Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร – ตอนที่ 809 -810

บทที่ 809 : พบหน่วยเทพอินทรีย์อีกครั้ง!
“นี่มัน..เจ้าสามารถทำให้ทุกคนได้รับบาดเจ็บจนหมดเช่นนี้ ย่อมหมายความว่าเจ้าแข็งแกร่งกว่าพวกเขามากนัก!”
เวลานี้ยอดฝีมือทั้งหมดที่พุ่งเข้าจู่โจมหลิงหยุนนั้นผู้ที่ได้รับบาดเจ็บน้อยที่สุดก็แค่แขนหัก ข้อต่อแตก และกำลังนอนสั่นเทิ้มอยู่ที่พื้นไม่สามารถขยับเขยื้อนไปใหนได้!
ในช่วงกลางวันแสกๆใกล้ใจกลางเมืองเช่นนี้ แต่มีผู้บาดเจ็บนอนกองอยู่กับพื้นมากมายเต็มไปหมด และยังไม่รู้ว่าจากนี้ไปจะจัดการอย่างไรต่อไป..
สำหรับหลิงหยุนที่ตัดสินใจเปิดเผยตัวตนแล้วจึงต่อสู้กับยอดฝีมืออย่างไม่คิดที่จะปิดบังฝีมืออีก หลิงหยุนไม่สนใจว่าศัตรูของเขาจะเป็นเพียงแค่คนธรรมดาไร้วรยุทธหรือไม่ เพราะหากกล้าเป็นศัตรูกับเขาแล้ว เขาก็ไม่คิดที่จะปราณีเช่นกัน..
หากคุณกำลังจะถูกใครสักคนฆ่า..คุณยังต้องการพูดคุยเจรจาเรื่องผิดถูกอีกอย่างนั้นหรือ นั่นไม่ยิ่งเป็นการสร้างความลำบากยุ่งยากให้กับตนเองหรอกหรือ?
และหากหลิงหยุนต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่เหนือกว่ามากเขาก็จะพยายามหาหนทางต่อสู้อย่างสุดความสามารถ และหากสู้ไม่ได้จริงๆ หลิงหยุนยอมที่จะวิ่งหนีไปอย่างไร้ยางอายเสียดีกว่า เขาจะไม่ยอมทำตัวโง่ๆ ด้วยการยกเอาฝีมือที่ด้อยกว่าขึ้นมาเป็นข้ออ้าง เพื่อให้อีกฝ่ายหยุดข่มเหงรังแก..
แข็งแกร่งกว่าก็คือแข็งแกร่งกว่า..ชนะก็คือชนะ.. ใครเป็นผู้กำหนดว่าผู้ที่แข็งแกร่งกว่า ไม่ควรทำร้ายผู้ที่อ่อนแอกว่า
ผู้ที่อ่อนแอกว่าย่อมเป็นเหยื่อของผู้ที่แข็งแกร่งกว่า!นี่คือกฎธรรมชาติ และหลิงหยุนก็พบเห็นมามากมายในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่
หลิงหยุนยิ้มเหยียดพร้อมกับคิดในใจว่า‘พวกเจ้าสิบกว่าคนรุมข้าเพียงคนเดียว ยังไม่สามารถเอาชนะข้าได้ ยังจะกล้าพล่ามอะไรน่าอายเช่นนี้ออกมาอีกรึ!’
“เจ้าเลิกพล่ามไร้สาระแล้วก็เข้ามาได้แล้ว!”
หลิงหยุนดื่มเหล้าเหมาไถไปหนึ่งขวดเต็มๆเวลานี้เลือดในกายของเขากำลังสูบฉีด จึงต้องการที่จะประมืออย่างมาก และยังไม่ทันพูดจบดี หลิงหยุนก็สาวเท้าเข้าไปหายอดฝีมือผู้ที่เป็นหัวหน้าทีละก้าว.. ทีละก้าว..
หลิงหยุนไม่สามารถมองเห็นขั้นกำลังภายในของอีกฝ่ายได้แต่ก็เดาว่าอีกฝ่ายคงจะเป็นยอดฝีมือที่เหนือกว่าขั้นเซียงเทียน-6 ขึ้นไป และผ่านการฝึกฝนมาอย่างหนัก เวลานี้กำลังต้องการทดสอบกำลังภายในของตนเอง
หลิงหยุนยังคงไม่เรียกกระบี่โลหิตแดนใต้กระบี่มังกรขาว และอาวุธอื่นๆออกมา เพราะมั่นใจว่าหมัดและมือเปล่าของตนเองจะสามารถเอาชนะยอดฝีมือผู้นี้ได้!
