ ที่กล้ายอมรับในแบบเดียวกัน ที่เวลาเผชิญหน้าเขา จะมีแต่ความกล้าหาญแน่วแน่ อย่างเดียวกัน… ไม่เสียดาย!
“พรุ่งนี้เช้า ไปที่ห้องสารภาพบาป รับบทลงโทษ” เสียงที่เย็นชาเมื่อพูดจบรู้สึกราวกับเหล็กแหลม ขายาวๆนั้นค่อยๆลุกขึ้น เดินออกไปด้านนอก
เหลือเพียงซูเมิ่งที่ร่างกายอ่อนยวบ หลังพิงกับผนังสีขาว ผ่านไปเนิ่นนาน แล้วถอนหายใจออกมา
หลังจากถอนหายใจ ก็ยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่หน้าผากของตนเอง… เสิ่นซิวจิ่นให้เธอไปรับบทลงโทษที่ห้องสารภาพบาป คงจะเป็นเรื่องที่ดี
แล้วคิดกลับมาอีกที เจี่ยนถงจะเป็นอย่างไรบ้างนะ?
เมื่อคิดเช่นนั้น ซูเมิ่งเดินไปยังห้องผู้ป่วยของเจี่ยนถงอย่างไม่ลังเล
เมื่อมาถึงหน้าห้องผู้ป่วย ซูเมิ่งกำลังจะยกมือเคาะประตู แต่ก็หยุดลงกลางอากาศ เธอเงี่ยหูฟังเสียงดังคำรามนั้น ไม่ใช่หูฝาดไปแน่ๆ
อีกฝั่งของประตูนั่น เสียงคำรามราวกับสัตว์ตัวเล็กกำลังร้อง เหมือนเสียงที่พยายามสะกดเอาไว้ ไม่น่าฟังเลย… ใช่แล้ว นั่นคือเสียงของยัยซื่อบื้อ
อดกลั้น ทรมาน ราวกับสัตว์ตัวน้อยที่ได้รับบาดเจ็บ ไม่กล้าร้องออกมา
ซูเมิ่งไม่ก้าวเข้าไป เธอยืนนิ่งราวกับรูปปั้น อยู่ที่หน้าห้องผู้ป่วยของเจี่ยนถงอยู่นาน
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ในห้องผู้ป่วยนั้น เสียงร้องของเธอนั้น ค่อยๆเงียบไป ซูเมิ่งยิ่งตั้งใจฟังยิ่งขึ้น จนมั่นใจ ว่าในห้องไม่มีเสียงอะไรแล้วจริงๆ
เธอไม่รีบร้อนที่จะเข้าไป ยังยืนนิ่งอยู่ที่หน้าประตู รอจนได้เวลา แล้วจึงยกมือขึ้นเคาะประตู
เปิดประตูเข้าไป
มองไปยังคนที่นอนอยู่บนเตียง และเป็นจังหวะที่เธอมองมายังเธอพอดี
ทั้งสองสบตากัน เรียวหน้าของซูเมิ่งยิ้มหวานขึ้นมา “เสี่ยวถง เป็นยังไงบ้าง?”
“อืม ไม่เป็นอะไรแล้ว” คนที่อยู่ไม่บนเตียงไม่แสดงท่าทางเจ็บปวดเหมือนดั่งเมื่อครู่ เธอพูดต่อเบาๆ “คุณหมอบอกว่า ฉันโชคดีมาก”
ท่าทางสงบนิ่ง ทำให้ซูเมิ่งรู้สึกปวดใจ ถ้าหากก่อนหน้านี้ ไม่ได้ยินเสียงที่เธอโอดร้องเองกับหู คงจะเชื่อคำที่เธอพูด
ซูเมิ่งมองเจี่ยนถงด้วยแววตาลุ่มลึก แล้วเธอก็ยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง เดินไปทางเจี่ยนถง ลากเก้าอี้มานั่งข้างๆเตียง แล้วยื่นมือไม่วางไว้ที่หลังมือของเจี่ยนถง “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว รักษาอาการให้ดี ครั้งนี้หัวเข่าเธอบาดเจ็บไม่น้อยเลย”
ซูเมิ่งอยากจะจับเจี่ยนถงมาเขย่าไหล่แล้วถามเธอ ว่าทำไมเธอไม่ร้องออกมา! ทำไม ทำไมเธอไม่พูดออกมา! ทำไมเธอต้องทำเหมือนไม่เป็นไร!
เธอไม่เป็นอะไรจริงๆเหรอ? แล้วทำไมตอนที่ไม่มีคนอยู่ เธอต้องร้องโอดครวญออกมาแบบนั้น! ในเสียงนั้นทำไมเหมือนกับเธอพยายามสะกดความเจ็บปวดเอาไว้!
ทั้งๆที่คนที่บาดเจ็บคือเจี่ยนถง แต่คนที่มือไม้สั่นคือซูเมิ่ง
ซูเมิ่งราวกับเห็นตัวเองในสมัยก่อนในตัวของเจี่ยนถง… อดีตที่ควรตายไปแล้ว เธออยากจะลืม แต่ว่าตอนนี้ เพราะเจี่ยนถง ทำให้เธอจำมันได้ชัดเจน!
