หลังจากการต่อสู้ดิ้นรนอย่างหนักกับการปรับพลังของตัวเอง ก็ผ่านไปหนึ่งปี
ยินดีด้วย แมรี่ เรกาเลีย อายุครบ 7 ปี แล้วค่า
ฉันเองก็ก้าวเข้าสู่การเป็น เลดี้? แล้ว และตอนนี้ก็ใช้เวทมนต์ที่จำเป็นสำหรับการใช้ชีวิตประจำวันได้อีกด้วย เอะเฮ๊ง♪
แล้วก็ จะขออธิบายเกี่ยวกับ การใช้เวทมนต์ของโลกนี้กันเลย
ในโลกนี้นั้นไม่มากก็น้อย ทุกๆคนจะมีพลังเวทเป็นของตัวเองอยู่
ถึงจะเป็นอย่างนั้น แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะสามารถเป็นนักเวทเหมือนในเกม RPG ได้
พลังเวท กับ เวทมนต์ นั้นเป็นคนละอย่างกัน ถึงจะมีพลังเวทอยู่แต่ถ้าไม่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับเวทมนต์เลยก็ไม่สามารถใช้ได้ และการที่จะได้เรียนนั้นจำเป็นจะต้องใช้เงินอีกด้วยเลยทำให้คนที่ใช้ได้นั้นส่วนใหญ่จะเป็นเหล่าขุนนางมากกว่าสามัญชนคนธรรมดา
แล้วก็ที่ฉันใช้ได้นั้นก็เป็นแค่เวทมนต์ที่ใช้ทั่วๆไปในชีวิตประจำวัน [เวทมนต์ทั่วไป] เช่น เวทที่ใช้จุดไฟกับอุปกรณ์ให้แสงสว่างที่สามารถ เปิด/ปิด ได้ หรือใช้ จุดเตาไฟเพื่อทำอาหาร เป็นต้น
เวททั่วไปนี้ ในเชิงทฤษฏีแล้วเป็นเวทที่ใครๆก็สามารถใช้ได้หากได้เรียน เพราะฉะนั้นคนที่ใช้เวทนี้ได้ เราจะเรียกรวมๆว่า [เวทมนต์ระดับ 1]
ในโลกนี้นั้นมี เวทมนต์อยู่ด้วยกันทั้งหมด 8 ระดับ เวทมนต์ระดับระดับ 2 นั้นก็คือ เวทมนต์โจมตีที่เราเห็นกันบ่อยๆในเกม RPG นั่นแหละ
ยกตัวอย่างง่ายๆด้วยเวท [ไฟ] ละกัน แค่สามารถจุด [ไฟ] ได้ คือระดับ 1 สามารถใช้ [ไฟ] โจมตีได้ คือระดับ 2 สามารถใช้ [ไฟ] โจมตีได้รุนแรงขึ้น นั่นคือ ระดับ 3 สามารถพัฒนาจาก [ไฟ] เป็น [เปลวเพลิง] ได้ นั่นคือระดับ 4 ใช้ได้รุนแรงกว่าเดิมคือระดับ 5 พัฒนา [เปลวเพลิง] เป็น [ระเบิด] คือระดับ 6 ใช้ได้รุนแรงขึ้น คือระดับ 7
และนั่นคือการยกตัวอย่างคร่าวๆ จากสิ่งที่ฉันได้เรียนรู้มาจากครูสอนพิเศษ ผสมกับความรู้จากเกม RPG…..ถูกครูชมด้วยว่าเรียนรู้ได้ไว
เอ๊ะ? แล้วเวทมนต์ระดับที่ 8 ล่ะ?