ผู้ที่เป็นหัวหน้านี้เมื่อเห็นหลิงหยุนค่อยๆก้าวเข้ามาใกล้มันก็ระมัดระวังตัวอย่างมาก และไม่กล้าที่จะประมาทอีก มันตระหนักดีว่าวิชาที่ใช้ในการเคลื่อนไหวของหลิงหยุนนั้นสูงส่งกว่าตนเองมาก มันจึงไม่คิดที่จะหนี และยังคงยืนเดินลมปราณนิ่งอยู่ในตำแหน่งเดิม!
กล้ามเนื้อตามร่างกายของมันค่อยๆขยายขึ้นจากนั้นก็ยกมือขึ้นฉีกชุดนักรบที่สวมอยู่ออกทันที เผยให้เห็นกล้ามเนื้อส่วนบนที่แข็งแกร่งราวกับเหล็ก..
และสภาพร่างกายเช่นนี้เป็นเครื่องบ่งบอกว่ายอดฝีมือผู้นี้ได้ผ่านการฝึกฝนมาอย่างหนัก และอยู่ในขั้นที่สูงอีกด้วย..
หลิงหยุนไม่รอช้า..เขาเป็นฝ่ายบุกเข้าไปก่อน และพุ่งหมัดทั้งสองข้างเข้าที่กลางอกของยอดฝีมือผู้นี้ทันที!
ฟิ้ว..ฟิ้ว..
เสียงหมัดของหลิงหยุนที่พุ่งผ่านอากาศไปนั้นเกิดเป็นเสียงดังหวีดหวิวคล้ายกับเสียงผิวปาก..
“เข้ามา..”
ยอดฝีมือผู้นั้นเดินลมปราณภายในเพื่อปกป้องร่างกายของตนเองไว้และกำลังยืนรอรับหมัดทั้งสองข้างของหลิงหยุนที่พุ่งผ่านอากาศเข้ามา!
ปัง!
ทันทีที่หมัดของหลิงหยุนพุ่งออกไปหมัดของยอดฝีมือผู้นั้นก็พุ่งออกมาปะทะไว้จนเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว..
กำปั้นของหลิงหยุนนั้นทรงพลังและแข็งแกร่งถึงขนาดที่สามารถโค่นภูเขาได้ทั้งลูกทำให้ร่างของยอดฝีมือผู้เป็นหัวหน้าถึงกับเซถอยหลัง ใบหน้าแดงก่ำพร้อมกับขบฟันแน่น และได้แต่แอบคิดเงียบๆว่า
‘หมัดที่แข็งแกร่งและทรงพลังเช่นนี้แม้แต่ข้ายังไม่อาจจะต้านทานได้ มิน่าพวกเจ้าถึงได้พ่ายแพ้ให้กับมันหมด!’
กำลังภายในของหลิงหยุนนั้นช่างน่าอัศจรรย์นักเขายังคงยื่นนิ่งไม่ขยับแม้แต่ครึ่งก้าว และไม่รอช้าที่จะจู่โจมยอดฝีมือที่เป็นหัวหน้าต่อทันที!
ปัง..ปัง.. ปัง.. ปัง..
กำปั้นของคนทั้งคู่ปะทะกันอย่างรุนแรงอีกครั้ง..
หมัดของคนทั้งคู่ปะทะกันอีกถึงสี่ครั้งในคราวเดียวด้วยแรงปะทะที่รุนแรงในครั้งนี้ ทำให้ทรายและหินก้อนเล็กก้อนน้อยที่อยู่บนพื้นถึงกับปลิวว่อนไปตามร่างที่เคลื่อนไปของทั้งคู่
ปัง..ปัง..
และสองหมัดสุดท้ายที่หลิงหยุนซัดใส่ยอดฝีมือที่เป็นหัวหน้านั้นเขาก็ใช้กำลังภายในไปถึงเก้าส่วนเลยทีเดียว
แกร๊ก..
และร่างของยอดฝีมือซึ่งเป็นหัวหน้าก็ชะงักงันไปทันที!
ใบหน้าของมันเวลานี้เต็มไปด้วยเลือดแดงฉานและแทบไม่สามารถทรงตัวต่อไปได้ ร่างสูงใหญ่หน้าตาบูดเบี้ยวค่อยๆเซถอยหลังไปอย่างช้าๆ และมีเสียงกระดูกแตกดังขึ้นตลอดเวลา
“เจ้าเตรียมตัวรับอีกสองหมัดจากข้า!”