“หิวไหม?” ผ่านไปสักพัก ซูเมิ่งพยายามสะกดอารมณ์ของตัวเอง แล้วถามเจี่ยนถงด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “อยากกินอะไร? ฉันจะไปซื้อมาให้”
พูดพลางลุกขึ้นเตรียมจะเดิน ทันใดนั้น มือก็ถูกคว้าเอาไว้จากคนที่อยู่บนเตียง แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “พี่เมิ่ง” ซูเมิ่งไม่ได้หันกลับไปมอง
เสียงแหบพร่าจากด้านหลังดังขึ้นอีกครั้ง “…ฉันขอ ยืมไหล่หน่อย ได้ไหม?”
ซูเมิ่งใจแกว่ง น้ำตารื้นขึ้นมาที่ขอบตา… เธอไม่ตอบรับ แต่หันกลับไป แล้วใช้แขนข้างหนึ่งโอบเอวของเธอเอาไว้ แล้วเธอก็เอาหัวมาซุกที่อ้อมกอดของเธอ
สัมผัสได้ชัดเจน ว่าหัวที่ซบอยู่ในอ้อมกอดเธอนั้น กำลังสั่นเทา ซูเมิ่งมองไม่เห็นอารมณ์ของเจี่ยนถง แต่เธอพอจะเดาออก ว่ายังซื่อบื้อนี้กำลังแอบร้องไห้อยู่
ถอนหายใจออกมา… เรื่องพวกนี้ก็ดี
คนหนึ่งร้องไห้ไม่เป็น ร้องไห้ออกมาได้เสียที
“เสี่ยวถง เธอยังจำได้ไหม ที่ฉันเคยบอก ว่าฉันซูเมิ่งเคยใช้ชีวิตคลุกคลีมาในเมือง S ผ่านเรื่องแย่ๆมาเยอะ แต่ปฏิบัติต่อเธอเป็นพิเศษ ไม่ใช่เพราะว่าฉันจิตใจดี ตัวฉันเองไม่ใช่คนดีอะไรมากนัก แต่ฉันยังปฏิบัติต่อเธออย่างคนอยู่
ตอนเด็ก เมื่อก่อน ฉันรู้สึกว่าเธอเหมือนกับฉันในตอนแรกมาก
แต่ว่าตอนนี้ ฉันพบว่า พวกเราไม่เหมือนกันเลย
ฉันเพิ่งรู้ ว่าเธอเป็นคุณหนูไฮโซ เป็นคุณหนูคนโตของตระกูลเจี่ยนแห่งเมือง S
แต่ฉัน เป็นเพียงเด็กที่เกิดมาในครอบครัวที่ยากจน
ฉันเคยลำบากมาก่อน ลำบากตั้งแต่เล็ก ดังนั้น เรื่องที่เกิดขึ้นในภายหลังนี้ ฉันยังคงยืนหยัดได้ ยังดีที่ตอนเด็กๆลำบากมาเยอะ
แต่เธอแตกต่าง ตั้งแต่เล็กจนโตเธอไม่เคยขาดอะไรเลย การผ่านการดูถูกเหยียดหยามเหล่านี้ เธอยังคงเป็นเธอที่เย่อหยิ่งสง่างามได้นั้น เจี่ยนถงเธอแข็งแกร่งกว่าฉันมาก”
ความยากลำบากในวัยเด็กที่ผ่านมา จนได้ตั้งตัวขึ้นมาใหม่ กับเด็กที่โตมากับการถ่ายข้างทางกลับถูกทำร้ายจิตใจอย่างรุนแรง ยังคงใช้ชีวิตได้ดี… เมื่อเทียบกันนั้น เจี่ยนถงยังคงแข็งแกร่งกว่าต้นหญ้าพวกนั้น
ยากที่คาดฝัน ทายาทบริษัทใหญ่ และคุณหนูไฮโซ กลับอ่อนแอราวกับต้นหญ้า
“พี่เมิ่ง” เจี่ยนถงไม่ได้เงยหน้า ยังคงอยู่ในอ้อมกอดของซูเมิ่ง จากนั้นค่อยๆพูดขึ้นมา “พี่เมิ่ง พวกเขาบอกว่าฉันฆ่าคน เพราะว่าอิจฉา ตั้งใจวางแผนจะฆ่าเซี่ยเวยเหมิง ผู้หญิงที่ประธานเสิ่นรักที่สุด เพื่อนรักที่สุดของฉัน”
“ฉันไม่เชื่อ ว่าเธอจะไปทำเรื่องเช่นนี้”
ซูเมิ่งตอบรับเบาๆ
เจี่ยนถงที่ซุกอยู่ในอ้อมกอดของซูเมิ่งเจี่ยนถง น้ำตาร่วงออกมามากมายอย่างไม่รู้สาเหตุ
เสิ่นซิวจิ่น… เป็นฉันเองที่ตาฟางใจบอด!คนคนหนึ่งที่เพิ่งรู้จักได้เพียงครึ่งปี ยังเข้าใจฉันดีกว่าเธอ!