ดูเหมือนว่ายังไม่เคยมีใครไปถึงจุดนั้นเลยสักคนน่ะ เหมือนจะรู้ว่ามันมีอยู่แต่ว่าไม่มีใครสามารถใช้มันได้ก็เลยยังคงเป็นเวทมนต์ระดับตำนาน ที่ยังไม่สามารถอธิบายได้ต่อไป
หรือก็คือ ระดับ 1 นั้น คนทั่วไปก็สามารถใช้ได้ ระดับ 2-3 นั้นจะเป็นนักผจญภัย กับ นักเวท แล้วก็นอกจากคนแล้วพวก มอนสเตอร์ ก็สามารถใช้ระดับนี้ได้เช่นกัน ระดับ 4-5 นั้นก็คือพวก ผู้กล้า วีรชน ผู้ใช้เวทมนต์อันยิ่งใหญ่ หรือที่โผล่มาเป็นตัวละครในนิทานทั้ง มนุษย์ ปีศาจ ภูติ หรือกระทั่ง ทูตสวรรค์ ก็ถูกจัดอยู่ในระดับนี้ทั้งสิ้น
ส่วนระดับที่สูงกว่านี้นั้นดูเหมือนว่าจะไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถที่จะใช้มันได้แล้ว ระดับ 6-7 นั้นจะเป็นพวก มังกร กับ เทพ และ จอมมาร หรือก็คือพวกที่มีตัวตนเกินกว่าสามัญสำนึกของมนุษย์ไปแล้ว
(อื้มมม แฟนตาซีนี่เนอะ♪ ชักจะตื่นเต้นซะแล้ว♪)
เอาล่ะกลับเข้าเรือง ณ ตอนนี้กันดีกว่า
ตอนนี้ฉันได้ให้ทุตเต้ช่วยสวมชุดเดรสให้อยู่ ไม่ใช่ชุดเดรสที่ใส่ตามปกติ แต่เป็น ชุดเดรสหรูหราที่ใส่ออกงาน
(อืม ชุดเดรสนี่ท่าทางจะแพงน่าดูเลยแหะ ถ้าเป็นตัวฉันในตอนนี้ล่ะก็อาจจะเผลอทำขาดก็ได้เลยนะเนี่ย….อ๋าาา ถ้าขืนยังเป็นแบบนี้อยู่ล่ะก็ ฉันอาจจะกลายเป็นเด็กไม่ได้เรืองที่พอขาดทุตเต้ไปก็ทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่างก็ได้)
พอได้เห็นทุตเต้ที่ช่วยสวมชุดให้อย่างชำนาญแล้วมองเปรียบเทียบกับตัวเองที่ทำอะไรไม่ได้ก็เลยรู้สึกเศร้านิดๆ
(อืมอื้ม ต่อจากนี้ก็จะได้เข้าร่วมพิธีพยากรณ์แล้ว เพราะงั้นอาจจะทำให้ฉันได้แนวทางการใช้ชีวิตต่อจากนี้…ก็ได้….มั้ง?)
อยู่ๆก็เริ่มรู้สึกไม่มั่นใจซะงั้นจนช่วงท้ายๆดันกลายเป็นประโยคคำถามอีก ไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องคิดมาก
พ่อบ้าน : [ขอเสียมารยาทครับ คุณหนูครับ เตรียมรถม้าเรียบร้อยแล้วครับ]
ขณะที่สวมชุดเดรสเสร็จแล้วและทุตเต้กำลังสวมเครืองประดับให้ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นและพ่อบ้านก็เข้ามาข้างใน
แมรี่ : [เข้าใจแล้วค่ะ]
เนืองจากทุตเต้กำลังทำผมให้อยู่ ฉันเลยตอบเขากับไปโดยที่ไม่ได้หันไปมอง ถึงจะเป็นแบบนั้นเขาก็คำนับให้ และออกจากห้องไป
แมรี่ : [ใกล้แล้วสินะ…]
ฉันหายใจเข้าลึกๆ และมองตัวเองที่ถูกสะท้อนผ่านกระจก
เส้นผมสีขาวส่องประกายถูกถักเป็นเปียสองข้างและรวบไปด้านหลังเป็นทรงรวบครึ่งหัวและผูกกันอีกครั้งนึง ส่วนผมด้านหน้าใช้ที่ประดับผมจัดไว้เพื่อไม่ให้เกะกะตา ผ้าไหมสีขาวของชุดเดรสลูกไม้มีจีบนั้นขาวไม่แพ้ผิวสีขาวของฉันเลย เป็นชุดที่ตัดออกมาได้สวยมาก
(ใกล้แล้วสินะ วันนี้ ที่ฉันจะได้เจอกับเด็กรุ่นราวคราวเดียวกัน! หวา ประหม่าจัง)
ในชีวิตที่แล้วที่ฉันไม่ได้พบเจอกับเด็กรุ่นเดียวกัน แต่ว่าวันนี้ ที่จะมารวมตัวกัน ณ พิธีพายากรณ์ วันนี้จะเป็นการรวมตัวกันของเหล่าขุนนาง ถึงจะไม่ใช่ทุกคน แต่ก็คงจะมีจำนวนไม่น้อย สำหรับฉันแล้วสนใจเรืองนั้นมากกว่าเรืองพายากรณ์ซะอีก แต่ว่าก็ยังกังวลอยู่เหมือนกัน
(ขอให้ผ่านพ้นไป โดยที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นด้วยเถอะค่ะ)
หลังจากปักธงไม่เข้าเรือง ทุตเต้ก็พาฉันไปยังรถม้าที่รออยู่ตรงหน้าประตูคฤหาสน์
…………………………………………………………………………………………………….