หลิงหยุนดุดันและโหดเหี้ยมขึ้นเรื่อยๆราวกับกำลังอยู่ในสงครามเวียดนาม เขาปล่อยกำปั้นเข้าสู่ร่างของยอดฝีมืออีกสองหมัด..
แน่นอนว่าหลิงหยุนไม่ได้คิดที่จะใช้วิชาพลังมังกรแล้วก็ไม่จำเป็นต้องใช้ด้วย!
ยอดฝีมือผู้นั้นรู้ว่าครั้งนี้หลิงหยุนจะต้องใช้กำลังภายในทั้งหมดที่มีมันจึงรวบรวมกำลังที่เหลือทั้งหมดยกกำปั้นขึ้นปะทะกับหมัดของหลิงหยุน..
แต่ช่างน่าสงสารที่ครั้งนี้มันพลาด..
หมัดของหลิงหยุนที่อยู่ในระดับสูงสุดขั้นปรับร่างกาย-9นั้น เป็นหมัดที่แข็งแกร่ง และทรงพลังเกินกว่าที่ยอดฝีมือผู้นี้จะรับไหว..
แกร๊ก..แกร๊ก..
สองหมัดสุดท้ายของหลิงหยุนนั้นทำให้กระดูกนิ้วทั้งสิบของยอดฝีมือผู้นี้แตกละเอียด และร่างสูงกำยำก็เซถอยหลังไปไกลหลายเมตรก่อนจะหยุดนิ่งในที่สุด เท้าทั้งสองข้างของมันครูดไปกับพื้นจนเกิดรอยแยกลึกหลายเซนติเมตร
‘ในที่สุดลมปราณที่เจ้าใช้ปกป้องร่างกายก็ถูกหมัดของข้าดูดจนหมดสินะ!’
แทบไม่ต้องสงสัย..หลังจากการปะทะกันไปหลายหมัดนั้น หลิงหยุนก็ได้ดูดลมปราณเข้าไปในร่างได้มากมาย!
ร่างของยอดฝีมือที่เป็นหัวหน้าทรุดลงกับพื้นทันทีใบหน้าของมันมีเลือดไหลกลบอยู่เต็มไปหมด และเวลานี้เลือดจำนวนมากก็กำลังไหลออกมาทั้งทางปากและจมูกพร้อมๆกัน!
“มันจบแล้ว!”
ชายชราวัยสี่สิบแปดปีที่เฝ้าฝึกฝนวิชามาตลอดทั้งชีวิตกลับบต้องมาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ จึงรู้สึกเจ็บปวดอย่างที่ไม่อาจที่จะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ และที่สำคัญกว่านั้นคือความอัปยศจากการพ่ายแพ้ในครั้งนี้!
หลิงหยุนเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่เพิ่งจะอายุสิบแปดปีซึ่งอายุน้อยกว่ายอดฝีมือผู้นี้ถึงสามสิบปี แต่กลับสามารถเอาชนะเขาได้ไม่ยาก
ท่ามกลางความตระหนกตกใจของผู้คนหลิงหยุนยืนนิ่ง แขนทั้งสองแนบอยู่ข้างลำตัว มือทำสองข้างกำหมัดแน่น และค่อยๆสูดลมหายใจเข้าทางปาก เพื่อปรับลมปราณภายในร่างกายที่กำลังหมุนอย่างบ้าคลั่ง..
หลิงหยุนยืนมองชายชราด้วยความรู้สึกสงสารเพราะตั้งแต่เริ่มต่อสู้กันมาอย่างดุเดือดจนถึงตอนนี้ หลิงหยุนยังไม่รู้จักชื่อแซ่ของเขาเลยด้วยซ้ำไป
“เจ้าคงต้องตำหนิตนเองที่ทำงานให้ผิดคนในเมื่อเจ้ามาพบกับข้าในฐานะยอดฝีมือของตระกูลเฉิน นี่จึงเป็นผลลัพธ์ที่เจ้าต้องได้รับ!”
และการที่อีกฝ่ายไม่หนีไปเช่นนี้นับว่าสามารถชนะใจหลิงหยุนได้อย่างมาก! และหากมันต้องการหลบหนีจริงๆ หลิงหยุนก็คงไม่สนใจที่จะตามไปไล่ล่าเช่นกัน..
“พี่หยุน..เป็นยังไงบ้าง”
การที่หลิงหยุนต่อสู้อยู่กับศัตรูด้านนอกเช่นนี้ถังเมิ่งเองก็ไม่อาจทนรออยู่แต่ในร้านได้เช่นกัน เขาจึงวิ่งตามออกมา และเมื่อพบว่าการต่อสู้จบสิ้นลงแล้ว จึงรีบวิ่งไปทางด้านหลังของหลิงหยุนพร้อมกับร้องตะโกนถามด้วยความห่วงใย
หลิงหยุนยิ้มและตอบกลับไปว่า“ฉันไม่เป็นไร..”
หลังจากนั้นหลิงหยุนก็หันหน้าไปทางเกาเฉินเฉินฉางหลิง เหลียงเฟิงอี้ และกงเสี่ยวลู่ ที่พากันออกันอยู่หน้าประตูด้านใน พร้อมกับยิ้มให้พวกเธอที่กำลังมีสีหน้าวิตกกังวล
“ทุกคนกลับเข้าไปข้างในก่อนผมไม่เป็นอะไร..” หลิงหยุนร้องบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ในระหว่างต่อสู้เมื่อครู่นี้หลิงหยุนเคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็วจนทุกคนได้แต่มองด้วยความงุนงง และตื่นเต้น..
จู่ๆเกาเฉินเฉินก็วิ่งออกมากอดแขนหลิงหยุนไว้พร้อมกับพูดขึ้นว่า“พวกเราไปกินร้านอื่นไม่ดีกว่าเหรอ”
ตอนนนี้ที่สวนภายในร้านมีร่างของผู้บาดเจ็บนอนเรียงรายอยู่มากมายและทุกคนล้วนเป็นคนของตระกูลเฉินทั้งสิ้น นอกเหนือจากนั้นยังมีร่างที่บาดเจ็บของเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกด้วย แล้วจะให้นั่งกินอาหารที่นี่ต่อได้อย่างไรกันเล่า
ริมฝีปากแดงของหลิงหยุนแย้มยิ้มพร้อมกับตอบไปว่า“กินที่นี่ล่ะ. ผมได้กลิ่นหอมของเป็ดปักกิ่งแล้ว จะไม่กินได้ยังไงกัน ต้องกินสิ!”
“ขอให้ทุกคนอยู่ในความสงบ!”
ทางด้านตะวันตกของถนนเสียงทรงพลังดังกึกก้องมาจากรถสีดำที่กำลังเคลื่อนเข้ามาอย่างช้าๆ
หลิงหยุนหันไปมองพร้อมกับแย้มยิ้มออกมาทันที..
เขาคือหัวหน้าหน่วยเทพอินทรีย์ชื่อว่าเหลยเชิ่ง!
บทที่ 810 : คำสั่งของบุคคลอันดับหนึ่งในประเทศ!
เหลยเชิ่งกับเจียเฟยนั้นนับว่าเป็นคู่หูกันทันทีที่ได้รับข่าวก็รีบมุ่งหน้ามายังที่เกิดเหตุทันที..
แน่นอนว่าด้วยฐานะของเด็กหนุ่มเพลย์บอยทั้งสี่คนนั้นคงไม่มีอำนาจพอที่จะติดต่อกับหน่วยอินทรีย์ได้ ดังนั้นผู้ที่เป็นฝ่ายแจ้งข่าวให้หน่วยอินทรีย์ทราบ จึงจะเป็นใครไม่ได้นอกจากตระกูลเฉิน!
คนขับรถทั้งหกคนที่ทำหน้าที่ขับรถนำยอดฝีมือทั้งสิบแปดคนมาที่นี่ก็ไม่ใช่คนขับรถธรรมดาๆเช่นกัน พวกมันยังทำหน้าที่คอยรายงานสถานการณ์การต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายให้ตระกูลเฉินทราบอย่างต่อเนื่องอีกด้วย..
แม้แต่ผู้นำตระกูลเฉินอย่างเฉินไห่เผิงที่กำลังจับตามองสถานการณ์ในวันนี้อย่างใกล้ชิดด้วยตัวเองก็ทั้งตกใจและโมโหอย่างมาก แต่ก็เลือกที่จะไม่ส่งคนของตนเองเข้าไปอีก และได้สั่งให้คนแจ้งเรื่องนี้ไปทางหน่วยเทพอินทรีย์ เพื่อให้หน่วยเทพอินทรีย์เป็นผู้ไปจัดการสะสางเรื่องนี้แทน
ภายในเวลาเพียงแค่สองสามวัน..แต่ตระกูลเฉินกลับต้องพบเจอกับความสูญเสียอย่างที่ไม่เคยพบพานมาก่อน!