ณ ทางเหนือของอาณาจักร มีเนินเขาเล็กๆอยู่และที่นั้นคือสถานที่ที่วิหารตั้งอยู่ ลักษณะของวิหารนั้น ถ้าจะบอกว่าเป็นที่อยู่อาศัยเลยล่ะก็ บอกว่ามันเป็นงานศิลปะจะเหมาะซะกว่า ฉันที่มองเห็นสถานที่นั้นผ่านจากหน้าต่างของรถม้าทำให้หัวใจของฉันก็เริ่มเต้นโครมคราม
(แบบนี้มัน ความรู้สึกเดียวกับตอนไปโรงเรียนครั้งแรกเลยนี่นา ก็นะ ถึงจะไม่เคยไปก็เถอะ)
การที่จะได้พบกับผู้คนมากมายที่ตัวเองไม่รู้จัก ทำให้เกิดทั้งความประหม่าและกังวลผสมกันจนไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ขณะที่กำลังพยายามกดความรู้สึกนั้นเอาไว้ รถม้าที่ฉันนั่งมาก็ได้หยุดลง
(ได้เวลาแล้วสินะ! ที่ตัวฉัน จะได้เดบิวต์!)
ทุตเต้ : [ถึงแล้วค่ะ คุณหนู]
ทุตเต้เปิดประตูรถม้า และออกไปข้างนอกก่อน เพื่อเตรียมบันไดลงรถม้า เมื่อเธอบอกว่าพร้อมแล้ว ฉันจึงมองทุตเต้ที่คอยอยู่ข้างๆ หัวใจของฉันเต้นระรัวขณะกำลังสงบจิตใจ ก็คอยๆมุ่งหน้าไปที่ประตูด้วย
ทันทีที่ออกมาข้างนอก ก็มีเสียงเอะอะนิดหน่อยดังขึ้นพร้อมกับ เหล่าเด็กๆรุ่นราวคราวเดียวกันกับฉัน และเหล่าผู้ติดตาม ที่ดูเหมือนว่ากำลังส่งสายตามารวมกัน…ที่ฉัน ที่บอกว่าดูเหมือน ก็เพราะว่าฉันไม่ได้หันไปมองเพื่อยืนยันสายตาเหล่านั้น แต่กลับกำลังก้มหน้าหลบสายตาเหล่านั้นต่างหากล่ะ
(ฮืออ ตัวฉันนี่มันบ้า! บ้าจริงๆ ตัวฉันน่ะเป็นถึงบุตรีของดยุคเลยนะ! ต้องทำตัวให้ดูสง่างามเหมือนกับใน หนังสือ หรือ อนิเม สิ!)
ถึงจะคิดแบบนั้นก็เถอะ แต่ว่าด้วยความอายจนป่านนี้ก็ยังไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา และลงรถม้าด้วยสภาพแบบนั้น ราวกับนัดกันไว้ ฉันก้าวขาพลาดที่บันไดขั้นสุดท้าย
(แย่แล้วววว ! ถ้าเกิดฝืนเหยียบลงไปล่ะก็ พื้นได้เป็นรูแน่ๆเลยยยย ! ต้องผ่อนแรงลง ! แต่ถ้าผ่อนมากไปล่ะก็ล้มแน่ๆ ! จะทำยังไงดี ! )
ขณะที่กำลังล้มไปด้านหน้าทุตเต้ก็จับมือฉัน และเข้ามารับฉันไว้อย่างรวดเร็ว
แมรี่ : [ข..ขอบคุณนะ…]
เมื่อพูดขอบคุณเธอด้วยเสียงเบาๆ ทุตเต้ก็ทำหน้าโล่งใจและพยุงฉันต่อทั้งๆอย่างนั้น ฉันจึงเริ่มเดินอีกครั้งนึง
(เฮ้อ จะถูกคิดว่าเป็นเด็กซุ่มซ่ามหรือป่าวน๊า….อูววว)
ตัวฉันที่กำลังรู้สึกผิดหวังและห่อเหี่ยวนั้น แต่ถ้ามองจากมุมมองของคนอื่นล่ะก็[ช่างเป็นคนที่ดูบอบบาง จนรู้สึกอยากจะเข้าไปปกป้องจังเลย] กลายเป็นพูดเรืองทำนองนี้ออกมาเรือยๆเลยแต่ว่า ตัวฉันที่กำลังห่อเหี่ยวอยู่นั้น ไม่ได้รู้สึกตัวถึงเรืองนี้เลยสักนิด ทุตเต้จึงจูงมือฉันที่เดินอย่างกล้าๆกลัวๆเข้าไปภายในพิธีพยากรณ์