พี่ชายของเขาเฉินไห่คุนถูกจับตัวไปเวลานี้จะเป็นหรือตายก็ยังไม่รู้ ส่วนลูกชายคนที่สองของเขาเอง – เฉินเจี้ยนจื่อก็ถูกฟันจนร่างแยกขาดออกจากกันตายคาที่..
ส่วนลูกชายคนที่สามของเขา– เฉินเจี้ยนกุ่ยก็หายตัวไปเมื่อคืนนี้ และจนป่านนี้เขาเองก็ยังไม่ได้พบเจอเฉินเจี้ยนกุ่ยอีกเลย ไม่พบแม้กระทั่งศพ..
เวลานี้เฉินเซินซึ่งเป็นหลานชายคนโตของตระกูลก็ถูกทำร้ายร่างกายอย่างไม่มีเหตุผลตอนกลางวันแสกๆ อีกทั้งยังถูกขู่เอาชีวิตด้วย!
แต่นี่ไม่ใช่ความสูญเสียเพียงอย่างเดียวของตระกูลเฉินยังมียอดฝีมือที่ทำงานให้กับตระกูลเฉิน นินจาญี่ปุ่น และแวมไพร์อีกจำนวนมากที่ถูกสังหาร ทั้งหมดนี้คือการสูญเสียที่ไม่อาจประเมินมูลค่าได้!
แต่นับจากนี้..จะเป็นช่วงเวลาแห่งความโชคร้ายอย่างที่สุดสำหรับตระกูลเฉิน!
นับว่าหลิงหยุนประเมินสถานการณ์ได้อย่างแม่นยำ..
ตระกูลเฉินสูญเสียมากมายเช่นนี้ทำให้เฉินไห่เผิงถึงกับหมดเขี้ยวเล็บ และไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเวลานี้มีศัตรูมากมายเพียงใดที่กำลังจับตามองตระกูลเฉินอยู่ เขาจึงไม่กล้าเสี่ยงที่จะส่งคนตระกูลเฉินมาช่วยอีก..
แต่ถึงกระนั้น..แม้ว่าเฉินเซินจะเป็นลูกชายของพี่ชายคนโต แต่เขาก็เป็นสายเลือดเพียงคนเดียวของเฉินไห่คุนที่ยังเหลืออยู่หลังจากที่เฉินเจี้ยนจื่อก็ถูกฆ่าตายในป่าเสินหนงเจี๋ย เฉินไห่เผิงจึงไม่อาจทนเห็นเฉินเซินถูกฆ่าตายโดยที่ไม่ช่วยอะไรไม่ได้..
หลังจากที่ใคร่ครวญดีแล้วเฉินไห่เผิงจึงได้ตัดสินใจเสี่ยงขอความช่วยเหลือจากหน่วยเทพอินทรีย์ และขอให้พวกเขาช่วยออกหน้าแทน และอีกเหตุผลหนึ่งที่เขาเลือกหน่วยเทพอินทรีย์ก็เพราะว่าหน่วยนี้อยู่ใกล้กับที่เกิดเหตุมากที่สุด..
เมื่อหลิงหยุนเห็นเหลยเชิ่ง..สีหน้าของเขาก็ไม่ได้แสดงความหวาดกลัวออกมาให้เห็นเลยแม้แต่น้อย ใบหน้างดงามราวเทพบุตรของหลิงหยุนเวลานี้ ยะโสโอหังไม่ต่างจากฉินตงเฉี่วยเลยแม้แต่น้อย!
หลิงหยุนพบเหลยเชิ่งซึ่งอยู่ในหน่วยเทพอินทรีย์ครั้งแรกที่บ้านของเฉินเทียนในอ่าวจิงฉูและเป็นครั้งแรกที่เขาได้พบกับฉินตงเฉี่วยเช่นกัน
ฉินตงเฉี่วยหยุดเหลยเชิ่งด้วยคำพูดเพียงประโยคเดียวจากนั้นเหลยเชิ่งก็ไม่กล้าแตะต้องหรือสร้างปัญหาให้กับหลิงหยุนอีกเลย
และเมื่อนึกถึงเทพธิดาฉินหลิงหยุนก็รู้สึกอบอุ่นหัวใจขึ้นมาทันที!
หลิงหยุนหันไปมองสภาพในสนามต่อสู้เวลานี้ก็ได้แต่ยิ้มและพึมพำออกมาว่า “มีคนมาช่วยเก็บกวาดให้พอดี.. ข้าจะได้เข้าไปกินอาหารอย่างสงบสุขเสียที!”
ในสายตาของหลิงหยุนเหลยเชิ่งเปรียบเสมือนหัวหน้าพนักงานทำความสะอาดซึ่งมีหน้าที่คอยตามเก็บกวาด และสะสางเรื่องวุ่นวายให้กับเขา
ครั้งก่อนที่หลิงหยุนบุกเข้าไปสังหารยอดฝีมือตระกูลซันตายไปมากกว่าหกสิบศพนั้นก็เป็นเหลยเชิ่งที่เข้าไปช่วยสะสาง และทำการเก็บซากศพพร้อมกับทำความสะอาดพื้นที่ให้
“ท่านเหลยช่างเป็นคนดีเสียเหลือเกิน!”
หลิงหยุนหัวเราะร่วนแล้วเดินโอบร่างของเกาเฉินเฉินกับฉางหลิงกลับเข้าไปในร้านโดยไม่แยแสกับตำรวจที่ยืนด้วยความงุนงง พร้อมกับพูดขึ้นลอยๆว่า
“สามารถนำร่างผู้ที่ได้รับบาดเจ็บออกไปจากที่นี่ได้ทุกคนยกเว้นสองคนนั่น!”
แม้หลิงหยุนจะไม่เจาะจงว่าพูดกับใครแต่มู่เทียนโฉ่วที่ยืนอยู่หน้าทางเข้าก็รู้ดีว่าหลิงหยุนตั้งใจพูดกับตนเอง
“เอาล่ะ..ตอนนี้ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ได้เวลากินข้าวกันอย่างสงบซะที!”
ตอนนี้ทั้งเหลียงเฟิงอี้และกงเสี่ยวลู่ต่างก็ยืนนิ่งด้วยความตกตะลึงพวกเธอรู้สึกไม่ต่างจากกำลังดูภาพยนต์บู๊ดุเดือดอยู่!
ถังเมิ่งเองก็ได้แต่ยิ้มครั้งนี้เขาทั้งรู้สึกศรัทธาและชื่นชมในตัวหลิงหยุนมากยิ่งขึ้น เลือดในกายของถังเมิ่งเดือดพล่าน และอยากจะร่ำเรียนวรยุทธกับหลิงหยุนบ้าง..
อำนาจความมั่งคั่ง หรือว่าเครือข่าย อะไรก็ไม่เหนือไปกว่าหมัดทั้งสองข้าง..
หลิงหยุนและคนอื่นๆต่างก็หันหลังเดินกลับเข้าไปในร้านจากนั้นหลิงหยุนก็บอกให้ทุกคนเข้าไปนั่งที่เดิม ส่วนตัวเขาก็ไปนั่งลงตำแหน่งเดิมเช่นกัน จากนั้นจึงหันไปยิ้มให้กับพนักงานเสริฟสาวพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“รบกวนพวกคุณช่วยปิดประตูให้ผมได้แล้วก็เริ่มเสริฟอาหารได้เลย!”
“ห๊ะ..เอ่อค่ะ..”
พนักงานเสริฟสาวสวยทั้งสี่คนต่างก็จ้องมองเด็กหนุ่มที่แข็งแกร่งนี้ตาเขม็งและหัวใจก็เริ่มเต้นแรง..
พนักงานเสริฟสาวที่สวมชุดสีม่วงเป็นคนแรกที่รู้สึกตัวเธอรีบพยักหน้า และตรงไปปิดประตูตามคำสั่งทันที
“อาหารพร้อมเสริฟแล้ว!”
ชายวัยกลางคนปรากฏตัวขึ้นในห้องอีกครั้งเขาเชื่อฟังคำสั่งของเถ้าแก่ซันอย่างมาก ไม่ว่าจะเกิดเรื่องวุ่นวายอะไรมากมายที่หน้าร้าน เขาก็ทำเป็นหูหนวกตาบอด และแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไร และตั้งหน้าตั้งตาทำงานอยู่ด้านในเพียงอย่างเดียว
หลังจากที่รับปากว่าจะทำอาหารให้หลิงหยุนกินแล้วเถ้าแก่ซันก็หมกตัวอยู่แต่ในห้องครัว แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาทำอาหารให้หลิงหยุนเพียงอย่างเดียว และไม่ออกมาข้างนอกอีกเลย
และนี่คือคนที่ฉลาดที่สุด!
เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่อยู่เหนือการควบคุณของตนเองคนที่เฉลียวฉลาดก็ต้องรู้จักปกป้องตนเองและเอาตัวรอด และไม่นำตนเองไปเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา!
ทันทีที่ประตูห้องถูกปิดลง..ด้านในร้านกับด้านนอกร้านก็ราวกับถูกจับแยกออกเป็นสองโลกที่ไม่เกี่ยวข้องกัน..
พนักงานเสริฟทั้งสี่คนต่างก็รู้สึกว่าแววตาของหลิงหยุนได้เปลี่ยนไป เวลานี้แววตาของหลิงหยุนเป็นแววตาที่สามารถสังหารผู้คนได้
เมื่อทุกคนนั่งประจำที่เรียบร้อยแล้วอาหารจานต่างๆก็ถูกนำขึ้นมาเสริฟทันที และแทบไม่ต้องสงสัย อาหารทุกจานนั้นนอกจากจะมีรสชาติที่แสนเอร็ดอร่อยแล้ว ก็ยังตกแต่งได้อย่างประณีตงดงามอีกด้วย ครั้งแรกที่หลิงหยุนได้เห็นก็ถึงกับตาโตขึ้นมาทันที!
“อาหารมื้อนี้ช่างคุ้มค่าสมกับที่รอคอยจริงๆฮ่า.. ฮ่า..” หลิงหยุนพูดไปก็หัวเราะไปอย่างมีความสุข
………….
ที่ถนนภายนอกร้าน..
เมื่อเหลยเชิ่งและเจียเฟยลงมาจากรถทั้งคู่ก็ได้แต่ตกตะลึงกับภาพที่อยู่ตรงหน้า ทั้งคู่หันไปมองหน้ากันอยู่นาน และต่างก็ไม่พูดไม่จาอะไร
ที่นี่ห่างจากใจกลางเมืองไปเพียงแค่ไม่กี่กิโลเมตรเท่านั้นแต่กลับเกิดเหตุการณ์ใหญ่โตถึงเพียงนี้ขึ้นได้..
“ปิดทางเข้าออกไว้แม้แต่นกก็อย่าให้บินหนีออกไปได้!”
และนี่เป็นคำสั่งแรกของเหลยเชิ่งหลังจากที่ได้เห็นสภาพที่น่าตกใจเขาตะโกนสั่งการผ่านเครื่องขยายเสียง
และเวลานี้ถนนทั้งเส้นก็ถูกปิดตายทันที!
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น!”
เหลยเชิ่งมองดูรอบๆและเหงื่อเย็นก็ถึงกับผุดออกมาเต็มหน้าผากแล้วจึงหันไปสั่งเจียเฟย
“เจ้ารีบไปรายงานสถานการณ์ให้ผู้บังคับบัญชาทราบส่วนข้าจะเข้าไปสอบถามเองว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”
ในปักกิ่งนั้นเหตุการณ์เช่นนี้นับว่าเป็นเรื่องใหญ่โตมาก และนับว่าเป็นเรื่องที่กระทบความมั่นคงของชาติเลยทีเดียว เขาจึงต้องระมัดระวังอย่างมาก!
เจียเฟยรีบหยิบเครื่องมือสื่อสารชนิดพิเศษออกมาและกลับเข้าไปในรถทันที จากนั้นจึงเริ่มรายงานสถานการณ์ให้ผู้บังคับบัญชาทราบตามที่เหลยเชิ่งสั่ง
เหลยเชิ่งเองก็รีบเข้าไปที่สวนด้านในค่อยๆสำรวจดูเหตุการณ์เพื่อที่จะทำความเข้าใจกับสถานการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ และมันก็ไม่ยากเกินที่จะเข้าใจได้ เพียงไม่นานเหลยเชิ่งก็พอคาดเดาทุกอย่างออก และในที่สุดก็เหลือบไปเห็นรถแลนด์โรเวอร์ของหลิงหยุนเข้า
เหลยเชิ่งถึงกับปวดหัวขึ้นมาทันทีเขารู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่าลงกลางศรีษะ!
“นี่เจ้าอีกแล้วรึ!”
ครั้งก่อนนั้นฉินตงเฉี่วยตะเพิดเหลยเชิ่งกลับไปและเหลยเชิ่งเองก็ไม่กล้ายุ่งเกี่ยวกับหลิงหยุนอีกเลย แต่เวลานี้เขากลับต้องมาทำหน้าที่สอบสวนหลิงหยุน!
แม้ว่าหน่วยเทพอินทรีย์จะเป็นหน่วยที่มีทั้งอำนาจพิเศษและความสามารถพิเศษ แต่เรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถจัดการได้ง่ายๆ
เหลยเชิ่งนั้นจับตามองหลิงหยุนอย่างใกล้ชิดตั้งแต่ที่พบว่าหลิงหยุนมีมือที่ลึกลับและน่าอัศจรรย์ซึ่งจะสามารถเรียกอาวุธออกมาเมื่อไหร่ก็ได้ อีกทั้งยังเป็นผู้ครอบครองกระบี่แดนใต้อีกด้วย
ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นเลขที่บัตรประจำตัวประชาชนของหลิงหยุนหรือว่าทะเบียนรถ เหลยเชิ่งจึงจดจำได้อย่างแม่นยำ!
ด้วยเหตุนี้เพียงแค่เห็นรถแลนด์โรเวอร์ของหลิงหยุนเขาก็รู้แล้ว่าผู้ที่ก่อความวุ่นวายในวันนี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาเด็กหนุ่มแห่งจิงฉู..
“จบกัน..”
ครั้งแรกที่เหลยเชิ่งได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดนั้นเขาเองยังถึงกับโกรธมากจนหน้าอกกระเพื่อมขึ้นกระเพื่อมลงอย่างรุนแรง แต่หลังจากที่เหลือบไปเห็นรถแลนด์โรเวอร์ของหลิงหยุน ความรู้สึกของเขาก็ไม่ต่างจากลูกบอลที่กำลังถูกปล่อยลมออกให้แฟบลงเรื่อยๆ
เหลยเชิ่งรู้สึกกดดันจนทำอะไรไม่ถูกและได้แต่พึมพำออกมาว่า “นี่ข้าจะทำเช่นไรดี!”
การที่เหลยเชิ่งไม่กล้ายุ่งกับหลิงหยุนนั้นความจริงแล้วยังมีปัจจัยลับอีกข้อหนึ่ง นั่นก็คือคำสั่งลับโดยตรงที่เขาได้รับ!
‘เจ้าสืบเรื่องของหลิงหยุนได้เท่านั้นแต่ห้ามกระทำการใดๆทั้งสิ้น!’
ประโยคธรรมดาๆเพียงเท่านี้แต่ก็เป็นประโยคที่ผู้บังคับบัญชาระดับสูงของประเทศจีนเป็นผู้สั่งการลงมาด้วยตนเอง และเป็นคำสั่งของบุคคลอันดับหนึ่งแห่งประเทศนี้อีกด้วย!
แล้วใครเล่าจะกล้าฝ่าฝืนคำสั่ง!
แน่นอนว่าไม่มีใครกล้าแล้วก็ไม่มีใครรู้เหตุผลว่าเพราะเหตุใดจึงมีคำสั่งเช่นนี้ออกมา ดังนั้นเมื่อเหลยเชิ่งรู้ว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของหลิงหยุน เขาจึงรู้สึกหมดหนทางที่จะจัดการขึ้นมาทันที
และหนทางเดียวที่เขาจะทำได้คือ..กลับไปมือเปล่า!
หลังจากยืนนิ่งลังเลอยู่นานเหลยเชิ่งจึงถามมู่เทียนโฉ่วว่า “คุณบอกว่าผู้ชายคนนั้นยังคงอยู่ในร้าน.. ไม่ได้หนีไปใหนใช่มั๊ย”
มู่เทียนโฉ่วตอบไปตามความจริงจริง“ใช่แล้ว หลังจากที่จบเรื่อง เขาก็เดินเข้าไปนั่งกินอาหาร และดูเหมือนจะยังไม่ยอมไปใหนด้วย”
“เอาล่ะ..ผมจะเข้าไปดูด้านในหน่อย!”

DRAGON EMPEROR MARTIAL GOD

DRAGON EMPEROR MARTIAL GOD

ความเป็นอมตะของหลิงหยุนได้มลายหายไป.. ทำให้เขาตกลงมาสู่โลกมนุษย์ ในยุคที่เต็มไปด้วยความเสื่อมทรามอย่างที่สุด จากนั้น.. หลิงหยุนจะค่อยๆ บ่มเพาะพลังในตัวเองทีละขั้น ทีละขั้น และไต่ลำดับขึ้นไปต่อกรกับสวรรค์ได้อย่างไร..

Comment

Options

not work with dark mode
Reset